คนวัยหนุ่มสาวมักจะไม่ค่อยเห็นคุณค่าของกาลเวลา แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป กลับเพิ่งรู้ตัวว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นเหลือเกิน แม้หูหงเต๋อกับโก่วซินเจียจะอายุไล่เลี่ยกัน แต่ความเป็นมิตรครั้งเก่าก่อนตอนนี้นั้นมีค่าเหลือล้น
เยี่ยเทียนฟังบทสนทนาของทั้งคู่แล้วนึกย้อนตามบุคคลสูงวัยทั้งสองกลับคืนสู่อดีตอันหอมหวนอีกครั้ง เรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยได้ถูกถ่ายทอดออกมา
“ท่านลุง อากาศหนาวเหน็บ ทำไมท่านจึงใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้?”
ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บกลางเดือนธันวาคม หูหงเต๋อสังเกตเห็นโก่วซินเจียสวมเพียงชุดนักพรตบางๆ ชั้นเดียว จึงรีบเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ออกจากหีบยื่นให้ “ท่านลุง ผ้าคลุมไหล่นี้ตัดเย็บจากหนังจิ้งจอกแดง ท่านเอาไว้คลุมกันหนาวเถิด ถือซะว่าผมให้ท่านเป็นการแสดงความกตัญญู
“ดี ของชิ้นนี้ฉันรับไว้แล้วกัน ในปีนั้นน้องอวิ๋นเป้าล่าจิ้งจอกมาให้ฉันตัวหนึ่ง ไม่คิดว่าวันนี้จะตกมาอยู่ที่เธอ”
โก่วซินเจียพยักหน้ารับเอาผ้าคลุมไหล่นั้นมา ตอบกลับ “พ่อของเธอทำคุณงามความดีมาตลอดชีวิต เธอเองก็ดำรงตนเป็นผู้กล้า ถ้าหากตอนนั้น ท่านเจียง เฮ้อ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว…”
โก่วซินเจียนึกถึงหูอวิ๋นเป้าผู้องอาจกล้าหาญไม่เกรงกลัวฟ้าดินในอดีตก็ได้แต่ทอนถอนใจ ตอนที่ประเทศชาติอับจน ประชาชนยากแค้นนั้น ยังมีวีรบุรุษผู้ไร้ชื่อเสียงอีกมาก
“ท่านลุง พ่อของผมเคารพท่านมาก ท่านพูดแบบนี้ ชีวิตของพ่อผมทั้งชีวิตถือว่าคุ้มแล้ว!”
หูหงจวินเช็ดน้ำตา ยกเอาถ้วยชาบนโต๊ะหินขึ้นจิบ พอน้ำชาเข้าปากทำเสียง “จุ๊จุ๊” แล้วเอ่ยต่อ “ท่านลุง วันนี้ต้องดื่มเหล้าสิ ผมอยากจะขอคารวะท่านสักแก้ว!”
“ได้สิ เรามาดื่มด้วยกันหน่อย” โก่วซินเจียเห็นด้วย มองไปที่เยี่ยเทียนแล้วยิ้ม “ศิษย์น้องเล็ก ถ้างั้นรบกวนหน่อย ช่วยเตรียมทั้งสุราอาหารอย่างดีให้ด้วย?”
“ครับ พวกศิษย์พี่คุยกันไปก่อน เดี๋ยวสุรากับแกล้มจะตามมา”
เยี่ยเทียนรับปาก ชายทั้งสองจากกันมาห้าสิบกว่าปี คงมีเรื่องราวมากมายที่จะเล่าสู่กัน เยี่ยเทียนขอตัวออกมา พร้อมกับนำเอาหีบสองใบย้ายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
“พ่อ ผมกลับมาแล้ว!”
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาพ่อของเขา วันนี้เขายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก เรื่องสุราอาหารที่รับปากไว้ต้องไหว้วานให้ผู้ใหญ่ที่บ้านช่วยจัดหาให้
“เจ้าเด็กบ้า เห็นบ้านเราเป็นโรงแรมรึยังไง? ยังรู้จักกลับมาอีกนะ?” พอได้ยินเสียงลูกชายดังมาตามสาย เยี่ยตงผิงโกรธขึ้นมา ช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่กลับหาตัวเยี่ยเทียนไม่พบ
“พ่อ ผมยุ่งมากจริง ๆ ก็กลับมาแล้วไงล่ะ?”
เยี่ยเทียนยิ้มตาหยีออดอ้อน “ใช่แล้ว พ่อ ที่บ้านมีแขกมา เหล้าเหมาไถที่พ่อซ่อนไว้น่ะเอาออกมาเถอะ แล้วให้ เซี่ยวเทียนไปซื้ออาหารดีๆ มาด้วยนะ ต้องของดีหน่อยนะ”
เยี่ยตงผิงพอได้ยินว่ามีแขกมาก็พยักหน้ารับ ตอบว่า “ได้ ฉันจะให้เซี่ยวเทียนไปจัดการให้ ใช่แล้ว ยังมีเรื่องที่ฉันต้องบอกแก”
“พ่อ เรื่องอะไรค่อยว่ากันทีหลัง ไม่อย่างนั้นพ่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็มาหาผม ตอนนี้ผมมีเรื่องต้องทำ!”
“ปึก” เยี่ยเทียนตัดสายทิ้งทันที ทำเอาเยี่ยตงผิงโมโหถลึงตาใส่โทรศัพท์ ไม่รู้จะทำยังไงกับลูกชายตัวแสบคนนี้ดี ท่าทีลูกชายที่ไม่ค่อยจะใส่ใจเขานั้นเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เยี่ยเทียนมีธุระจริง แม้อากาศหนาวเย็น แต่สิ่งของในหีบสองใบนี้ เก็บไว้นานไม่ได้ ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย
เยี่ยเทียนเปิดหีบออก นำเอาหนังเสือแผ่นใหญ่ที่สมบูรณ์ทั้งตัวออกมาวางพาดบนเก้าอี้ จากนั้นยกออกไปข้างนอก หักกิ่งไม้ออกสองสามกิ่งนำหนังเสือขึ้นขึงแขวนตากลมไว้
ตอนที่อยู่ภูเขาฉางไป๋ซาน หูหงเต๋อได้ใช้ตำรับยาสูตรลับฟอกหนังไว้ดีแล้ว หนังเสือที่ถูกฟอกเสร็จเส้นขนบนแผ่นหนังจะเงางาม แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ยังต้องตากในที่ลมโกรกผ่านต่ออีก
เมื่อตากหนังเสือเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนนำเอากล่องพลาสติกที่ใส่ไขมันกบภูเขาออกมาอีกหลายอัน สำหรับผู้หญิงแล้วคุณค่าไขมันกบภูเขาพวกนี้ ดีกว่าโสมร้อยปีเสียอีก ดังนั้นต้องเก็บรักษาอย่างดี
วิธีการเก็บรักษาไขมันกบภูเขานั้นง่ายกว่าการเก็บโสมมาก แค่ไว้ในตู้เย็นก็พอแล้ว หาฟิล์มถนอมอาหารมาห่อหุ้มกล่องไว้อีกชั้นแล้วเยี่ยเทียนก็ยัดกล่องนั้นเข้าไปในตู้เย็น
สุดท้ายเขาหันมาจัดการกับโสมร้อยปี รอบเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนมีพลังชีวิตอันอุดม ไม่มีแมลงรบกวน จึงไม่ต้องกลัวว่าโสมจะโดนแมลงเจาะ เยี่ยเทียนนำเอาโสมใส่เข้าไปในตู้นิรภัย
“อาจารย์ อาจารย์ กลับมาแล้ว!” เยี่ยเทียนเพิ่งจะเก็บของเสร็จ เสียงของโจวเซี่ยวเทียนดังมาจากประตูหน้าบ้าน
“เซี่ยวเทียน พ่อของฉันให้นายมาใช่ไหม? สุราอาหารจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
เยี่ยเทียนดันประตูเปิดออกไป ยิ้มร่าทุบอกโจวเซี่ยวเทียนทีหนึ่ง “ช่วงนี้วิชากังฟูไม่ได้ถดถอยลงใช่ไหม? อีกหน่อยจะได้ประลองวิชากับตาแก่ที่อยู่เรือนกลางนั่นสักหน่อยเป็นไง?”
เยี่ยเทียนไม่ได้เรียนวิชาป้องกันตัวอะไรมากมาย ยิ่งสิ่งที่สอนให้โจวเสี่ยวเทียนได้ยิ่งน้อยนิดอย่างน่าสงสาร แต่วิชากรงเล็บอินทรีย์ของหูหงเต๋อนั้นเป็นระดับปรมาจารย์ ถ้าได้ต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กันคงจะมีข้อดีไม่น้อย
โจวเซี่ยวเทียนถามอย่างฉงนใจว่า “อาจารย์ ตาแก่นั่นเป็นใครหรือครับ? สายตาช่างดูแหลมคมนัก!”
แม้หูหงเต๋อจะอายุมากแล้ว แต่จิตสังหารนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนยังหนุ่มมากเขากับโจวเซี่ยวเทียนต่างซ่อนเร้นวิชาขั้นสูง ด้วยบุคลิกท่าทางที่แสดงออกนั้น หูหงเต๋อแข็งแกร่งกว่าโจวเซี่ยวเทียนหลายขุม
“เขาเป็นปรมาจารย์วิชากรงเล็บอินทรีย์แห่งเขาฉางไป๋ซาน อืม เป็นศิษย์รุ่นเดียวกับนาย เรียกเขาว่าศิษย์พี่แล้วกัน” เยี่ยเทียนโบกมือไปมา กล่าวต่อว่า “ไป ฉันจะพานายไปรู้จักกับเขา!”
“เยี่ยเทียน มาสิ ฉันเหล่าหูขอคารวะเธอจอกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอหาท่านลุงพบ ชาตินี้ฉันคงไม่มีหวังจะได้พบท่านลุงอีก!”
ตอนนี้หูหงเต๋อกับโก่วซินเจียวางชามกับตะเกียบลง ดื่มสุรากันอยู่ เห็นเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์เดินเข้า หูหงเต๋อรีบลุกขึ้นยืน รินสุราจนเต็มถ้วย
“เหล่าหู มิตรสหายของท่านมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ถ้าตั้งใจดี ก็จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านไปอีกนาน”
“เยี่ยเทียนพยักหน้า รับถ้วยเหล้ามาจากหูหงเต๋อกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด แล้วดึงโจวเซี่ยวเทียนเข้าไปพูดว่า “เหล่าหู เซี่ยวเทียนเป็นลูกศิษย์ของผม นับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับคุณ ถ้าหากมีเวลาช่วยสั่งสอนชี้แนะเขาด้วย!”
“ได้สิ เหล่าหูจะสอนศิษย์น้องอย่างไม่ปิดบังเลย!”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ หูหงเต๋อที่หน้าเปื้อนยิ้มอยู่ก็เงียบขรึมขึ้นทันใด การพูดคุยหยอกล้อทั่วไปนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเยี่ยเทียนนับลำดับขั้นศิษย์แล้ว หูหงเต๋อนั่งยืดหลังตรงทันที
“เอาเถอะ เซี่ยวเทียนเป็นเด็กดี เต๋อหวาจึ เธอตั้งใจให้มาก อย่าให้เคล็ดวิชากรงเล็บอินทรีย์แห่งเขาฉางไป๋ซานต้องมาจบลงที่เธอล่ะ”
โก่วซินเจียสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มอึมครึม ก็หัวเราะแล้วพูดขึ้น “วันนี้เรามาคุยเรื่องเก่ากันดีกว่า เธอสองคนนั่งลงสิ ฉันจะเล่าให้ฟังตอนที่ไปฆ่าทหารญี่ปุ่นที่ตงเป่ยให้ฟัง!”
อาจเป็นเพราะระบบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้โก่วซินเจียไม่ค่อยเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตของตนให้เยี่ยเทียนฟังมากนัก วันนี้เมื่อได้พบกับบุตรชายของสหายเก่าก็อดพูดถึงเรื่องราวครั้งก่อนไม่ได้
ตอนที่จีนอยู่ในยุคต่อต้านญี่ปุ่นนั้น สำนักต่างๆ ในยุทธภพจีนกับสำนักดาบหลายแห่งของญี่ปุ่นเกิดการต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน แต่กลายเป็นความลับที่ถูกปิดบัง ในตำราประวัติศาสตร์ไม่เคยได้บันทึกไว้
ตอนนั้นโก่วซินเจียเป็นผู้นำเหล่าสำนักวิชาในประเทศจีน เล่าออกมาแล้วทำให้ผู้ที่ตั้งใจฟังอยู่รวมถึงหูหงเต๋อรู้สึกคึกคะนองตาม
เยี่ยเทียนเพิ่งจะได้รู้ว่า คนญี่ปุ่นที่ตายด้วยน้ำมือของศิษย์พี่ใหญ่ เป็นแม่ทัพตำแหน่งใหญ่ถึงแปดนายยังมีนายกอง ชั้นรองลงมาอีกหลายสิบคน
ฮ่องเต้แมนจูองค์สุดท้ายกลับเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ยอมให้โจรญี่ปุ่นย้อนกลับมาทำร้ายชาติของตัวเอง อีกทั้งสตรีสายลับญี่ปุ่นที่มีส่วนร่วมทั้งในเหตุการณ์รุกรานแมนจูเรียและเหตุการณ์วางระเบิดที่สถานีหวงกูตุนนั้นสุดท้ายแล้วถูกโก่วซินเจียฆ่าทิ้งด้วยฝีมือเขาเอง
“ท่านลุง ผู้หญิงคนนั้นสุดท้ายแล้วตายไหม?”
นี่เป็นครั้งแรกที่หูหงเต๋อทราบเรื่อง ดวงตาเป็นประกายลุกวาวขึ้น คนตงเป่ยเกลียดผู้หญิงคนนั้นแบบเข้ากระดูกดำ ยุคประเทศแมนจูเรียที่เกณฑ์ประชาชนจากภาคตะวันออกสามมณฑลไปเป็นข้าทาสล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเธอคนนั้นโดยตรง
ในดินแดนตงเป่ย มีเรื่องเล่าของ “ชวนต่าวฟางจื่อ” มากมาย อีกทั้งยังมีคนเล่าว่าเธอมีชีวิตรอดอาศัยหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในตงเป่ย จนยุคปี 70 จึงจากโลกนี้ไป ดังนั้นหูหงเต๋อจึงอดถามไม่ได้
“ตายแล้ว โอดครวญทุรนทุรายอยูสามวันสามคืนถึงจะตาย ลากออกไปยิงทิ้งน่ะสิ แต่ก็เป็นแค่ศพๆ หนึ่ง” พอพูดถึงสตรีนางนั้นโก่วซินเจียมีแววโหดเหี้ยมปรากฎบนในหน้า
เพื่อการจับกุมผู้หญิงคนนั้น โก่วซินเจียใช้เล่ห์กลสารพัด สุดท้ายได้รับคำสั่งจากเบื้องบนลงมาให้เขาใช้วิชาอาคมเสกให้พลังพิฆาตเข้าตัวของเธอจนตาย
“ศิษย์พี่ พี่ยังเก็บความลับไว้อีกเท่าไหร่? เรื่องนี้ถ้าศิษย์พี่ไม่เล่าให้ฟัง คงจะเป็นคดีปริศนาของโลกต่อไป!”
เยี่ยเทียนได้ฟังแล้วยังทึ่ง พวกเขาคิดไม่ถึงว่า โก่วซินเจียจะเก็บความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เอาไว้
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงทำให้ในใจของเยี่ยเทียนและคนอื่นรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับว่าตนได้เดินทางย้อนเวลาท่องอดีตไปด้วยตัวเอง
“ประวัติศาสตร์นั้นถูกเขียนด้วยมือของผู้ชนะ หวังว่าคนรุ่นหลังจะไม่ลืมสิ่งที่บรรพบุรุษได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อแลกมา” โก่วซินเจียระลึกถึงเรื่องราวครั้งหลังจากยุคสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ก็รู้สึกอเน็จอนาจใจขึ้นมาจึงไม่เล่าต่อ
“เยี่ยเทียน แกเมาแล้วเหรอ? ฉันซื้อเป็ดจากร้านฉวนจี๋เต๋อมาอีกตัว มา เพิ่มกับแกล้มอีกสักอย่าง!” ขณะที่ทุกคนกำลังดื่มไปคุยไปนั้น เยี่ยตงผิงก็เดินเข้ามา ในมือถือเอาห่ออาหารมาด้วยวางลงบนโต๊ะหิน
“พ่อ นี่เป็นเพื่อนของผมมาจากภูเขาฉางไป๋ซาน พ่อเรียกว่าเหล่าหูก็ได้!” เยี่ยเทียนลากพ่อให้มาทำความรู้จักกับหูหงเต๋อ เพราะลูกชายทำให้สถานะของเยี่ยตงผิงสูงขึ้นหลายเท่า จึงเป็นความเคยชินไปแล้ว
เยี่ยตงผิงหลังจากดื่มเหล้าชนจอกกับหูหงเต๋อไปหลายจอกแล้ว ก็ลากบุตรชายออกมา ทั้งสองเดินไปที่ศาลาพักที่เรือนกลาง
เยี่ยเทียนพูดกับพ่ออย่างหงุดหงิดว่า “พ่อ ผมต้องอยู่เป็นเพื่อนแขกนะ มีเรื่องอะไรถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้? ลูกชายพ่อน่ะไม่มีเรื่องต้องให้ปิดบังนะ!”
“แม่แกน่ะ มาที่ปักกิ่งแล้ว!”
เยี่ยตงผิงจ้องหน้าบุตรชายแล้วตอบด้วยเสียงเรียบ แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเปรียบเหมือนดังท้องฟ้าที่สดใสกำลังมาเยือน!