“คุณเยี่ย ท่านประธานจู้รอคุณอยู่ที่ห้องรับรองแขกพิเศษค่ะ!”
เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ อีกสามคนเพิ่งเดินถึงหน้าประตูร้านอาหาร ก็ถูกผู้หญิงท่าทางสวยงามกันไว้ ผู้หญิงคนนี้อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี รูปร่างสูงเพรียว แต่งหน้าอ่อน บุคลิกดีเป็นสง่า
“ครับ นำทางเลยครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า และให้สาวสวยผู้อยู่ตรงหน้าเป็นผู้นำทาง ผู้หญิงคนนั้นถึงแม้สั่งถูกสั่งสอนมาดีมาก แต่ก็แสดงอารมณ์โดยการกระทืบเท้า จากนั้นจึงพาเยี่ยเทียนอ้อมร้านอาหารไปที่ลิฟต์ด้านข้างแห่งหนึ่ง
“ทั้งหมดมีแค่สามชั้น ต้องมีลิฟต์ด้วยเหรอ ขี้อวดจริงๆ” เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมา เข้าไปในลิฟต์ตามผู้หญิงคนนั้น
“ชั้นสองชั้นสามเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ท่านประธานจู้ไม่ค่อยเชิญเพื่อนขึ้นไปข้างบนเท่าไรค่ะ”
หญิงสาวไม่รู้ฐานะของเยี่ยเทียน ดังนั้นเวลาพูดจาจึงมีความหยิ่งนิดหน่อย ส่วนตัวของเธอนั้นก็มีความหยิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะลำดับศักดิ์ของเธอเทียบเท่ากับจู้เหวยเฟิง
“อ่อ? แล้วการแข่งขันมวยจัดที่ไหนเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็อึ้งไปสักครู่ อาคารนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งคือร้านอาหาร ชั้นสองกับสามคือสโมสรส่วนบุคคล เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะจัดการแข่งขันมวยข้างนอก?
“จัดใต้ดินสิคะ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” หญิงสาวมองเยี่ยเทียน และไม่ยอมพูดมากกว่านี้
“พวกเราไม่ได้ล่วงเกินคุณใช่ไหม?” เยี่ยเทียนจับจมูกอย่างเซ็งๆ ไม่หือไม่อือและเดินตามเข้าไป หลังจากลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นสาม ประตูลิฟต์เปิดออก จู้เหวยเฟิงกับชิวเหวินตงก็ยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูลิฟต์แล้ว
“อาเฟิง ฉันพาคนมาแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนวิธีการเรียกเมื่อเจอจู้เหวยเฟิง และยังจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
จู้เหวยเฟิงหัวเราะออกมา ยื่นมือคว้าเอวของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้พูดว่า “ซาซา ลำบากคุณจริงๆ น้องเยี่ยเป็นแขกพิเศษ มีแค่คุณออกหน้าต้อนรับถึงจะดูยิ่งใหญ่น่ะสิ?”
ซาซาได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง และถามอย่างสงสัยว่า “แขกพิเศษ? ลูกศิษย์ของใคร? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?”
ซาซาโตมาด้วยกันกับจู้เหวยเฟิง และรู้ดีว่า ว่าที่สามีของตนคนนี้ตาแหลมนัก บวกกับประสบการณ์ของเขานั้นน่ามหัศจรรย์มาก ลูกศิษย์ของพี่ใหญ่หลายๆ คนในปักกิ่ง ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย
แต่เยี่ยเทียนไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือกิริยาท่าทาง เมื่อเทียบกับพวกลูกศิษย์ของตระกูลขุนนางแล้วยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ซาซาไม่รู้ว่า ว่าที่สามีของตัวเองทำไมถึงมองเด็กหนุ่มคนๆ นี้แตกต่างไปจากคนอื่น?
“หลานชายคนโตนอกตระกูลซ่ง!” จู้เหวยเฟิงกระซิบข้างหูซาซา พูดด้วยเสียงค่อนข้างเบา แต่ในสายตาของคนนอกอาจจะคิดว่าสองคนนี้กำลังแสดงความรักต่อกัน
“พวกคุณเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า?” ซาซาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ในใจถึงแม้จะตกใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นดูอะไรไม่ออกเลย เพียงแค่คล้องแขนของจู้เหวยเฟิงเอาไว้เท่านั้น
“พวกเราเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว?” จู้เหวยเฟิงแซวซาซากลับ หันไปหาเยี่ยเทียน ยิ้มและพูดว่า “น้องเยี่ย คนนี้เป็นว่าที่ภรรยาของผม เรียกซาซาก็ได้ครับ”
คนที่มีระดับอย่างจู้เหวยเฟิง จะไม่ทำความรู้จักคบค้ากับคนธรรมดา แต่ถ้าเป็นคนที่เขายอมรับ เวลาคบหาคนนั้นเขามักจะทิ้งความประทับเอาไว้จนคนนั้นยังไม่ทันรู้ตัว
จู้เหวยเฟิงกระชับความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนไปได้อีกขั้น จากการแนะนำว่าที่ภรรยาของตนด้วยกิริยาท่าทางง่ายๆเพียงเท่านั้น
“เรื่องนี้เกิดในปักกิ่ง ไม่มีความลับอะไรให้พูดจริงๆ เหรอ?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ความสามารถในการได้ยินของเขามันอยู่ระดับไหน? ถึงแม้จู้เหวยเฟิงพูดกับซาซาด้วยเสียงที่เบามาก แต่ก็ไม่พ้นหูของเขา เพียงแต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึง ครั้งก่อนที่ซ่งเฮ่าเทียนมาหาอย่างลับๆ ขนาดนั้น ยังมีคนรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
“คุณซาซาสวยมากครับ เหมาะสมกับท่านประธานจู้จริงๆ”
คนอื่นไว้หน้าตัวเอง เยี่ยเทียนก็ไม่ถือที่จะต้องพูดคำดีดีตอบกลับ แต่ความอดทนของเขามีถึงเท่านี้จริงๆ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ทราบว่าการแข่งขันมวยของวันนี้จะเริ่มตอนไหน? คนบ้านนอกอย่างผมเพิ่งเคยมาครั้งแรกน่ะ”
“เริ่มสามทุ่มตรงครับน้องเยี่ย ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง พวกเรานั่งดื่มชากันก่อน”
จู้เหวยเฟิงนำทางอยู่ข้างหน้า ยิ้มและพูดว่า “น้องเยี่ยอยากดูสนามจริง หรือดูผ่านทีวี? สนามจริงจะมีกลิ่นคาวของเลือดนะ!”
ตอนพูดจู้เหวยเฟิงหันข้างเล็กน้อย มองไปที่โจวเซี่ยวเทียนกับหูหงเต๋อครู่หนึ่ง ลักษณะรูปร่างของนักต่อสู้สองคนนี้ชัดเจนมาก เขาจึงคิดว่าสองคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของเยี่ยเทียนเท่านั้น
“คนที่มาที่นี่ ก็มาเพื่อดูสนามที่เต็มไปด้วยคาวเลือดไม่ใช่หรือ?”เยี่ยเทียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ดูสนามจริงดีกว่า ถึงแม้ผมไม่ใช่คนใจกล้ามาก แต่ก็ไม่อ่อนแอขนาดนั้น”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ทุกคนเดินมาถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง หลังจากผู้ชายใส่สูทที่ยืนอยู่ข้างหน้าผลักประตู เยี่ยเทียนเพิ่งเข้าใจความหมายที่จู้เหวยเฟิงสื่อถึงเมื่อสักครู่
ถ้าจะพูดว่าเป็นห้องทำงาน ควรพูดว่าเป็นห้องควบคุมน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะในห้องนี้เต็มไปด้วยหน้าจอควบคุมเล็กใหญ่แขวนอยู่ตามกำแพงสี่ทิศ
กล้องวงจรปิดจำนวนนับไม่ถ้วนหลายแบบติดอยู่ทั่วทุกมุมสามารถบันทึกภาพทุกอย่างไว้ทั้งหมด ไม่มีจุดบอดแม้แต่มุมเดียว และที่สำคัญสามารถเล่นภาพเร็วกับภาพสโลโมชั่นก็ยังได้ การดูการแข่งขันมวยผ่านตรงนี้ชัดเจนกว่าสนามจริงเสียอีก
“นี่อยู่ชั้นใต้ดิน?”
มองดูบรรยากาศในหน้าจอ เยี่ยเทียนไม่เชื่อสายตาและถามออกไปแบบนั้น เพราะกล้องเหล่านี้นอกจากจับมุมของสนามมวยไว้แล้ว ชั้นใต้ดินของอาคารทั้งหมดก็อยู่ในขอบเขตการควบคุมด้วย
ถึงแม้สิ่งที่เห็นในหน้าจอจะไม่ใช่การมองโดยตรง แต่เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงขนาดของสนามมวยใต้ดินนั้นกว้างถึงหนึ่งถึงสองพันตารางเมตร เก้าอี้ถูกวางไว้เต็มทุกสี่ด้าน สามารถรองรับคนได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดร้อยคน
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนแสดงออกมาถึงความตกตะลึง จู้เหวยเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ แล้วจึงยิ้มพูดว่า “ใช่ เมื่อก่อนที่นี่เป็นหลุมหลบภัย หลังจากนั้นถูกทิ้งให้ว่างเปล่า ผมเลยปรับเปลี่ยนให้เป็นสนามมวยแทน น้องเยี่ย ดื่มชาอะไรดี?”
เยี่ยเทียนโบกมือปฏิเสธและพูดว่า “ไม่ดื่มชาแล้วครับ ท่านประธานจู้ พวกเราลงไปดูกันเลยดีกว่า”
เยี่ยเทียนไม่เคยคิดจริงๆ ว่าในประเทศจีนยังมีสนามมวยใต้ดินแบบนี้ด้วย ในใจที่มองจู้เหวยเฟิงจึงเปลี่ยนเป็นอีกแบบไปเลย
“ตกลง งั้นพวกเราลงไปกันเถอะ!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า หันกลับไปพูดกับชิวเวินตงว่า “เหล่าชิว คุณพาคนไปดูตรงนี้ มีเรื่องด่วนอะไรให้บอกผมทันที”
เมื่อได้ยินจู้เหวยเฟิงสั่ง ชิวเหวินตงก็รีบตอบ “ท่านประธานจู้ สบายใจได้ครับ ใครจะกล้ามาสร้างเรื่องในสนามของท่านละครับ?”
เยี่ยเทียนพบว่า ปกติชิวเหวินตงที่อกผายไหล่ผึ่งมาตลอด ตอนนี้กลับก้มตัวลง จึงแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ
คำพูดที่ว่า “เรียนรู้ศาสตร์วิทยายุทธจนเก่งกล้าแต่แพ้ให้กับฮ่องเต้” นั้นพูดไว้ไม่มีผิด ชิวเหวินตงถือว่าเป็นหนึ่งในวงการศิลปะการต่อสู้ ในเทียนจิน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าจู้เหวยเฟิง กลับแสดงออกมาเหมือนคนไม่มีความทะนง
“นี่น่าจะอยู่ใต้ดินสามสิบเมตร”
ลงลิฟต์จนถึงชั้นพื้นดิน เยี่ยเทียนคำนวณเวลาพบว่า ระยะห่างของสนามมวยกับภาคพื้นดินห่างกันถึงสามสิบสี่สิบเมตรทีเดียว ดูเหมือนว่านอกจากการสร้างหลุมหลบภัยแล้ว คนทั่วไปคงไม่สามารถขุดได้ลึกเพียงนี้
มองดูสนามจากกล้องวงจรปิดยังสู้ความตื่นตะลึงที่เยี่ยเทียนเห็นของจริงจากชั้นใต้ดินไม่ได้หรอก หลังจากออกจากลิฟต์ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่พูดเสียงชื่นชมออกมา “ท่านประธานจู้ ท่านลงทุนมหาศาลจริงๆ!”
ขนาดของสนามมวยใต้ดินแห่งนี้เคยเห็นจากกล้องวงจรปิดแล้ว แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ ความสูงของชั้นใต้ดินแห่งนี้แตกต่างจากหลุมหลบภัยทั่วไป มันกลับสูงถึงสิบกว่าเมตร
เพดานที่สูงจากพื้นสิบสี่ถึงสิบห้าเมตร ใช้โครงสร้างเหล็กกล้าเรียงเป็นแถวล็อกเอาไว้ และมีหลอดไฟสว่างมากถึงสี่สิบห้าสิบดวงอยู่ด้านบน เพื่อส่องสว่างถึงพื้นที่ใต้ดินไกลโดยมีรัศมีหนึ่งหรือสองกิโลเมตร
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าหลุมหลบภัยแห่งนี้เคยเป็นของทหารมาก่อน และสถานที่แห่งนี้ก็คือจุดจอดรถถังและเป็นที่เก็บอาวุธหนัก ดังนั้นขนาดของมันจึงใหญ่กว่าหลุมหลบภัยทั่วไปมาก
จุดตรงกลางของสนาม เป็นสนามมวยมาตรฐานขนาดหกเมตรคูณห้าเมตร วัสดุที่ใช้จะแตกต่างจากต่างประเทศ สนามนี้ไม่มีนวมรองปกป้องผู้เข้าแข่งขัน แต่กลับใช้หินก้อนใหญ่ขัดเรียบแทน
แม้แต่ราวตั้งรอบสี่ทิศของสนาม ก็ทำขึ้นจากหิน เชือกล้อมกลับใช้สายเหล็กล้อมแทน เยี่ยเทียนมองข้างบนอย่างสมาธิตั้งมั่น เขาเห็นพลังพิฆาตสีแดงดำมืดบางอย่างกำลังกระจายออกมาข้างนอก
ขณะนี้สนามเริ่มเต็มไปด้วยผู้คน มีบางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ บางคนถือเอกสารเอาไว้และพูดซุบซิบกัน บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ให้ความรู้สึกเหมือนความความสงบนิ่งก่อนพายุหนักกำลังจะถาโถมเข้าใส่
“เยี่ยเทียน นายมาที่นี่ได้ยังไง?”
ตอนที่จู้เหวยเฟิงพาเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ มาถึงเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางของสนามมวย มีคนหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเรียกชื่อของเยี่ยเทียนออกมา แถมยังขยี้ตาตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา
เยี่ยเทียนมองดูคนนั้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พลางพูด “พี่หู พี่มาได้ แล้วฉันจะมาไม่ได้หรือ?”
“เห้ ก็จริง ฉันลืมไปเลย…”
หูจวินขยี้หัว เพราะเขาก็รู้ฐานะของเยี่ยเทียน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เปิดเผย หูจวินจึงพูดได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็หยุดพูดไปทันที พลางชี้ไปที่จู้เหวยเฟิงและพูดว่า “ไอ้หนุ่มนี่เราโตมาด้วยกัน รบเร้าจะแบ่งหนึ่งส่วนให้ฉันอยู่ได้ ฉันไม่มีธุระอะไรก็เลยลองมาดู”
พ่อของหูจวินหลังจากที่หมดวาระในปีนี้ เขาก็นั่งอย่างมั่นคงในตำแหน่งที่หกของคณะกรรมาธิการทหาร อำนาจของเขาใหญ่กว่าตอนที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่องหลายเท่า แม้แต่หูจวินเองก็ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างมาก
และการหาเงินในที่แบบนี้ในปักกิ่ง สิ่งที่ต้องห้ามก็คือการรับอยู่คนเดียว ถึงแม้จู้เหวยเฟิงจะเป็นผู้บุกเบิกมวยใต้ดิน แต่หุ้นส่วนที่ตัวเขาถือเองนั้นมีเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือได้ประจายออกไปจนหมด
ครั้งก่อนเรื่องที่โจวเซี่ยวเทียนพ่ายแพ้ ถูกกระจายข่าวออกไปในปักกิ่งอย่างกว้าขวาง จู้เหวิยเฟิงรู้ดีว่าหูจวินกับเยี่ยเทียนรู้จักกัน จึงพูดว่า “เหล่าหู นายอยู่เป็นเพื่อนน้องเยี่ยไปก่อน ฉันจะไปทักทายคนอื่น เดี๋ยวมา!”
หูจวินกับจู้เหวยเฟิงสนิทกันอย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงยิ้มตอบ “เชิญน้องเยี่ยมาก็ไม่บอกฉันเลยนะ กลับไปฉันต้องปรับเหล้าเหมาไถห้าสิบปีสักสองขวด”
“เหล้าถูกน้องเยี่ยดื่มไปหมดแล้ว ถ้าจะเอา ไปเอาที่เขาเองละกัน”
จู้เหวยเฟิงหัวเราะฮ่าๆ และพาซาซาไปนั่งประจำเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ คนที่มาในวันนี้เป็นกลุ่มสถาบันการเงินมหาชนของภายในประเทศไม่น้อย เขาจึงจำเป็นต้องไปทักทายและให้เกียรติบ้าง
“ผมว่านะ อาชีพสุจริตไม่ทำ ทำไมถึงมาเข้าร่วมที่นี่ได้ล่ะ?” หลังจากที่จู้เหวยเฟิงเดินออกไป การพูดคุยของเยี่ยเทียนกับหูจวินจึงธรรมดากว่าเดิมเยอะ
……