ตั้งแต่จู้เวยเฟิงได้ก่อตั้งเวทีมวยใต้ดินแห่งนี้มา สัดส่วนของหุ้นก็ถูกแยกย่อยออกเป็นคนละสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น หากเยี่ยเทียนรับหุ้นจำนวนนี้ ก็เท่ากับว่าเขาจะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทันที
หลังจากจู้เหวยเฟิงบอกจำนวนสัดส่วนหุ้นออกไปแล้ว ชิวเหวินตงที่ไม่รู้เรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก สัดส่วนหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะมีรายรับราวสิบล้านทุกปี นี่แข่งบุญแข่งวาสนากับคนมันน่าโมโหจริงๆ ชิวเหวินตงลำบากลำบนช่วยจัดการต่างๆ นานา นานถึงสามปี หุ้นที่ได้มาก็แค่เพียงเศษเสี้ยวของเยี่ยเทียนเท่านั้น
“หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของสนามมวย? ให้ผม?”
เยี่ยเทียนส่งสายตาสงสัยมองไปยังหนังสือสัญญาบนมือของจู้เหวยเฟิง แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแข่งขันต่อยมวยแล้วจะสามารถแลกมาด้วยหุ้นมูลค่าหลายร้อยล้านขนาดนี้
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า กล่าวว่า “ใช่แล้ว น้องเยี่ย ผู้มีอิทธิพลในสี่เขต เก้าเมือง จะมากจะน้อยก็จะต้องมีหุ้นอยู่บ้าง นายเอาไปเถอะไม่ต้องกังวล ไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนอะไรแน่ๆ!”
หากเทียบกับมูลค่าหุ้นที่ให้ไป จู้เหวยเฟิงรู้สึกว่าให้หุ้นเยี่ยเทียนไปสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะคนพวกนั้นส่วนมากเมื่อรับเงินไปแล้วก็จะไม่มาหาเรื่องสนามมวย แต่ไม่มีผลต่อการพัฒนาสนามมวยให้ดีขึ้น
แต่หากว่าเยี่ยเทียนเข้าร่วมด้วยนั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว มีเขาที่มีฝีมือสูงส่งอยู่ จู้เหวยเฟิงจะสามารถติดต่อกับสนามมวยใต้ดินได้อีกหลายแหล่ง ชักจูงให้พวกนักมวยต่างชาติเข้ามาในจีน สรุปว่าหากมีเยี่ยเทียนอยู่เป็นหลักก็ไม่ต้องกลัวนักมวยต่างชาติมาทำให้ขายหน้า
“ช่างเถอะ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ น้ำใจของประธานจู้ผมขอรับเอาไว้ก็แล้วกัน”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ปฏิเสธออกไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด อย่าว่าแต่เงินปันผลหุ้นที่ได้ปีละสิบล้าน ตอนนั้นที่กงเสี่ยวเสี่ยวมอบหุ้นมูลค่าแปดร้อยล้านให้กับเขา เขายังไม่รับ
เยี่ยเทียนเข้าใจหลักที่ว่า บนโลกนี้ ไม่มีของที่ได้ฟรีโดยเด็ดขาด ได้รับของบางอย่างในเวลาเดียวกันก็จะต้องตอบแทนด้วยบางสิ่งเช่นกัน ความสามารถหรือว่าคุณธรรมก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับยิ่งมากเสียไปก็ยิ่งมาก
สำหรับความคิดของจู้เหวยเฟิงนั้น เยี่ยเทียนก็พอจะคาดเดาได้ อยากจะใช้หุ้นสนามมวยอันน้อยนิดจับเขาเอาไว้ แบบนั้นก็ถือว่าดูถูกเยี่ยเทียนคนนี้มากไปแล้ว เงินทองนั้นไม่ได้ดูล่อตาล่อใจสำหรับเยี่ยเทียน แค่เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาก็สามารถใช้ทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลหลายหมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐได้ตลอดเวลา
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่รับ จู้เหวยเฟิงรีบกล่าวต่อว่า “น้องเยี่ย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของฉัน แล้วอีกอย่าง คนในปักกิ่งแต่ละคนก็มีหุ้นจะมากบ้างน้อยบ้างก็ตามแต่ นายรับไปใช่ว่าจะไม่เหมาะสม”
จู้เหวยเฟิงกล่าวแบบมีนัยยะอีกชั้น นั่นก็คือหากเยี่ยเทียนรับหุ้นเอาไว้ ก็จะกลายเป็นคนในแวดวงเดียวกับเขาแล้ว สำหรับลูกหลานของเหล่าผู้ก่อตั้งประเทศนี้ ถึงแม้ปกติจะทำอะไรด้วยความถ่อมตน แต่ภายในใจนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจอยู่ และไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาในแวดวงของพวกเขาได้
“เหอะๆ ประธานจู้ คุณดูว่าผมเหมือนคนขาดเงินเหรอ”
เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา สายตาดูเหมือนหยอกเย้ามองไปทางจู้เหวยเฟิง กล่าวว่า “ผมเยี่ยเทียนคนนี้เป็นชาวบ้านธรรมดา เกรงว่าจะเข้าสังคมกับคนเมืองไม่ได้ ก็ยังเหมือนประโยคก่อนหน้า น้ำใจของประธานจู้ขอรับไว้แล้วกัน วันนี้พอแค่นี้เถอะนะครับ!”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงลอบถอนใจออกมา เขาทราบถึงบางเรื่องเกี่ยวกับมารดาของเยี่ยเทียน ใช้คำว่าร่ำรวยคับประเทศอธิบายผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เกินไป ดังนั้นตอนที่ให้หุ้นพวกนี้ เขาก็เตรียมตัวไว้แล้วที่จะโดนปฏิเสธ
และไม่ว่าเยี่ยเทียนจะเป็นหลานคนโตของตระกูลซ่ง หรือว่าเป็นปรมาจารย์วิชามวย ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ทำให้เขาเหมาะกับการที่จะเป็นนักมวยใต้ดินได้เลย จู้เหวยเฟิงยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเองคิดไม่รอบคอบ เขาก็เป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ในตอนนั้นจึงเอาสัญญาวางไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “เอาเถอะ ฉันให้คนไปส่ง น้องเยี่ยเทียน กับคนอื่นๆ ก็แล้วกัน วันหลังหากไม่มีธุระอะไร ก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ นะครับ…”
“ได้ อย่างนั้นขอขอบคุณประธานจู้มาก หูจวิน มีเวลาว่างมาดื่มชาด้วยกันบ้างนะ อย่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการหาเงินทั้งวันล่ะ”
เมื่อเห็นหูจวินและชิวเหวินตงไม่ได้จะกลับเหมือนกัน เยี่ยเทียนจึงรู้ว่าพวกเขายังมีเรื่องต้องคุยกัน จึงรีบทักทายกับหูจวิน ลุกขึ้นแล้วจากไป
จู้เหวยเฟิงส่งรถเบนซ์หรูคันหนึ่งไปส่งเยี่ยเทียน หลังจากขึ้นรถถามที่อยู่เรียบร้อย คนขับรถคนนั้นก็เอากระจกกั้นเสียงขึ้นอย่างรู้งาน เห็นได้ชัดว่าเขารับส่งเศรษฐีผู้มีอิทธิพลบ่อยมาก
“เยี่ยเทียน ทำไมถึงยังไว้ชีวิตไอ้คนญี่ปุ่นคนนั้นเอาไว้ล่ะ”
ตอนที่อยู่ที่สนามมวย หูหงเต๋อมีบางคำที่ไม่ได้พูดออกมา เขาทราบดีว่าอาศัยความสามารถของเยี่ยเทียน ก็สามารถใช้ทวนกระบวนท่าเดียวฆ่าคาโต้ ทาคุมิได้ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดทรมาน ถึงแม้จะเป็นคนญี่ปุ่น แต่ก็เป็นนักสู้คนหนึ่ง
“เหล่าหู คำที่ผมพูดบนเวทีมวย คุณไม่ได้ยินเหรอ”เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปทางหูหงเต๋อ “ผมไม่ได้บอกเหรอว่า เจ้าคาโต้ ทาคุมิติดค้างเราแค่แขนสองข้าง ตัดแขนขาเขาแล้ว ก็พอดีกับเงินต้นบวกดอกเบี้ย!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ เจ้าเด็กนี่ทำแบบนี้ยังจะต้องมีความคิดอื่นอีก หรือว่าจะตีวัวกระทบคราด ล่อให้ตัวใหญ่ออกมา”
หูหงเต๋อส่ายหัว ถึงแม้อารมณ์ของเขานั้นจะรุนแรง แต่ไม่ได้เป็นคนโง่ คนที่ไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย จะสามารถฝึกวิชาจนอยู่ในขั้นนนี้ได้อย่างไร แค่เพียงพริบตาก็สามารถเดาความคิดของเยี่ยเทียนออกมาได้เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นแล้ว
หูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนล้วนแต่เป็นคนที่เชื่อใจได้ เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ไม่ได้ปิดบัง เงียบไปชั่วครู่แล้วจึงพูดว่า “ถูกแล้ว ผมอยากจะล่อให้อาจารย์ของคาโต้ ทาคุมิออกมา เหล่าหู แขนซ้ายของศิษย์พี่ใหญ่ ถูกอาจารย์ของเขาคิตะมิยะ ฮิเดโอะตัดไป”
“อะไรนะ แขนของท่านลุงถูกคนญี่ปุ่นตัดไป” หูหงเต๋อตกใจไม่น้อย ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งขึ้นมา เพียงแต่ลืมไปว่าตัวเองอยู่บนรถ หัวกระแทกเข้ากับหลังคาของรถเบนซ์พอดี
หูหงเต๋อไม่สนใจอาการปวดที่หัวถูกกระแทก มือหนึ่งจับเยี่ยเทียนกล่าวถามว่า “เยี่ยเทียน นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันจำได้ว่าเมื่อสี่ห้าปีก่อนที่คนญี่ปุ่นยอมแพ้นั้น แขนของท่านลุงยังอยู่ดีนี่นา?”
โก่วซินเจียก่อนจะไปที่ไต้หวัน เคยไปที่เทือกเขาฉางไป๋ซานครั้งหนึ่ง เขาอยากจะชวนหูอวิ๋นเป้าไปด้วย เพียงแต่ว่าหูอวิ๋นเป้านั้นอยู่ที่บ้านเกิดไม่อยากที่จะจากไป ในตอนท้ายก็อยู่ต่อ นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่หูหงเต๋อเห็นโก่วซินเจีย
“เรื่องราวเป็นมายังไงคุณไม่ต้องถามแล้ว รู้แค่ว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีชื่อคาตะมิยะ ฮิเดโอะก็เพียงพอแล้ว”
เรื่องทองคำยี่สิบตันต่อให้ความสัมพันธ์ดีมากขนาดไหน ต่อให้เยี่ยเทียนสามารถเชื่อถือหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนได้ ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา บนโลกนี้คนที่รู้เรื่องทองจำนวนนี้ เกรงว่านอกจากเขาสามศิษย์พี่น้องแล้ว ก็เห็นจะมีแต่พวกญี่ปุ่นที่เข้าร่วมขโมยกับโก่วซินเจียเท่านั้นที่รู้
“เยี่ยเทียน เธอยืนยันได้เหรอว่าเป็นคนนี้ทำ แค่พวกญี่ปุ่นนั้น เกรงว่าจะทำอันตรายอะไรท่านลุงไม่ได้”
โก่วซินเจียในตอนนั้นเป็นผู้นำในฉีเหมินที่ผู้คนมากมายเคารพนับถืออยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ถือว่าเป็นหนามยอกอกของพวกญี่ปุ่นที่มายังประเทศจีน พวกญี่ปุ่นนั้นคิดหาวิธีกันแทบตายก็ไม่สามารถจัดการกับ “อินทรีย์เนตรทอง” ได้หูหงเต๋อไม่เชื่อว่าหลังจากสงครามแล้ว โก่วซินเจียจะถูกพวกญี่ปุ่นจัดการ
“คุณคิดว่าพวกญี่ปุ่นจะปะทะกับศิษย์พี่ซึ่งหน้าเหรอ”
เยี่ยเทียนหัวเราะเย็น กล่าวว่า “คนร้อยคนล้อมคนยี่สิบกว่าคน แล้วยังวางกับดักเอาไว้ก่อนแล้ว ศิษย์พี่จึงได้พลาดท่า เหล่าหู ไม่เป็นไร คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่ได้ตาย บัญชีนี้จะต้องได้ชำระกันในซักวันหนึ่ง!”
นับตั้งแต่ได้พบกับคิตะมิยะ ทาโร่ที่เขตมหาวิทยาลัยหวาชิง เยี่ยเทียนก็เริ่มมีความคิดที่จะแก้แค้นให้กับศิษย์พี่ เขาจึงลอบลงมือทำร้ายอวัยวะภายในของคิตะมิยะ ทาโร่ ตอนนี้ก็น่าจะเดินทางไปพบกับเทพ “อะมะเตะระสุ” ที่ปกปักคุ้มครองเขาอยู่แล้วกระมัง(หมายถึงตายแล้ว)
เพียงแต่คิตะมิยะ ทาโร่ จะมีอาการออกมาก็น่าจะเป็นตอนที่เขาไปอยู่เกาหลีแล้ว ดังนั้นตระกูลคิตะมิยะจึงยังไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องนี้เยี่ยเทียนเป็นคนทำในทันที แต่ครั้งนี้ตัดแขนขาของคาโต้ ทาคุมิ กลับเป็นการท้าทายโดยตรงกับตระกูลคิตะมิยะ
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนกลัวคนในครอบครัวเป็นอันตราย ทำแบบไม่ออกหน้า แต่ตอนนี้เขาได้รับการรับรองจากซ่งเฮ่าเทียนแล้วจึงไม่ต้องกังวลกับตระกูลคิตะมิยะอีก ดังนั้นจึงลดความกังวลลงไป เขารีบอยากจะให้ตระกูลคิตะมิยะส่งมือดีมาหรือแม้แต่ให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะมาที่ประเทศจีนเอง
ในคืนนั้นเมื่อกลับมาถึงเรือนสี่ประสาน ก็เป็นเวลาตีสองแล้ว แต่ที่ทำให้พวกเยี่ยเทียนคิดไม่ถึงก็คือ โก่วซินเจียยังไม่ได้นอน แต่รอพวกเขาอยู่ที่ลานกลางบ้าน
“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ก็ดึกแล้วทำไมพี่ยังไม่พักผ่อน?”
มองดูโก่วซินเจียที่แขนขวาว่างเปล่านั้น ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเจ็บปวด ในช่วงเวลานี้ได้ฟังเรื่องราวความหลังของโก่วซินเจียก็ไม่น้อย เยี่ยเทียนรู้สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ทำในครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนถือว่าเป็นวีรบุรุษของเหล่าราษฎร
“ไอ้เจ้าเด็กนี่ ทำไมถึงชอบฆ่าฟันนักนะ” โก่วซินเจียมองไปที่เยี่ยเทียน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “ในตอนที่จะไปก็บอกเธอแล้วว่าอย่าโมโหใช้อารมณ์ ทำไมถึงลงมือทำร้ายคนอีกเล่า”
โก่วซินเจียสัมผัสได้กับการขับเคลื่อนพลังพิฆาตของเยี่ยเทียน ทำให้กลิ่นคาวเลือดบนตัวของเยี่ยเทียนนั้นไม่อาจปิดบังเขาได้ โดยเฉพาะพลังจิตสังหารนั้นเยี่ยเทียนไม่ได้เก็บซ่อนเอาไว้เลย ทำให้โก่วซินเจียที่อาศัยอย่างสงบสุขมาหลายสิบปีอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
เยี่ยเทียนหันกลับไปมองทั้งสองคน กล่าวว่า “พวกคุณไปพักผ่อนเถอะ ผมกับศิษย์พี่จะคุยกันซักหน่อย!”
“ศิษย์พี่ วันนี้ได้เจอคนตระกูลคิตะมิยะแล้ว พี่จะไม่ให้ฉันลงมือได้ยังไง”
รอจนหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนจากไป เยี่ยเทียนก็เล่าเรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังอีกรอบ เขาไม่ได้ปิดบังความคิดที่จะสู้กับตระกูลคิตะมิยะเพื่อช่วยโก่วซินเจีย
“วิชามวยของยุโรปก็ยังมีบางส่วนที่นำมาใช้ได้ แต่หากเทียบกับมวยภายในของจีนเราแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอีกมาก เต๋อหว๋าจึสู้ได้ดี ฮ่าๆ มีบางส่วนคล้ายกับซุนลู่ถังในปีนั้น!”
หลังจากฟังเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของตระกูลคิตะมิยะอีก แต่กลับให้ความสนใจในการต่อสู้ของหูหงเต๋อและอันเดรวิช และสอบถามรายละเอียดไม่น้อย
ในตอนที่ซุนลู่ถังอายุเกือบห้าสิบปีนั้น ได้ขึ้นชกกับ “เปตรอฟ” นักต่อต่อสู้ชื่อดังชาวรัชเซียจนมึนงงไป หลังจากนั้นชื่อเสียงก็เพิ่มมากขึ้น ได้รับสมญานามว่า ราชาพยัคฆ์และเป็นหนึ่งในใต้หล้า
“คนญี่ปุ่นโหดร้ายทารุณ จุดประสงค์ที่พวกเขามาประเทศจีนนั้นคงไม่ธรรมดาแน่ๆ! ” หลังจากชมเชยหูหงเต๋อแล้ว โก่วซินเจียก็ดึงหัวข้อสนทนากลับไปที่เรื่องคนญี่ปุ่น
……