เห็นพ่อเก็บคนโฑกกลับไป เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “พ่อ พวกของโบราณอีกหน่อยก็เก็บสะสมเป็นงานอดิเรกเถอะ หากว่างๆ ก็ดื่มชาพูดคุยกับเพื่อนที่ร้านน้ำชาที่พ่อเปิดนั่นแหละ”
พูดตามตรงเรื่องที่พ่อทำธุรกิจนั้น เยี่ยเทียนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เขารู้สึกว่าพ่อน่าจะกลายเป็นนักวิจัยปริญญาโท ไม่ต้องมาพัวพันวุ่นวายกับพวกเงินที่มีที่มาไม่ดีเหล่านี้ หากเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ต้องเปรียบเทียบกับแม่แล้ว เชื่อว่าในใจน่าจะรู้สึกสบายขึ้นมาหลายส่วน
เยี่ยเทียนคิดหาโอกาสที่จะพูดกล่อมพ่อมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าประจวบเหมาะกับที่เยี่ยตงผิงถูกหลอก ทำให้คำพูดเหล่านี้เขาไม่กล้าที่จะพูดออกไป มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการสงสัยในความสามารถของพ่อไป
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน พ่อของแกเพิ่งจะสี่สิบกว่า ยังไม่ถึงวัยเกษียณนะ” เยี่ยตงผิงมองลูกชายด้วยสายตาไม่พอใจ หลายปีมานี้ตลาดค้าศิลปะของโบราณนั้นยิ่งนานวันก็จะยิ่งเป็นที่สนใจ เขายังคิดที่จะขยายกิจการ คิดไม่ถึงว่าจะถูกตีหัวเข้าให้
“อืม แล้วแต่พ่อก็แล้วกัน แต่ว่า รอ…รอให้แม่กลับมา พ่อก็หาเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนแม่หน่อยจะดีกว่า”
พฤติกรรมของพ่อนั้น เยี่ยเทียนเข้าใจได้ เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนที่ยอมให้ผู้หญิงของตัวเองดูถูก นับประสาอะไรกับเยี่ยตงผิงที่เคยเป็นคนมีพรสวรรค์ เป็นบุคคลที่โดดเด่นจากในบรรดาคนที่มาจากบ้านนอก
แต่ว่าตอนนี้เยี่ยตงผิงมีชีวิตที่ถือว่าไม่ลำบาก แต่หากเปรียบเทียบกับแม่ของเยี่ยเทียนซ่งเวยหลันแล้ว อยู่กันคนละฟากฟ้า หากไม่พูดถึงความมั่งคั่ง ฐานะของซ่งเวยหลันในโลกการเงินปัจจุบัน ก็ทำให้เยี่ยตงผิงดูมีอำนาจพอตัว
แต่ว่าเยี่ยเทียนมั่นใจว่าแม่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าคนนั้นจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น มิเช่นนั้นยี่สิบปีมานี้ ก็คงไม่เป็นโสดมาจนบัดนี้ ต่างประเทศนั้นคนมีความสามารถหน้าตาดีเยอะแยะไป ไม่แน่ว่าอาจจะสู้พ่อได้ด้วย
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เรื่องของผู้ใหญ่อย่ายุ่งได้มั้ย…” เยี่ยตงผิงเพิ่งพูดออกไป ถึงได้นึกได้ว่าลูกชายก็มีกำหนดที่จะแต่งงานแล้ว จึงได้เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เอ่อ เรื่องของพ่อกับแม่ แกอย่ายุ่งให้มากนัก”
“ถึงเวลาพ่ออย่ามาขอร้องให้ผมจัดการนะ ได้ ผมรับโทรศัพท์ก่อน” เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำขู่ของพ่อ ในตอนที่คิดอยากจะเถียงกับพ่ออยู่นั้น โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น
“ผมชื่อเยี่ยเทียน ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร” เยี่ยเทียนเห็นเบอร์ที่แสดงออกมานั้นเป็นเบอร์แปลก จึงถามออกไป
“น้องเยี่ย ฉันคือจู้เวยเฟิง” เสียงระรื่นของจู้เว่ยเฟิงลอยมาตามสาย “ที่โทรมาตอนนี้ ไม่ได้รบกวนนายใช่มั๊ย”
“เป็นพี่จู้นี่เอง มีเรื่องอะไรให้น้องคนนี้รับใช้”
สำหรับการที่จู้เว่ยเฟิงสามารถหาเบอร์โทรฯของเขามาได้ยังไงนั้น เยี่ยเทียนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไร เนื่องจากหูจวินและชิวเหวินตงล้วนมีเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง ตอนนั้นจึงยิ้มและหัวเราะฮ่าๆ ใส่จู้เวยเฟิงในสาย
“น้องเยี่ย มีเรื่องนึงที่ต้องบอกนาย”
เสียงของจู้เวยเฟิงในโทรศัพท์พลันเปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมา “คาโต้ ทาคุมิเมื่อคืนวานช่วยชีวิตทั้งคืน ตอนนี้รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว แต่ว่าเช้าวันนี้ มีสถานทูตญี่ปุ่นในประเทศจีนส่งคนมา จะรับเขากลับไป ฉันก็เลยจะขอความเห็นจากนาย”
หากว่าเป็นคนจากหน่วยงานการค้าของญี่ปุ่นมาต้องการรับคนไป จู้เวยเฟิงจะไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน คนที่มารับนั้นเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในสถานกงสุลญี่ปุ่นประจำประเทศจีน ตำแหน่งนั้นเท่ากับทูตการค้าในสถานทูตของกระทรวงการต่างประเทศ มีสิทธิจากกระทรวงต่างประเทศและอำนาจในการยกเว้น
เจ้าหน้าที่ราชการคนนี้กล่าวกับจู้เวยเฟิงอย่างตรงไปตรงมา สำหรับพฤติกรรมส่วนตัวของคาโต้ ทาคุมินั้น พวกเขาจะไม่ต่อความยาวสาวความยืด แต่ว่าคาโต้ ทาคุมิ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จะต้องกลับญี่ปุ่นไปกับเขา มิเช่นนั้นจะต้องส่งรูปคนญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในประเทศจีนแล้วได้รับบาดเจ็บให้กับกระทรวงการต่างประเทศ
โบราณว่าไว้กระทรวงการต่างประเทศไม่มีเรื่องเล็ก จู้เวยเฟิงถึงแม้ในประเทศจีนจะมีเส้นสายอยู่บ้าง แต่เรื่องไปถึงกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถควบคุมได้ ดังนั้น จู้เวยเฟิงเมื่อไม่สามารถทานอำนาจได้ จึงได้ตัดสินใจโทรหาเยี่ยเทียน อยากจะสอบถามความคิดเห็นของเขา
เยี่ยเทียนก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่จู้เวยเฟิงได้รับจากน้ำเสียงของเขา ตอนนั้นจึงได้หัวเราะและกล่าวว่า “ประธานจู้ แค่คนพิการคนเดียวเท่านั้น พวกเขาต้องการ ก็ให้พวกเขาคืนไปก็เท่านั้น”
“ได้ น้องเยี่ย ขอบคุณมากที่นายเข้าใจ หากจะว่าแล้ว เมื่อคืนปล่อยให้ตายไปซะก็จบแล้ว”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว จู้เวยเฟิงก็ถอนหายใจ จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนจะเก็บคาโต้ ทาคุมิเอาไว้ทำไมกัน เมื่อคืนหากเอาปืนยิงให้ตายไปซะ เรื่องวุ่นวายนี้ก็คงไม่มี
“ฮะๆ.ประธานจู้ ตายมันง่ายไป” เยี่ยเทียนยกมุมปาก กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่า ความคิดของเขานั้น ไม่สามารถพูดให้จู้เวยเฟิงฟังได้
“อ้อ จริงสิ น้องเยี่ย ภาพการต่อสู้ที่พวกเขาต้องการนั้น ฉันปฎิเสธไปแล้ว นายวางใจได้ พวกนั้นจะไม่ได้อะไรเกี่ยวกับนายไปจากทางฉันแน่นอน”
เพื่อเป็นการป้องกันเยี่ยเทียนเข้าใจผิด จู้เวยเฟิงก็อธิบายต่อยาวเป็นพรวน อีกฝ่ายสามารถไปหาสถานกงศุลในประเทศจีนให้ออกหน้าได้ แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดา แต่เยี่ยเทียนเมื่อวานเพื่อการต่อสู้ของสนามต่อสู้ หากว่าตัวเองไม่ใจกว้างพอขายเยี่ยเทียนไป เกรงว่าแม้แต่หูจวินก็จะเลิกคบกับเขาแน่ นั่นก็เท่ากับว่าเลิกคิดเรื่องที่จะหากินในวงการนี้ไปได้เลย
“อย่าเลย ประธานจู้ เมื่อวานที่พูดไป คนที่นั่นล้วนได้ยินกันหมด คุณไม่พูดคนอื่นก็พูดกันอยู่ดี”
หลังจากได้ฟังการออกตัวของจู้เวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนกลับไม่รับไมตรีนี้ไว้ กล่าวว่า “ประธานจู้ วิดิโอถูกทำลายไปแล้ว แต่ว่าคุณสามารถบอกชื่อของฉันให้พวกนั้นรู้ได้!”
ที่ไปพม่าในครั้งนี้จะได้เจอคนญี่ปุ่นที่ตามหาทองคำหรือไม่นั้น เป็นแค่การคาดการณ์จากความคิดของโก่วซินเจียและความไม่ชัดเจนเท่านั้น ดังนั้นเยี่ยเทียนอดใจไม่ไหวที่จะให้คนตระกูลคิตะมิยะตามมาหาในประเทศ หากว่าพวกเขาหดหัวอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เยี่ยเทียนก็ยังจะไม่สามารถแก้แค้นให้ศิษย์พี่ได้ในทันที
แต่ทว่าจู้เวยเฟิงนั้นไม่ทราบถึงความคิดนี้ของเยี่ยเทียน เขากลับคิดว่าที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเป็นตรงกันข้าม จึงหัวเราะกล่าวว่า “น้องชาย อย่างล้อเล่นไป พี่คนนนี้ไม่ใช่คนไร้ไมตรีจิต นายวางใจได้ แรงกดดันแค่นี้ฉันรับได้สบายมาก”
“เฮ้ ผมจะมาล้อเล่นเรื่องนี้กับคุณทำไม” เยี่ยเทียนกล่าว “ประธานจู้ ไม่เป็นไร คุณก็ทำตามที่ผมบอก นำเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นบอกกับทางฝั่งนั้นไปให้ครบถ้วนกระบวนความเถิด จริงๆ นะ ผมอยากจะลองประฝีมือกับดาบของพวกญี่ปุ่นดูอีกแหนะ!”
“น้องชาย ที่นายพูดนี่เอาจริงใช่มั๊ย” ได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ จู้เวยเฟิงกลับตะลึงงันไป ถึงแม้เมื่อวานเยี่ยเทียนจะลงมือได้เหี้ยมโหด แต่ทำไมจู้เวยเฟิงถึงมองไม่ออกว่าเยี่ยเทียนเป็นพวกคนหนุ่มเลือดร้อนแบบนั้นล่ะ
“จริงแท้แน่นอน ประธานจู้ ผมยังมีเรื่องต้องทำ คุณทำตามที่ผมบอกก็แล้วกัน!”
เห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนนั้นเรียกศิษย์พี่มาทานข้าวแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้คุยกับจู้เวยเฟิงให้ยืดเยื้อต่อไป หลังจากสั่งความเสร็จก็วางสายไป
“นี่…นี่ไม่กลัวมีเรื่องวุ่นวายหรือไงกัน” ได้ฟังคำที่ลอยมาตามปลายสาย จู้เวยเฟิงก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ เรื่องที่ผู้คนหวาดกลัวหลีกเลี่ยงกันแทบตาย ไอ้น้องชายคนนี้ก็แปลก เอาตัวเองเข้าไปปะทะเสียอย่างนั้น
แต่ว่าหากตามที่เยี่ยเทียนพูดนั้น จู้เวยเฟิงก็ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย รีบไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ยังอยู่ในออฟฟิศของเขาทันที พาเขาไปที่โรงพยาบาลลับด้วยตัวเอง ส่งคืนคาโต้ ทาคุมิที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ให้กับพวกนั้นไป
เยี่ยเทียนนั้นเป็นไปตามที่เขาพูดไว้จริงๆ สองสามวันนี้ยุ่งจนปลีกตัวหาเวลาว่างไม่ได้ เดิมทีเขาขอให้เว่ยหงจวินช่วยเหลือทำวีซ่าให้ ใครจะไปรู้ว่าเส้นสายเขาไม่ใหญ่พอ จึงได้แต่ต้องรอห้าวันจึงจะสามารถรับเอกสารได้ เมื่อไม่มีทางเลือกเยี่ยเทียนก็ไปหาหูจวิน จึงได้รับพาสปอร์ตและวีซ่าก่อนไปพม่าเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
มาลาไกย์นั้นแค่เพียงวันแรกก็หายตัวไปจากปักกิ่งอย่างไร้ร่องรอย เมื่อไปถึงย่างกุ้งแล้วก็โทรหาเยี่ยเทียน จากนั้นสองสามวันต่อมาก็ไม่มีความเคลื่อนไหว คนพวกนี้ตะลอนไปทั่วโลก ทำให้เยี่ยเทียนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่เท่าไหร่
สำหรับแปดคนนั้นที่มาจากสถานต่อสู้อันเต๋อ พาสปอร์ตและวีซ่านั้นทำเรียบร้อยแล้ว ชิวเหวินตงก็สมัครแพ็คเกจทัวร์ให้พวกเขา นั่งเครื่องบินไปไฟล์ทเดียวกันกับเยี่ยเทียน และค่าใข้จ่ายต่างๆนั้นก็ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนออกให้
….
ในตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมตัวจะออกจากปักกิ่งไปพม่านั้นเอง ในตึกของที่ทำการเมืองโอซาก้าประเทศญี่ปุ่นกำลังมีบรรยากาศที่ตึงเครียด คนญี่ปุ่นที่สวมใส่เสื้อสูทสีดำน่าเกรงขาม มากกว่ายี่สิบคนยืนเข้าแถวล้อมไว้ที่ทางเข้าออกตัวอาคาร สีหน้าถมึงทึง
ภายในอาคารที่ก่ออิฐผสมผสานกับใช้ไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวอาคารแบบญี่ปุ่นนั้น บริเวณหน้าต่างก็ปรากฎคนสามคนยืนอยู่ และคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้น ก็คือคาโต้ ทาคุมิที่เสียแขนและขาไป
คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคนนั้น เป็นชายชราที่มองไปแล้ว มีผมสีดอกเลาขึ้นอยู่เต็มศรีษะ ความสูงของชายชรานั้นอยู่ที่ประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่า วงหน้าเด่นชัดและเฉียบคม ยืนตัวตรงอยู่บริเวณนั้น ท่าทางนั้นเคร่งเครียด แต่ภายในดวงตาที่มองไปที่คาโต้ ทาคุมินั้น ปรากฏแววเศร้าสลด
“ท่านผู้นำตระกูล กรุณาเปิดผ้าม่านให้ผมได้เห็นแสงแดดด้านนอกเถอะ” หลังจากทิ้งช่วงมาสี่ห้าวัน คาโต้ ทาคุมิก็ฟื้นตื่นขึ้นมา แต่ก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก เสียงที่กล่าวออกมานั้นเบาเป็นเสียงยุงบิน
“ได้ยินมั๊ย เปิดผ้าม่าน!” คนสูงวัยมองไปที่คาโต้ ทาคุมิ โดยที่ไม่ได้หันไปไหน สั่งการออกมา
“ได้!” บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับดึงผ้าม่านขึ้น แสงแดดอบอุ่นยามเช้าพลันก็สาดกระจายอยู่บนร่างของคาโต้ ทาคุมิที่ถูกห่อไว้ราวกับบะจ่างก็ไม่ปาน
“คาโต้ แกใช้หยาดเลือดเนื้อต่อสู้จนนาทีสุดท้าย แกก็เป็นวีรบุรุษ!”
ชายชรามองไปที่คาโต้ เมื่อกล่าวนั้นสายตาอบอุ่น จากนั้นพลันเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา “แต่ว่า แกทำให้ฉันผิดหวังมาก แกไม่สามารถทำภารกิจของตระกูลให้แล้วเสร็จได้ แกทำให้ตระกูลคิตะมิยะ….อับอาย แก….ไม่ควรมีชีวิตกลับมา!”
เป็นเพราะกล่าวด้วยความร้อนรน ชายชรานั้นก็ไออย่างหนักหน่วง บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบส่งผ้าผืนหนึ่งออกไป หลังจากเสียงไออย่างหนักหน่วงผ่านพ้นไป ชายชราก็เอาผ้าออก บนผ้าสีขาวราวหิมะผืนนั้น ปรากฏรอยหยดเลือดอยู่
หลังจากรับผ้าปิดปากไปแล้ว บุรุษวัยกลางคนกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “ขออย่าได้สะเทือนใจไป คุณชายคาโต้ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว!”
……