ความยามค่ำคืนย่างกรายมาถึง เสียงดังเอะอะครึ่งค่อนวันในหมู่บ้านก็กลับสู่ความเงียบสงบ
เต็นท์นับสิบกว่าหลังได้ตั้งขึ้นบริเวณรอบหมู่บ้านในภูเขา โอบล้อมหมู่บ้านขึ้นมา และบริเวณรอบป่าก็มีร่างเงาของพวกคนญี่ปุ่น คอยสังเกตแสงสว่างของไฟให้คนในหมู่บ้านอย่างใกล้ชิด
มีเต็นท์ที่มีลักษณะคล้ายชาวมองโกเลียอันหนึ่งที่สูงราวสามเมตร ปูด้วยพรมหรูหรา แขวนดาบซามูไรด้ามหนึ่งไว้หน้าประตูเต้นท์ บนดาบซามูไรนี้เขียนตัวหนังสือสี่ตัวว่า “วูหยุนฉางจิว”
ข้างใต้ของตัวหนังสือ “วูหยุนฉางจิว” สี่ตัวนั้น มีเสื่อทาทามิอย่างประณีตและสวยงามวางอยู่ คิตะมิยะ ฮิเดโอะนั่งอยู่ตรงกลาง อีกสามคนแยกกันนั่งข้างโต๊ะน้ำชา หนึ่งในนั้นมีคิตะมิยะ ฮิโคโตชิและคิตะมิยะ นาโอกิที่มีส่วนรับผิดชอบในการเดินทางครั้งนี้ของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ
คิตะมิยะ ฮิโคโตชิที่ใจเย็นมาโดยตลอด เวลานี้ได้เผยสีหน้าร้อนบนใบหน้าออกมา พลางมองนาฬิกาข้อมือบ่อยๆ หลังจากที่อดทนมาได้สักพักหนึ่ง เขาจึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “หัวหน้า ถึงเวลาที่นัดหมายกันไว้แล้ว ทำไมพวกเขายังไม่กลับมาอีก!”
คนที่คิตะมิยะ ฮิโคโตชิกำลังพูดถึงอยู่นั้น คือทีมสำรวจเล็กที่เข้าไปสำรวจในภูเขาปีศาจล่างหน้าเมื่อสามชั่วโมงก่อน เดิมทีคิตะมิยะ ฮิโคโตชิได้คัดค้านไม่ให้เข้าไปวำรวจภูเขาปีศาจในยามกลางคืน แต่หัวหน้าคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ยันหยัดว่า ส่งคนในกองกำลังทหารเข้าไปแปดคน
ตระกูลที่เดินทางมายังพม่าครั้งนี้มีทั้งหมดเกือบสองร้อยคน และคนที่ถูกส่งเข้าไปแปดคนก็ไม่มีคนสำคัญอะไร แต่สิ่งที่ทำให้คิตะมิยะ ฮิโคโตชิกระวนกระวายใจก็คือ คนที่อยู่ในกลุ่มแปดคนนั้น ยังมีลูกชายของเขาคิตะมิยะ ฮาเซดะ เป็นลูกชายคนโตที่เขาฝากฝังความหวังที่สูงส่งมาโดยตลอด
เมื่อเห็นท่าทางที่อยู่ไม่สุขของคิตะมิยะ ฮิโคโตชิ คิตะมิยะ ฮิเดโอะจึงพูดว่า “ฮิโคโตชิ การฝึกเคนโด สิ่งสำคัญอันดับแรกคือฝึกจิต อย่าให้สิ่งภายนอกมาปิดบังความจริงพลังจิตวิเศษ ฮาเซดะก็คือศิษย์ที่สืบทอดจากฉันโดยแท้ มีหรือที่ฉันจะไม่เป็นห่วงเขา?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ คำพูดของคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เปลี่ยนไปทันที” ช่อดอกไม้ที่อยู่ในห้องเรือนกระจกนั้นไม่สามารถเติบโตได้ มีเพียงผ่านการทดสอบที่โหดร้ายเท่านั้น เขาถึงจะเติบโตเป็นเสาหลักของตระกูลคิตะมิยะของพวกเรา!”
ในขณะที่พูดถึงคิตะมิยะ ฮาเซดะ ใบหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มเย็นชาและไร้ปราณีออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญมาก
“ครับ หัวหน้าพูดถูก ผมคิดมากเกินไป!” ไม่ว่าที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะจะพูดผิดหรือถูก ถึงอย่างไรก็ส่งคนพวกนั้นไปแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คิตะมิยะ ฮิโคโตชิจึงได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาลิขิตแล้วกัน
ทันใดนั้น ก็เกิดความโกลาหลข้างนอกเต็นท์ จากนั้นเต็นท์ก็ถูกเปิดออก มีคนหนึ่งที่เดินเข้ามาสวมชุดสีดำทั้งตัวเหลือให้เห็นเพียงดวงตาหนึ่งคู่ คุกเข่าต่อหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะพูดว่า “หัวหน้า ตามคำสั่งของท่าน ตอนนี้พวกเราก็ได้ขับรถไปในพื้นที่หนึ่งไมล์ภูเขาปีศาจแล้ว กองกำลังทหารที่ผมพาเข้าไปพวกทหารไปนั้น มีสี่คนที่ยอมตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตระกูลครับ!”
“อืม เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อได้ยินว่าไปแปดคนแต่ตายแล้วสี่คน ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะแสดงสีหน้าตื่นตะลึง พลางถามเสียงขรึม “ทำไมมีคนตายมากขนาดนี้?”
ต้องรู้ว่า ครั้งนี้ที่เข้าไปแปดคนนั้น ถือว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูล ตั้งแต่พวกเขาอายุสามขวบ ก็แช่ร่างกายด้วยน้ำยาที่มีคุณสมบัติพิเศษ การแช่ยานี้เป็นสูตรโบราณที่ตระกูลคิตะมิยะได้รับจากจีนในช่วงปีแรก สามารถเพิ่มระดับความเหนียวของเส้นลมปราณในร่างกาย และขับสารที่ไม่บริสุทธิ์ภายในร่างกายได้อีกด้วย
เมื่อถึงช่วงอายุห้าขวบ เด็กในตระกูลที่มีความสัมพันธ์สายตรงพวกนี้ ก็จะถูกถ่ายทอดความคิดของการถวายความจงรักภักดีต่อวงศ์ตระกูล ยังกระจายตัวไปฝึกอบรมตามค่ายต่างๆ ส่วนเด็กคนอื่นที่ตระกูลคิตะมิยะรับมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก็ดำเนินการฝึกอบรมอย่างโหดร้ายและทารุณ
การฝึกอบรมอย่างโหดร้ายนี้ ไม่เพียงแต่ร่างกาย กับจิตใจของเด็กพวกนี้ ก็ถือว่าเป็นการทรมานที่แสนสาหัส เพราะว่าการฝึกอบรบนี้จะมีหลากหลายสาขาวิชา นั้นก็คือการที่ให้พวกเขาลงมือฆ่าคู่ต่อสู้ด้วยมือของตัวเอง
เนื่องจากเด็กที่มีความต้านทานอ่อนก็จะง่ายต่อการเจ็บป่วย เพราะฉะนั้น ค่ายฝึกอบรมลับของตระกูลคิตะมิยะ อัตราการตายก็ไม่ได้ต่ำไปกว่าค่ายฝึกซ้อมมวยใต้ดินที่ไซบีเรียหรอก ในสถานการณ์ที่ปกติแบบนี้ ค่ายฝึกอบรมที่มีคนอยู่สามสิบคน สามารถอยู่รอดมาได้ ไม่เกินห้าคน พวกคนเหล่านี้ ก็ถือว่าคือนักรบที่กล้าหาญที่ไม่กลัวตายของตระกูลคิตะมิยะ
แน่นอนว่า ลูกหลานที่มีสายสัมพันธ์โดยตรงของตระกูลคิตะมิยะ ยกเว้นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย โดยปกติจะไม่มีใครตาย แต่ว่าลูกหลานที่สายสัมพันธ์โดยตรงถูกคัดออกไป มักจะถูกคนในตระกูลละเลย ที่ดีที่สุดคือการรับผิดชอบงานของการสืบทอดสายเลือดของครอบครัว
หลังจากที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะได้ยึดตำแหน่งหัวหน้า นับตั้งแต่ก่อตั้งค่ายฝึกอบรมโหดร้ายเมื่อสามสิบปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้ มีนักรบที่ไม่กลัวตายที่ผ่านคุณสมบัติเพียงยี่สิบกว่าคน ดังนั้นพอได้ยินว่าการเดินทางในครั้งนี้มีคนตายไปแล้วสี่คน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“หัวหน้า มีสามคนถูกงูพิษกัดตายหมด และอีกคนหนึ่ง คือ…ถูกดอกไม้กินคนกลืนเข้าไปแล้วครับ!”
อย่างไรก็ตามคิติมะยะ ฮาเซดะใช้เวลาสิบกว่าปีในการฝึกอบรมอย่างโหดร้าย หัวใจที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักจนกลายเป็นดั่งเหล็ก แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นเกี่ยวกับภูเขาปีศาจ ในดวงตาของเขาเกิดความหวาดผวา เขาไม่กลัวที่จะต้องต่อสู้ฆ่าฟันกับผู้คน แต่ไม่อาจยอมรับความตายแบบไม่มีสาเหตุแบบนี้
ตอนที่เพิ่งเข้าไปในภูเขาปีศาจ ความเร็วในการเดินทางของพวกเขาค่อนข้างเร็ว ตลอดทางฉีดพ่นด้วยกำมะถันและสารเคมีอื่น ๆ เพื่อขับไล่งูพิษ แต่เมื่อเข้าไปได้สองกิโลเมตร พุ่มไม้ในป่าหรือเนินเขาได้ครอบคลุมภูเขาทั้งหมด
พุ่มไม้เหล่านี้มีความลึกต่ำที่สุดระดับเข่า และความสูงมากสุดก็มีถึงหนึ่งเมตรกว่า ทำให้คนที่เดินอยู่ในนี้ ไม่สามารถพบสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในพุ่มไม้ได้เลย สมาชิกในครอบครัวตายไปแล้วสามคน ตอนที่ใช้มีดปังตอในการเปิดเส้นทาง ดันไปโดนงูพิษฉกตาทำให้เสียชีวิตไปเลย
ถูกแล้ว คือดวงตา เพราะว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่กันนั้น มันเป็นชุดป้องกันพิเศษ มีความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งสูง เขี้ยวพิษของงู ไม่มีทางที่จะทะลุเข้าชุดนี้ได้ นี้ก็เป็นเหตุผลอีกอย่างหนึ่งว่าทำไมคิตะมิยะ ฮิเดโอะถึงไม่ห่วงที่จะให้พวกเขาเดินทางเข้ามาในเขาปีศาจตอนกลางคืน
เพียงแต่ตอนที่เดินผ่านพุ่มไม้ ไม่รู้ว่าสาเหตุเพราะรบกวนรังงูให้ตกใจไหม ทำให้งูนับพันตัวก็เลื่อยออกมา แค่ชั่วพริบตาเดียวก็ปกคลุมสามคนที่เดินอยู่ข้างหน้า หลังจากเสียงร้องอย่างน่าอนาถ ก็หมดลมหายใจไปแล้ว
เพียงแต่คิติมะยะ ฮาเซดะที่เดินตามหลังอยู่ก็ใช้ปืนไฟพ่นเข้าไปและเผางูเหล่านั้นให้ตายจนหมดแล้ว แต่เพื่อนร่วมทางที่มาด้วยเมื่อครู่ ก็กลาบเป็นศพที่ไหม้เกรียมไปแล้วเหมือนกัน
อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้คิตะมิยะ ฮาเซดะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เกือบทุกสองสามร้อยเมตรที่เขาย่างก้าว ก็จะใช้ปืนไฟพ่นเปลวไฟออกมา ดีที่ว่าพม่าเป็นเขตภูเขาเปียกชื้น จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดไฟไหม้ขึ้นมา
หลังจากนั้นก็เดินหน้าต่อไปประมาณสี่ห้าร้อยเมตร ในพุ่มไม้ก็เริ่มน้อยลง ทำให้คิตะมิยะ ฮาเซดะและคนอื่นถอนหายใจโล่งอกแต่ในเวลานี้ คนหนึ่งที่เดินอยู่ทางด้านขวากองทัพของพวกเขา จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องตกใจ ทุกคนมองไปรอบๆ ทำให้แต่ละคนต้องตกตะลึงงัน
ข้าง ๆของคนนั้น มีพืชเมืองร้อนที่เหมือนกับต้นกล้วยน้ำว้าเล็กน้อย เพียงแต่ว่ามันใหญ่กว่า มีกิ่งก้านและใบไม้ขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป และที่ยอดของกิ่งไม้และใบไม้เหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีดอกไม้สีขาวเล็กๆ ให้กลิ่นหอมที่มีเสน่ห์แล้ว
แค่ในช่วงเวลานี้ กิ่งก้านและใบเป็นเหมือนกรง ที่ค่อยๆ ห่อเพื่อนร่วมกองทัพของเขา และกิ่งก้านกับใบยังคงฉีดของเหลวที่มีความกัดกร่อนสูงบางอย่างออกมา เพียงในระยะเวลาสั้นๆ สิบวินาทีกว่า ชุดป้องกันของชายคนนั้นก็สึกกร่อน
รอให้คิตะมิยะ ฮาเซดะกับคนอื่นๆ มีการตอบสนองกลับมา ร่างกายของคนนั้นก็เริ่มเน่าเปื่อย เกิดเสียงกรีดร้องดังอย่างอน่าเวทนาแสบแก้วหู ท่ามกลางความจนปัญญา พวกเขาจึงใช้ได้เพียงแค่ปืนไฟ ทำให้เพื่อนร่วมกองทัพกับต้นไม้กินคนนั้น ถูกเผาไหม้ไปพร้อมกัน
หลังจากเกิดอุบัติเหตุติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้นักรบที่ไม่กลัวตายที่ถูกฝึกมาอย่างโหดเหี้ยมตั้งแต่เด็ก เกิดความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาภายในใจของพวกเขา หลังจากสำรวจภายในระยะสามกิโลเมตรแล้วจึงต้องรีบถอยกำลังกลับมาทันที
“ที่พม่านี้ ทำไมถึงมีต้นไม้กินคนนะ?” หลังจากที่ได้ยินลูกศิษย์พูด สีหน้าของคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ดอกไม้กินคนกับต้นไม้กินคน ยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ เหมือนกับพืชชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าเสาวรสลิ้นงู หากคนหรือสัตว์ไปถูกมันโดยไม่ตั้งใจ ใบที่ยื่นออกมาก็จะห่อตัวเหมือนกรงเล็บไก่ล้อมรอบ ก็จึงรัดไว้แน่นและลากคนเข้าไป ลากไปจนถึงพื้นหญ้าที่เปียกชื้น จนกระทั่งคนจะไม่สามารถขยับได้
และแมงมุมยักษ์ที่อยู่กับดอกเสาวรสลิ้นงูนั้น พวกมันจะวิ่งไปหาเหยื่อ ดูดและเคี้ยวอย่างระมัดระวัง กินอิ่มอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากแมงมุมกินร่างกายคนแล้ว อุจจาระที่ออกจากการย่อยอาหารจะหลายเป็นปุ๋ยให้กับดอกเสาวรสลิ้นงู
แต่ดอกไม้กินคนหรือต้นไม้กินคนชนิดนี้ มีการกระจายทั่วไปในป่าดึกดำบรรพ์แถบลุ่มแม่น้ำอเมซอนในอเมริกาใต้และหนองน้ำกว้างใหญ่ โดยที่พืชชนิดนี้ไม่เคยปรากฏตัวในทวีปเอเชียมาก่อน
ในการพัฒนาเทคโนโลยีวันนี้ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาตินั้นยากที่จะทำให้คนกลัวได้ แต่ความจริงที่อยู่ตรงหน้า ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี ภูเขาปีศาจนี้ไม่ได้กำราบง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้
เมื่อได้เห็นคิตะมิยะ ฮิเดโอะกำลังพูดพึมพำ คิตะมิยะ ฮิโคโตชิจึงกลัวว่าเขาจะส่งลูกชายของตัวเองเข้าไปในภูเขาปีศาจอีก เขาจึงรีบพูด “หัวหน้าครับ ภูเขาปีศาจนี้แปลกประหลาดมาก ผมว่า…พวกเรารอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยขับรถเข้าไปกันดีกว่า อย่างนี้จะได้ลดความบาดเจ็บน้อยลง!”
“ได้ ฮาเซดะ เธอไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ไม่ต้องพูดออกไปนะ”
คิตะมิยะ ฮิเดโอะพยักหัว นิสัยของเขานั้นชอบขมเห่งทารุณก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีความคิดบ้าคลั่งที่จะโค่นล้มครอบครัวทั้งหมดตระกูลในภูเขาปีศาจหรอก หลังจากให้คิตะมิยะ ฮาเซดะถอยออกไปแล้ว นี่จึงเป็นครั้งแรกที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะปรึกษาหารือแผนรับมืออย่างจริงจังกับคิตะมิยะ ฮิโคโตชิและนาโอกิอย่างจริงจัง
…
ขณะที่ภูเขาปีศาจได้กลืนกินนักรบที่ไม่กลัวตายเหล่านั้นไปอย่างเงียบสงัดนั้น ระยะห่างจากภูเขาปีศาจเข้าไปในหุบเขากว่าสามร้อยกิโลเมตร ก็มีเต้นท์กางอยู่สองสามอัน และคนสิบคนก็กำลังปิ้งย่างรอบกองไฟอยู่นอกเต้นท์
“ท่านเยี่ย พวกเรามาครั้งนี้มาทำอะไรกันแน่ครับ?”
ขาหมูป่าที่เสียบอยู่บนที่เสียบกำลังหมุน อู่เฉินถามเยี่ยเทียนอย่างระมัดระวัง เพราะการอยู่ด้วยกันสองวันที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินที่เอาแต่เสวยสุข ไม่ยอมทำงานทำการใดๆ แต่ว่าปกติเขาจะเป็นคนที่คุยง่ายมาก
“พอไปถึงพวกนายก็จะรู้เอง พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อย เพื่อจะได้ไปถึงที่นั่นเร็วหน่อย”
เยี่ยเทียนส่ายหัว มองเข้าไปในยามคืนที่มืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดูเหมือนจะวาดผ่านท้องนภาอันกว้างไพศาล แล้วจึงมองเห็นแสงไฟสว่างจ้ามาจากเทือกเขาปีศาจ
……