“เหล่าหม่า อย่างนั้น…พวกเราเข้าไปดูกันไหม?”
หลังจากนอนเฝ้าปากทางเข้ามาคืนหนึ่งแล้ว หูหงเต๋อตะขิดตะขวงใจอย่างไรชอบกล ปกติเขาเป็นคนใจกล้าชอบเรื่องท้าทาย คำร่ำลือถึงความโหดร้ายของหุบเขาปีศาจไม่ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวเลย
ก่อนเข้าไปในหุบเขา เยี่ยเทียนสั่งการให้มาราไกย์รับผิดชอบเรื่องการระวังภัย หูหงเต๋อกล้าแต่พูดคุยหยอกเย้ากับเยี่ยเทียนเฉพาะเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เขาจะขอความคิดเห็นจากมาราไกย์ก่อน
“ข้างในน่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่าง จะเข้าไปดูหน่อยคงไม่เป็นไร….”
มาราไกย์เงียบขรึมลง คิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจว่า “สตีฟ นายคุมพวกนั้นเฝ้าอยู่ตรงนี้ ฉันกับคุณหูและคุณโจวจะเข้าไปในหุบเขาดูหน่อย”
ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้จัดการกำจัดคนญี่ปุ่นทั้งสามสิบกว่าคนนั้นเสร็จสิ้นแล้ว แต่เขายังคงสงสัยในวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเยี่ยเทียน จึงยิ่งอยากรู้ว่า เยี่ยเทียนเข้าไปในหุบเขาเพียงลำพังจะสู้รบปรบมือกับกำลังคนญี่ปุ่นเป็นร้อยคนได้อย่างไร
หลังจากสะสางสั่งงานเสร็จแล้ว มาราไกย์เดินเข้าไปตรงทางเข้าหุบเขา ตามมาด้วยหูหงเต๋อแล้วก็โจวเซี่ยวเทียน ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในหุบเขาปีศาจอย่างระมัดระวัง
“นี่….นี่มันอะไรกัน?”
ระยะเวลาที่เดินในทางเข้ารูปตัวเอสของปากทางเข้าหุบเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที พอทุกคนเดินมาถึงปากทางอีกด้าน ก็หลบอยู่หลังแท่นหินอันใหญ่มองออกไปแล้วตกตะลึง
รถออฟโรดหลายสิบคันจอดเรียงราย ที่หัวขบวนมีรถถังคันหนึ่งจอดอยู่ แต่รถถังคันนี้รูปร่างมันพิกลพิการไปไม่น้อย ด้านบนของตัวรถหายไป เหลือเพียงแต่เศษเหล็กซากรถด้านล่าง
ด้านหน้ารถถัง มีคนสามคนยืนอยู่ ส่วนขบวนรถทั้งแถวนั้นเงียบเชียบมาก บรรยากาศแปลกประหลาดเหนือบรรยาย
“หรือว่า…เสียงระเบิดเมื่อครู่เป็นฝีมือเยี่ยเทียน?” ทั้งสามปรึกษากันเบาๆ อยู่หลังแท่นหินใหญ่ พวกเขาคิดไม่ออกว่าเยี่ยเทียนตัวคนเดียวจะรับมือคนตั้งมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?
“พวกนายเองเหรอ? ออกมาเถอะ ไม่ต้องหลบแล้ว!”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเพราะได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมหายใจว่าทั้งสามเป็นคนของเขาเอง
“โอ้พระเจ้า บอส นี่คุณทำอะไรลงไป? คุณทำไปได้ยังไง?”
เมื่อเผยตัวออกมาจากหลังแท่นหิน มาราไกย์มองดูศพสี่ร่างที่นอนอยู่กับพื้นแล้วคิดว่า เยี่ยเทียนช่างเป็นคนระดับเทพตัวจริง ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามาในหุบเขา แม้แต่ปืนสักเล่มก็ไม่ได้พกมา
“ไม่ต้องพูดมาก เหล่าหม่า นายขึ้นรถคันนนั้น ดันรถถังให้หลบไปด้านข้าง!”
เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดี เพราะว่าหลังเกิดระเบิดแล้ว เขาพบว่า อย่าว่าแต่เอกสารที่อยู่กับคิตะมิยะ ฮิเดโอะเลย ตอนนี้แม้เศษกระดาษสักชิ้นเขายังหาไม่เจอเลย จนถึงตอนนี้รถถังคันนั้นยังมีไฟลุกอยู่
แม้ไม่ทราบว่าเอกสารนั้นคืออะไร แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า คิตะมิยะ ฮิเดโอะยอมก้มหัวให้เยี่ยเทียนเพื่อปกป้องเอกสารนี้ แปลว่ามันต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพียงแต่หลังการระเบิดแล้ว ทุกอย่างสูญสลายไปหมด เอกสารที่ถูกเก็บอย่างดีในซองเอกสารจึงกลายเป็นปริศนาไปตลอดกาล
“บอส รถมากมายอย่างนี้ เราขับออกไปไม่หมดหรอก?”
มาราไกย์เป็นคนสายตาเฉียบแหลม ได้ยินคำสั่งของเยี่ยเทียนแล้ว ก็เข้าใจความหมายในทันที ตำแหน่งที่รถถังจอดขวางอยู่นั้น ทำให้รถคันอื่นขับออกไปต่อไม่ได้
เยี่ยเทียนโบกมือ “ไม่ต้องขับออกไปหมดหรอก นายขึ้นไปบนรถแล้วจะรู้เอง”
“รถเส็งเคร็งคันนี้จะมีค่าสักกี่ตังค์ รถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นน่ะ คุณภาพห่วยที่สุดเลย”
มาราไกย์เก็บงำความสงสัยเปิดประตูรถออกพลางบ่นพึมพำ ช่วงยุคปี 60-70 รถยนต์ที่บริษัทญี่ปุ่นผลิตออกมาขายนั้นเพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากอเมริกา พ่อของมาลาไกย์จึงต้องตกงานด้วยเหตุผลนี้
“ดูประตูรถนี่สิ ไม่แข็งแรงเลย”
มาราไกย์เบียดตัวเข้าไปนั่งในรถ ยังคงบ่นอุบ แต่เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปมองที่แถวหลังแล้วก็ตะลึงตาค้าง “บอส…บอส นี่ผมอยู่บนสวรรค์หรือนี่?”
ด้วยปริมาณและน้ำหนักของทองคำที่บรรจุอยู่ด้านหลังทำให้รถเสียสมดุล ดังนั้นทองคำแท่งทุกอันที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนเบาะหลังของรถออฟโรด รถแต่ละคันบรรจุทองคำไว้ถึงหลายร้อยกิโลกรัม
แม้ว่าจะมีทองคำบางส่วนที่หล่นหายไปตามข้างทาง แต่ทองคำที่เรียงอยู่ที่เบาะหลังนั้นดึงดูดสายตาของมาราไกย์ การเป็นทหารพรานนานาชาติระดับพระกาฬ เขาไม่มีทางดูผิดเป็นทองเหลืองแน่นอน
“เหล่าหม่า เป็นอะไรไป?” หูหงเต๋อได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจของมาราไกย์ จึงชะโงกหัวเข้ามาดูในตัวรถ พอเห็นทองคำเข้าเท่านั้นก็ตาลุกวาว
“ให้ตายสิ ทองคำพวกนี้เป็นทองคำบริสุทธิ์สูงซะด้วย!”
หูหงเต๋อต่างจากมาราไกย์ที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของทองคำเหล่านี้ จึงยื่นมือไปหยิบทองคำออกมาก้อนหนึ่ง อ้าปากใช้ฟันขบดูทีหนึ่ง พอเอาออกมาจากปาก บนเนื้อทองมีรอยฟันเรียงเป็นแถวอยู่
“บอส ภารกิจครั้งนี้ คือการตามหาทองคำเหรอ?”
ที่ประเทศอาหรับ มาราไกย์เคยเห็นทองคำจำนวนมหาศาล ทั้งอาคารที่ถูกสร้างด้วยทองคำเหลืองอร่ามทั้งหลัง เขาตะลึงค้างอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงเรียกสติกลับคืนมาได้ พลางมองไปทางเยี่ยเทียน
“ไม่ผิดแน่ ทองคำพวกนี้ เป็นจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มองหน้ามาราไกย์เหมือนจะยิ้ม ตอบว่า “เหล่าหม่า นายไม่ได้อยากได้ส่วนแบ่งหรือ? บนรถทั้งยี่สิบกว่าคันนี่ ทุกคันเต็มไปด้วยทองคำ!”
“ทุก…ทุกคันมีทองคำมากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อฟังเยี่ยเทียนจบ มาราไกย์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สีหน้าดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อมาราไกย์มองดูภาพรถถังที่กำลังถูกเผามอดไหม้กับศพที่เกลื่อนอยู่ตรงหน้ารถถังแล้ว ก็ตั้งสติกลับมาได้
“บอส อาชีพของพวกผมคือทหาร เกียรติศักดิ์ศรีมาเป็นอันดับแรก อีกอย่างตามกฎหมายของอเมริกา เสาะแสวงหาทรัพย์สินมีค่ามาแล้ว ต้องตกเป็นของผู้เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว!”
แม้มาราไกย์จะเป็นหน่วยรบที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก แต่เมื่อเทียบกับเยี่ยเทียนที่ต่อสู้กับคนเป็นร้อยด้วยมือเปล่าแล้ว เขาเทียบไม่ได้เลย
โดยเฉพาะเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ตอนนี้ ทั้งร่างกายมีไอแห่งความอันตรายแผ่ออกมา ความรู้สึกกดดันโดยไม่รู้สาเหตุทำให้มาราไกย์เกือบหายใจไม่ออก
“เหอะๆ งั้นก็ดี เหล่าหม่า เงินสามแสนล้านดอลลาร์ของพวกนายน่ะ รอออกไปจากที่นี่แล้วจะยกให้!”
ไม่ว่าพวกมาราไกย์จะจริงใจหรือหวังผลประโยชน์ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้กลัวว่าเขาจะคิดตุกติก คนต่างชาติพวกนี้แม้จะโลภอยากได้เงิน แต่พวกเขามีสิ่งที่รู้ซึ้งยิ่งกว่าคือการมีเงินแต่ไม่ได้อยู่ใช้เงิน
ตอนนี้มาราไกย์ไม่ได้มีความคิดไม่ซื่อผุดขึ้นมาเลย เขาลากศพของคนญี่ปุ่นที่ตายไปนานแล้วออกมาโยนไปไว้ข้างทาง แล้วถามเยี่ยเทียนว่า “บอส ศพพวกนี้จะทำอย่างไรดี?”
เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อยแล้วตอบ “ทุกคันจะมีศพแบบนี้หนึ่งศพ พวกนายขนออกมาแล้วโยนไว้ที่รถถังแล้วกัน”
หูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนรับคำ เปิดประตูรถแต่ละคันเริ่มทำการเคลื่อนย้ายศพ ยังดีที่คนพวกนี้เพิ่งตายไม่นาน ยังไม่ส่งกลิ่นเน่าเหม็น
แม้เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อขนร่างไร้วิญญาณถึงยี่สิบกว่าศพมากองรวมกันที่รถถังแล้วโจวเซี่ยวเทียนยังหน้าซีดปากสั่น เขาไม่ได้เป็นคนในยุทธภพ นอกจากตอนที่กราดยิงปืนมั่วตรงปากทางช่องภูเขาปีศาจแล้ว เขาไม่เคยฆ่าคนกับมือเลยสักครั้ง
ส่วนหูหงเต๋อก็ไม่ได้ดีไปกว่าโจวเซี่ยวเทียนเท่าไร เขาไม่กลัวคนตาย แต่ตกใจที่เห็นฝีมือโหดร้ายของเยี่ยเทียน ดูจากร่องรอยบนตัวของศพแต่ละรายแล้ว คงถูกหักกระดูกคอจนตายทั้งนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้พกอาวุธอื่นใด กลับสามารถจัดการฆ่าคนด้วยมือเปล่ามากขนาดนี้
หูหงเต๋อไม่มีความเห็นกับฉากตรงหน้า ตอนที่เขาเป็นเด็กนั้น เคยเห็นคนแก่ในบ้านลอกหนังมนุษย์เป็นๆ หากเทียบกันแล้วภาพตรงหน้านั้นไม่เท่าไหร่ พอขนศพสุดท้ายเสร็จ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า “เยี่ยเทียน กองไฟใกล้มอดแล้ว คงไม่พอเผาศพพวกนี้หมด?”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบกลับว่า “บนรถด้านหลังขบวนยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่แกลลอนหนึ่ง เซี่ยวเทียน ไปยกมาสิ”
“ครับผม!”
โจวเซี่ยวเทียนเก็บอาการวิ่งไปท้ายขบวนที่รถคันสุดท้าย ยกเอาแกลลอนน้ำมันออกมา ราดใส่ที่ตัวรถถัง อีกชั่วครู่ไฟก็ลุกโหมขึ้นอีก เปลวไฟอันร้อนแรงได้เผาไหม้ร่างทั้งยี่สิบกว่าร่างไปจนหมด
“บอส ไม่ใช่ว่ามีตั้งร้อยกว่าคนหรือ? ทำไมเหลือแค่นี้เล่า?”
พอทำลายศพเสร็จแล้ว มาราไกย์สบโอกาสก็ถามอย่างสงสัย คำถามนี้ของเขาทำเอาหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนหันมามองเยี่ยเทียนเป็นตาเดียว เมื่อครู่มัวแต่ยุ่ง จึงไม่มีใครนึกถึงข้อนี้
“ตายไปในที่ซ่อนทองคำเกือบหมดแล้ว” เยี่ยเทียนยิ้มเย็นชา “ค่ายกลของศิษย์พี่จะถูกทำลายง่ายๆ ได้อย่างไร? ในหุบเขามีพลังพิฆาตสะสมมาหลายสิบปี หล่อเลี้ยงให้กำเนิดงูประหลาดหดร้ายสองหัว….”
เยี่ยเทียนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำอย่างคร่าวๆ ทำเอาผู้ฟังทั้งสามนิ่งอึ้งตาค้างกันทีเดียว พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ชื่อเรียกหุบเขาปีศาจแห่งนี้เกิดจากงูประหลาดยักษ์ตัวนั้น
“โอ้พระเจ้า นี่มันบ้ามาก โชคดีที่พวกเราไม่ได้เข้าไปด้วย” ฟังเยี่ยเทียนเล่าจบ มาราไกย์ทำรูปไม้กางเขนขึ้นกลางอกขอบคุณพระเจ้า งูยักษ์ที่เขมือบคนไปเป็นร้อยนั้น ต้องเป็นโพไซดอนเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของตะวันตกแน่นอน
“ใช่แล้ว เหล่าหม่า นายดูสิ่งนี้หน่อยสิ นายรู้จักไหม?”
ตอนที่กำลังเผากองศพนั้น เยี่ยเทียนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าของสิ่งนี้คืออะไร ดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นศิลปะแบบตะวันตก บางทีมาราไกย์อาจจะรู้จักก็ได้
“ของสิ่งนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
มาราไกย์รับวัตถุสีทองมาจากเยี่ยเทียนแล้ว เกาหัวแกรกๆ พูดต่อว่า “บอส นี่ดูเหมือนจะเป็นกุญแจตู้นิรภัย แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ”
……………………..