“ของสิ่งนี้เป็นกุญแจเหรอ? ไม่ใช่งานศิลปะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็อึ้งไป รับเอาวัตถุทองคำกลับคืนมา กลิ้งไปมาในมือก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันเหมือนกับกุญแจธรรมดาตรงไหน ดูลวดลายแกะสลักบนนั้นแล้ว หากจะบอกว่ามันคือผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งยังจะน่าเชื่อมากกว่า
มาราไกย์ส่ายหัว ตอบว่า “บอส ผมไม่กล้ารับรอง แต่ถ้ามันเป็นกุญแจจริงๆ ล่ะก็ มันจะใช้เปิดตู้นิรภัยที่น่าจะซับซ้อนที่สุดในโลก”
“เอาเถอะ มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เก็บไว้ดูเล่นแล้วกัน”
เยี่ยเทียนเห็นกับตาว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะหยิบของสิ่งนี้ออกมาจากกล่องนิรภัยใบนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ราคาต้องไม่น้อยทีเดียว น่าเสียดายที่กล่องนิรภัยใบนั้นถูกเก็บไว้ในรถถัง ไม่เช่นนั้นเยี่ยเทียนจะต้องนำมันกลับไปสอบถามเอาจากผู้รู้
เยี่ยเทียนสั่นหัวไล่ความคิดวุ่นวายออกไปจากสมอง เขาปรบมือเรียกพูดว่า “เหล่าหู เรียกพวกอู่เฉินให้ขับรถถังเข้ามาให้หมด ไปบรรจุทองคำจากรถสามคันนั้นก่อน พอน้ำหนักเกินแล้วค่อยกระจายไปที่รถออฟโรดคันอื่น
เพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง เยี่ยเทียนจัดให้คนอีกสามคนนอกจากมาราไกย์เฝ้าที่ปากทางเข้าหุบเขา เพื่อระวังไม่ให้พวกคิตะมิยะมาทำการปิดล้อมทั้งหน้าหลัง แน่นอนว่าจะโทษคิตะมิยะ ฮิเดโอะที่วางแผนสะเพร่าไม่ได้ ควรจะบอกว่าเพราะความสามารถของเยี่ยเทียนนั้นเหนือมนุษย์จะดีกว่า
เมื่อพวกอู่เฉินเห็นทองคำจำนวนมหาศาลนี้ จึงออกอาการยิ่งกว่ามาราไกย์เสียอีก แต่ละคนยืนตะลึงกันอยู่นานกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ ถ้าไม่มีฉากตรงหน้าที่เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณกับรถถังที่ถูกเผาไหม้พร้อมกับกองศพ กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง อาจทำให้พวกเขามีใจคิดไม่ซื่อขึ้นมาได้
พลังจิตสังหารของเยี่ยเทียนยังระอุอยู่ในตัว ยิ่งกระตุ้นประสาทของพวกเขา หลังจากความหวาดหวั่นใจในตอนแรก ทุกคนจึงช่วยกันขนย้ายของ พวกเขายังถือว่าฉลาดที่คิดได้ว่าเงินแบบไหนที่ไม่ควรจะอยากได้
“เหล่าหู นายเฝ้าให้ดี ฉันจะไปพักผ่อนสักครู่”
ทองจำนวนหลายตันมีค่ามหาศาล การขนย้ายต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ เยี่ยเทียนสั่งการหูหงเต๋อเสร็จ ก็หาที่นั่งขัดสมาธิพักผ่อน เมื่อคืนเหนื่อยมาทั้งคืนทำให้ตอนนี้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น เยี่ยเทียนได้ฆ่าคนญี่ปุ่นไปหลายสิบคน บนร่างของตัวเองมีกลิ่นของคนตายคละคลุ้ง ซึ่งมีผลต่อสภาพจิตใจของเขา ตอนนี้รู้สึกว่าในใจว้าวุ่นผิดปกติ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้นับตั้งแต่ฝึกวิชาของสำนักเสื้อป่านมา
“เคล็ดวิชาชั้นยอด มนุษย์วนเวียน ในมารมีเทพ พบจากเป็นปกติ เงินทองลาภยศ ไม่มีของจริง…”
เยี่ยเทียนท่องคัมภีร์โปรดมนุษย์ พลังความแค้นพลังพิฆาตที่ปกคลุมร่างกายของเยี่ยเทียนอยู่ค่อยๆ หลุดลอกออกมาทีละส่วน คำสอนในสำนักวิชากล่าวว่าวิธีการต่างๆ ไม่เกี่ยวข้อง กล่าวถึงวิธีการชำระล้างพลังพิฆาต ถ้าหากเป็นแค่คนธรรมดา จะต้องถูกพลังพิฆาตทำให้จิตใจวิปริตได้
เหมือนกับแม่ทัพเฒ่ากรำศึก พอรบเสร็จต้องกลับมาทำการสงบจิตใจ ฝึกวิชามวยภายในเพื่อลบล้างพลังพิฆาตที่เป็นผลจากการฆ่าคนมากมายในสนามรบ
แต่ยังมีคนที่ไม่ทำตาม พอบั้นปลายชีวิตจะกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวนรุนแรง เพราะไม่ได้ทำการสลายพลังพิฆาตออกไป เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายไม่อาจทนต่อแรงกดดันของพลังพิฆาตได้
ผ่านไปถึงสามชั่วโมงเต็ม พระอาทิตย์ตั้งตรงหัวพอดี เยี่ยเทียนถึงได้ลุกขึ้นยืน พลังพิฆาตที่ปกคลุมตัวเขาอยู่นั้นหายไปหมดแล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนดูเหมือนเด็กหนุ่มที่สดใสราวกับพระอาทิตย์ไม่ปาน
“เยี่ยเทียน พักพอแล้วเหรอ?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนเดินมาก็เอ่ยทัก “ของพวกนี้ขนย้ายขึ้นไปหมดแล้ว นอกจากรถถังสามคันนั้น ยังต้องใช่รถออฟโรดอีกห้าคันถึงจะพอ”
ทองคำยี่สิบตันคิดเป็นน้ำหนักสองหมื่นกิโลกรัม ถ้าไม่ได้รถถังคันใหญ่ที่พอรับน้ำหนักได้แล้ว การขนย้ายคงจะทำให้เยี่ยเทียนปวดหัวมากกว่านี้
“บอส ของพวกนี้ของคุณ จะให้ผมช่วยขนออกไปไหม?” มาราไกย์เดินเข้ามาถาม เขาอยู่ต่างประเทศนานปี ทำเรื่องลักลอบแบบนี้หลายครั้งแล้ว จึงพอรู้จักช่องทางพิเศษที่จะขนส่งทองคำพวกนี้ออกจากพม่า
“ไม่ต้อง เหล่าหม่า แบ่งคนของนายออกมา ช่วยฉันขับรถก็พอ” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองท้องฟ้าแล้วตอบว่า “ไปเถอะ สายมากแล้ว ออกจากภูเขา!”
รถออฟโรดที่เหลืออยู่ถูกเยี่ยเทียนรวมเข้าด้วยกัน แล้วปล่อยน้ำมันเชื้อเพลิงในถังน้ำมันรถออกมา รอจนขบวนของเขาออกห่างไปแล้ว จึงจุดไฟเผารถพวกนนั้น กลุ่มควันดำลอยปกคลุมไปทั่วภูเขาปีศาจ
เยี่ยเทียนและพวกไม่ได้มีรู้จักสนิทสนมกับคนในหมู่บ้าน พอพวกเขากลับไปถึงตัวหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต่างก็คิดว่าพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านมาโดยตลอดไม่ได้ออกไปไหน ส่วนเรื่องสยองขวัญของภูเขาปีศาจ ทำให้พวกชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปดู
เวลาใกล้พลบค่ำ ขบวนรถของเยี่ยเทียนออกห่างจากภูเขาปีศาจมาสองร้อยกว่ากิโลเมตรแล้ว พอถึงนอกตัวอำเภอ เดินทางต่อไปอีกหลายสิบกิโลเมตรจึงถึงชายแดนประเทศพม่า
ขบวนรถของเยี่ยเทียนแน่นอนว่าไม่กล้าเข้าไปในตัวอำเภอ จึงสั่งให้คนของมาราไกย์ไปซื้อเสบียงกลับมา ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างง่ายๆ
หูหงเต๋อหยิบเอาก้อนทองคำขึ้นมาโยนเล่นในมือ พลางถามเยี่ยเทียน “เยี่ยเทียน ของพวกนี้เราจะเอาออกไปได้ยังไง? ตะลุยฝ่าชายแดนออกไป?”
“ฉันยังไม่อยากตายนะ!” เยี่ยเทียนกลอกตาขาว หยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ถังเหวินหย่วนมอบให้ออกมา เปิดประตูลงจากรถออฟโรด เดินห่างจากขบวนรถออกไปสิบกว่าเมตร
“ฮัลโหล ฉันคือเยี่ยเทียน ขอสายซ่งเฮ่าเทียนหน่อย!”
หลังจากโทรติดแล้วเยี่ยเทียนไม่รีรอ บอกชื่อของคนที่เขาต้องการคุยด้วยออกไปทันที เขารู้ว่าคนสำคัญอย่างซ่งเฮ่าเทียน โทรศัพท์ทุกสายต้องมีเจ้าหน้าที่หรือเลขาเป็นคนรับ ตัวเขาเองไม่สามารถโทรติดต่อโดยตรงได้
“เยี่ยเทียน ไม่เรียกตาสักคำเลยนะ?”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงของซ่องเฮ่าเทียนก็ดังมาตามโทรศัพท์ เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แม้แต่แม่แท้ๆ ผมยังไม่เคยเจอเลย แล้วจะมีตามาจากไหน?”
เยี่ยเทียนตอบแบบไม่ไว้หน้า แล้วพูดเรื่องสำคัญต่อ “ศิษย์พี่คงจะได้บอกคุณแล้วว่าผมจะขนทองคำจำนวนหนึ่งกลับเข้าประเทศจีน คุณสามารถจัดการให้ได้ไหมครับ?”
“อะไรนะ? เธอได้ทองคำพวกนั้นมาแล้วเหรอ? แล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นไหม?”
คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ซ่งเฮ่าเทียนสงสัย ซ่งเฮ่าเทียนรู้ว่าเยี่ยเทียนไปพม่า แต่ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนจะนำทองคำกลับมาได้หรือไม่ ชายชราไม่ได้คิดแง่ดีนัก เขาใช้ผลประโยชเข้าแลกเปลี่ยน ออกคำสั่งให้กองทหารพิเศษชายแดนจีนกับอินเดียให้รีบเดินทางไปที่ชายแดนพม่าเหมือนกัน เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือเยี่ยเทียนตลอดเวลา
“เกิดเรื่อง เหอะๆ มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นนิดหน่อย แต่จัดการได้แล้ว”
เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ เหตุการณ์ผ่านไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเต็มๆ แต่เขายังมีความหวาดหวั่นอยู่ในใจ โดยเฉพาะเจ้างูประหลาดสองหัวนั่น ทำให้เยี่ยเทียนเรียนรู้ถึงความอัศจรรย์แห่งธรรมชาติ เขาไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่มวลมนุษยชาติยังเข้าไม่ถึงอีกเท่าไร ยังมีสัตว์เหนือธรรมชาติที่ยังดำรงอยู่อีกมากแค่ไหน
“เธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”เสียงของซ่งเฮ่าเทียนดูร้อนรน แม้จะเพิ่งรู้จักเยี่ยเทียนเป็นเวลาไม่นาน แต่ในฐานะหลานนอกตระกูล เยี่ยเทียนที่อยู่ในใจซ่งเฮ่าเทียนนั้นถือว่ามีความสำคัญระดับหนึ่ง
“ไม่ครับ ผมจะบอกตำแหน่งที่อยู่ให้คุณ เมื่อไรถึงจะมีคนมารับครับ?”
เยี่ยเทียนขี้เกียจคุยเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่ใช่เพราะโก่วซินเจียยืนยันจะให้เขาติดต่อซ่งเฮ่าเทียนทางโทรศัพท์ ไม่เช่นนั้นเยี่ยเทียนอาจจะให้พวกมาราไกย์ลักลอบขนทองคำเข้าประเทศ เพราะเขารู้ว่ามาราไกย์ไม่กล้าลองดีกับเขาแน่
“ภายในสามชั่วโมง จะมีคนที่ไปรับพวกเธอถึงที่นั่น!”
พอรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้รับอันตราย ซ่งเฮ่าเทียนถึงวางใจ เมื่อถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของพวกเยี่ยเทียนแล้ว จึงพูดต่อว่า “พอพบพวกเขาแล้ว เธอกลับเข้าประเทศพร้อมกับพวกเขาได้เลย!”
“ผมยังมีธุระต่อ เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนเส้นทางไปฮ่องกง!” เยี่ยเทียนส่ายหัว ปฏิเสธคำชี้แนะของซ่งเฮ่าเทียน ยังไม่ทันฟังชายชราพูดจบ เยี่ยเทียนก็กดตัดสายทิ้งไปเฉยๆ
“ไอ้เด็กบ้า เหมือนพ่อมันไม่มีผิด!”
คนสูงส่งอย่างเฮ่าเทียนยังถูกเยี่ยเทียนกดตัดสายแบบไม่มีเยื่อใย เขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงของประเทศ ยังไม่เคยถูกใครวางโทรศัพท์ใส่เลย หรือแม้แต่ตอนที่คุยโทรศัพท์กับผู้มีตำแหน่งเท่าเทียมกัน ยังต้องพูดจากล่าวลาเป็นพิธีกันก่อนถึงจะวางสาย
“เยี่ยเทียน ทำไมอารมณ์ดีขนาดนั้น?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนเดินฮัมเพลงกลับมาก็อดถามขึ้นไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักกับเยี่ยเทียนมา น้อยมากที่จะเห็นเยี่ยเทียนแสดงท่าทางราวกับเด็กน้อยออกมา
“ผมดูอารมณ์ดีเหรอ?”
เยี่ยเทียนงุนงงกับคำถามแ แล้วสำรวมกลับมาเหมือนเดิม ในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาด สงสัยตัวเองคงจะลำพองใจที่ได้เอาชนะชายชราอย่างซ่งเฮ่าเทียน? หรืออาจเป็นเพราะความแค้นในใจที่อาจจะไม่ได้ลึกมากอย่างที่คิด
“ทุกคนพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวจะมีคนมารับพวกเราเข้าประเทศ!”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนใช้วิธีการใดในการจัดการให้คนมารับขบวนรถขนทองของเขา เพราะในเขตชายแดนพม่านั้นมีทหารของทั้งสองประเทศ แต่ระดับซ่งเฮ่าเทียนแล้วแน่นอนว่าน่าเชื่อถือได้
ทุกคนหลังจากได้รับคำสั่งจากเยี่ยเทียนแล้ว ก็หาที่นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ผ่านไปราวสองชั่วโมง มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังกระหึ่มขึ้น ปลุกเอาผู้ที่หลับใหลอยู่ให้ตกใจตื่น
“โอ้โห เฮลิคอปเตอร์?”
เยี่ยเทียนเห็นแสงไฟจากเฮลิคอปเตอร์ที่สะท้อนตา ทำให้เขาตกตะลึง เพราะบนท้องฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่หลายลำ แต่ละลำเป็นเฮลิคอปเตอร์สำหรับขนย้ายลำใหญ่ทั้งนั้น การเดินทางเข้าเขตประเทศเพื่อนบ้านด้วยวิธีนี้ ไม่รู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนทำได้อย่างไร?
ตำแหน่งที่ขบวนของเยี่ยเทียนอยู่นั้นมีป่าทึบรายล้อม ตรงกลางเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ เฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดห้าลำค่อยๆ บินลงจอดบนพื้น
ทหารวัยกลางคนยศพลโทคนหนึ่งกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เดินตรงมาอยู่หน้าเยี่ยเทียนแล้วเอ่ยถามว่า “ใครคือเยี่ยเทียนครับ? ผมชื่อซ่งเฟย มารับหน้าที่ตามคำสั่งครับ!”
…………………….