“ให้ตาย นี่มันโอเวอร์เกินไปหรือเปล่า?”
เดิมทีเยี่ยเทียนเพียงคิดว่าซ่งเฮ่าเทียนจะส่งกำลังคนมาสมทบเขา นำขบวนรถพวกนี้ลอบพาออกจากเขตชายแดนพม่า แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับส่งเฮลิคอปเตอร์มา ทั้งยังไม่ใช่แค่ลำเดียว นี่ช่างห่างไกลจากที่เยี่ยเทียนคาดการณ์เอาไว้เหลือเกิน
ในอดีตเยี่ยเทียนเคยดูข่าว รู้สึกมาตลอดว่าประเทศจีนออกจะขี้ขลาดไม่สู้คน ขนาดประเทศเล็กๆ อย่างเวียดนามพวกนั้นยังกล้ามายุแยงปลุกปั่น แต่เวลานี้ได้เห็นกองทัพเฮลิคอปเตอร์กลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้ามายังประเทศอื่นอย่างกล้าหาญชาญชัยกับตา เขาจึงสำนึกได้อย่างแท้จริงว่า สิ่งที่เคยได้ยินมากับหูอาจไม่ใช่เรื่องจริงแท้เสมอไป
อีกอย่างครั้งนี้เป็นเยี่ยเฮ่าเทียนตกปากรับคำกับศิษย์พี่ เยี่ยเทียนจึงไม่เกรงใจเท่าไร ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวกล่าวขึ้นทันใด “ผมคือเยี่ยเทียน เรียกคนของพวกคุณมา เตรียมตัวย้ายข้าวของกันเถอะครับ”
“ขอโทษครับ พวกเราได้รับคำสั่งให้นำของออกไปล็อตหนึ่งเท่านั้น ไม่มีภารกิจต้องขนย้าย”
และที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่คาดคิดก็คือ พันโทผู้นั้นส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา กล่าวต่อว่า “อีกอย่างนอกจากพลขับเฮลิคอปเตอร์แล้ว ปฏิบัติการครั้งนี้ก็มีผมเพียงคนเดียว คุณคงไม่ให้ผมขนย้ายคนเดียวหรอกใช่ไหมครับ?”
“ก็ได้ครับ งั้นพวกเราขนกันเอง!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วชะงักไปชั่วขณะ พันโทคนนี้ไม่ชอบให้ใครติดตามตัวเองหรือไง? ขับเฮลิคอปเตอร์มาทั้งที ทำไมถึงไม่พานายทหารมาด้วยล่ะ? แต่ว่าเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดอย่างนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่พูดอะไรต่ออีก โบกไม้โบกมือไปทางพวกอู่เฉิน พูดว่า พวกเรา ขนทองคำพวกนี้ขนขึ้นไปกันเถอะ…”
“โอเค!”
พวกอู่เฉินที่ถูกเสียงดังกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์ใหญ่ยักษ์กระตุ้นจนตาสว่างขานรับหนึ่งเสียง เมื่อครู่ตอนที่เฮลิคอปเตอร์บินเข้ามา พวกเขายังนึกว่าเป็นกองทหารพม่ามาจับกุมเสียอีก ตอนนี้พอได้เห็นว่าที่แท้เป็น “พวกเดียวกัน” ต่างเก็บหัวใจที่ขึ้นมาจุกคอหอยปล่อยกลับลงไป
ขณะเดียวกันท่าทีของพวกอู่เฉินกลับกลายเป็นยิ่งเคารพเยี่ยเทียนมากขึ้น เพียงโทรศัพท์ครั้งเดียวก็สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่มายังต่างประเทศได้ นี่นับว่าขั้นสูงถึงระดับนานาชาติ คนที่อยู่เบื้องหลังเกี่ยวกับเยี่ยเทียนนั้น พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้อย่างแท้จริง
ด้วยกล่องไม้ซึ่งบรรจุทองคำในอดีตล้วนผุพังหมดแล้ว ทองคำที่มีจึงอยู่กระจัดกระจาย ทองคำแท่งทุกชิ้นมีน้ำหนักถึงสองกิโล หอบหิ้วครั้งหนึ่งมากสุดได้เพียงแค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น โชคดีที่บนเฮลิคอปเตอร์มีรถเข็นอยู่จำนวนหนึ่ง จึงช่วยให้การขนย้ายรวดเร็วขึ้น
เมื่อเห็นทองคำแท่งแต่ละชิ้นส่องแสงแวววาว สีหน้าของพันโทซ่งเฟยอดเผยให้เห็นความประหลาดใจไม่ได้ ก่อนหน้าตอนที่รับภารกิจนี้ เขายังรู้สึกว่าเบื้องบนออกจะตื่นตูมกับเรื่องจิ๊บจ้อย เพียงทองคำเล็กน้อยกลับเรียกใช้คนของเขา แต่เมื่อเห็นทองคำจำนวนมหาศาลเท่านี้ ซ่งเฟยจึงตกตะลึงงันขึ้นในใจทันที
ที่สำคัญ หากทองคำพวกนี้ใส่เต็มรถเหล่านี้ ปริมาณที่ได้อย่างน้อยอาจถึงประมาณยี่สิบตัน เทียบกับทองคำในคลังของประเทศชาติหนึ่งนั้นนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย ราวกับกักตุนวัตถุดิบเงินตราไว้ทำสงครามเลยทีเดียว
ตอนนี้ซ่งเฟยถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมก่อนเฮลิคอปเตอร์เหล่านี้จะขึ้นบิน จึงต้องปลดอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายออกให้หมด ที่แท้ก็เพื่อลดน้ำหนักสำหรับบรรทุกทองคำพวกนี้นั่นเอง
ขณะที่รถเข็นคันหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าเขาไป ซ่งเฟยยื่นมือไปหยิบทองคำหนึ่งชิ้นจากข้างหน้าขึ้นมา หลังจากเพ่งมองอย่างละเอียดแล้ว ก็พูดกับเยี่ยเทียนที่อยู่ข้างตัวเอง “เยี่ยเทียน ทองคำเหล่านี้ของพวกคุณ คงจะมาจากชาวญี่ปุ่นสินะ?”
“ถูกต้องครับ นี่คือทองคำที่ชาวญี่ปุ่นทิ้งเอาไว้เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง!”
เยี่ยเทียนไม่ได้ปกปิดที่มาของทองคำเหล่านี้ เพราะว่าตอนที่ทองคำพวกนี้ถูกหลอมแล้วหล่อเป็นทองคำก้อน ด้านบนล้วนมีอักษรภาษาญี่ปุ่นหลงเหลืออยู่ คนช่างสังเกตจึงสามารถดูที่มาของมันออกได้ภายในพริบตา
ซ่งเฟยเบิ่งตาโต พยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นทองคำพวกนี้ควรจะเป็นของประเทศชาติจึงจะถูก ขอบคุณมากที่คุณสามารถเสาะหาทองคำเหล่านี้จากพม่ากลับมาเพื่อประเทศเรา!”
“หึ ๆ เป็นของประเทศเหรอ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ คนพวกนี้เป็นทหารนานจนโง่แล้วหรือไง?เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ แล้วจึงอธิบายตอบ “ทองคำพวกนี้ญี่ปุ่นช่วงชิงมาจากประเทศต่างๆ ในทวีปตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เกี่ยวกับประเทศจีนหรอกครับ”
ของที่ญี่ปุ่นช่วงชิงไปจากคนจีนนั้นมีมากมาย ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์สถานของประเทศญี่ปุ่น ล้วนเป็นทรัพย์สินล้ำค่าทางวัฒนธรรมของจีน ทำไมไม่เห็นพวกคุณไปเจรจากับพวกญี่ปุ่น นำเอาสมบัติกลับคืนสู่ประเทศล่ะ?
“พูดอย่างนั้นได้ยังไง ในอดีตประเทศจีนทนรับการทรมานจากพวกญี่ปุ่นหนักที่สุด นำของพวกนี้มาเป็นสิ่งชดเชยนับว่าสมควรแล้ว” ซ่งเฟยยิ้มแห้ง ออกจะไม่เห็นพ้องกับคำพูดของเยี่ยเทียน
“เอาน่ะ พอเถอะคุณ”
เยี่ยเทียนออกจะอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย เขาต่อสู้เสี่ยงตายช่วงชิงทองคำเหล่านี้มา คนพวกนี้กลับบอกว่าอยากส่งให้รัฐบาล คิดว่าเรื่องมันง่ายดายได้อย่างนั้นหรือ?
“ประเทศจีนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่การละทิ้งค่าปฏิกรรมสงครามเมื่อในอดีต ก็เป็นเพราะบางคนเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”
สายตาของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา “ผมเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง สิ่งที่ไม่ใช่ของผมผมไม่ต้องการ แต่สิ่งที่ควรเป็นของผม ใครก็อย่าคิดจะมาช่วงชิงไป ไม่เชื่อคุณก็ลองดู!”
ตอนนี้เยี่ยเทียนชักจะสงสัยขึ้นมาแล้ว ว่าตาแก่ซ่งเฮ่าเทียนคนนี้จงใจวางกับดัก หลังจากเขานำทองคำเข้าประเทศ ก็โกยกลับเข้าเป็นของรัฐบาลหรือเปล่า? อย่างนี้ไม่เรียกว่าหลอกใช้เขาหรอกหรือ?
ซ่งเฟยส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องลองหรอกครับ ผมเชื่อว่าเบื้องบนจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้คุณแน่ แต่ว่าทองคำเหล่านี้ ต้องเก็บกลับเป็นสมบัติของบ้านเมือง”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว!” เมื่อได้ยินคำพูดของนายทหารคนนี้ เยี่ยเทียนแทบอยากจะยื่นมือออกไปบีบคอเขาให้ตาย แล้วจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาทันที ค้นหาหมายเลขที่เพิ่งโทรแล้วกดโทรออก
“เยี่ยเทียน ขอสายซ่งเฮ่าเทียน!” หลังจากโทรติดแล้ว เยี่ยเทียนก็ตะคอกออกมาไม่กี่คำ หากซ่งเฮ่าเทียนบังอาจหลอกเขาเรื่องนี้ ทันทีที่กลับถึงประเทศเขาจะไปขุดพลิกสุสานตระกูลซ่งสักรอบ ไอ้เวรนี่ข่มเหงกันไม่รู้จักจบสิ้น
สองสามนาทีถัดมา ก็มีเสียงของซ่งเฮ่าเทียนดังมาจากในโทรศัพท์ “เยี่ยเทียน คนที่ไปรับเธอถึงแล้วใช่ไหม ฉันจะบอกให้นะ เธอกลับมากับพวกเขาจะดีกว่า…”
“พอ คุณเงียบก่อนเลย ผมจะบอกคุณว่าทองคำทั้งหมดนี้ผมแย่งชิงมาจากผีน้อยร้อยกว่าตัว ผมต้องเสี่ยงด้วยชีวิต ใครก็อย่าคิดจะช่วงชิงเอาไปได้ ไม่งั้นคุณก็ลองดู ถ้าหากผมไม่ขุดสุสานตระกูลซ่งของพวกคุณขึ้นมา ผมก็ไม่ใช่สกุลเยี่ย!”
หากเป็นคำพูดของคนอื่น เยี่ยเทียนอาจไม่จำเป็นต้องเดือดดาลขนาดนี้ เพียงแต่เดิมทีเขาก็มีอคติต่อตระกูลซ่งอยู่แล้ว พอมาถูกซ่งเฮ่าเทียนข่มเหงเอา จึงทำให้เยี่ยเทียนพลันสูญเสียความใจเย็น จนเกือบจะหลุดสาปแช่งด่าทอออกมาทางโทรศัพท์
“หา นี่เธอพูดถึงเรื่องอะไรกันน่ะ? ใครต้องการทองพวกนั้นของเธอกัน ตาแก่อย่างฉันตาต่ำอย่างนั้นเลยเรอะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงได้ยินเยี่ยเทียนพูดก็ใจระทึก แม้เขาจะเป็นบอลเชวิคเก่า แต่ก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจก็ติดต่อกับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเมื่อยิ่งสนิทสนมกับโก่วซินเจีย และเขาก็เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์พยากรณ์ ทั้งยังกลัวว่าเยี่ยเทียนจะบุ่มบ่ามไปขยับเขยื้อนฮวงจุ้ยของตระกูลซ่งเข้าจริงๆ
“ตาไม่ต่ำแล้วจะยังมาจับจ้องทองพวกนี้ของผมทำไม?”
เยี่ยเทียนไม่สนใจคำอธิบายของซ่งเฮ่าเทียนแม้แต่น้อย พลางเอ่ยปากว่า “สหายซ่งเฟยของคุณคนนี้บอกว่า ทองทั้งหมดนี้จะถูกเก็บเข้าเป็นสมบัติชาติ!”
“ซ่งเฟยเรอะ? พูดจาไร้สาระ เธอส่งโทรศัพท์ให้เขาซิ!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วซ่งเฮ่าเทียนก็โกรธจัด
เขามีแผนจะยึดทองคำทั้งหมดนี้ แต่แน่นอนว่าย่อมไม่กระทำอย่างบุ่มบ่าม คาดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าหนูซ่งเฟยคนนี้ทำก่อกวนแผนการจนเละเทะ
“มีคนจะคุยกับคุณ!” เยี่ยเทียนมองยังซ่งเฟยอย่างหงุดหงิด แล้วโยนโทรศัพท์ให้เขา
“สวัสดีครับหัวหน้า!” จากบทสนทนาของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ มีหรือว่าซ่งเฟยจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร? คราวนี้ถึงกับเหงื่อแตกเต็มหน้า พอรับโทรศัพท์ก็ยืดตัวตรงแหนว น้ำเสียงก้องดังฟังชัดจนดึงดูดความสนใจจากพวกอู่เฉิน
“ครับ ๆ ผมฝ่าฝืนกฎระเบียบ กลับไปจะต้องเขียนหนังสือพิจารณาตัวเอง เชื่อฟังคำสั่งจากหัวหน้าอย่างเคร่งครัดครับ!” ไม่รู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนพูดอะไรเหมือนกัน ซ่งเฟยเดิมทีเคยอวดเบ่งเต็มที่ กลับกลายเป็นเชื่ออกเชื่อฟัง กระทั่งหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากก็ยังไม่กล้าเช็ด
ผ่านไปสามนาทีเต็ม ซ่งเฟยจึงได้ยื่นโทรศัพท์คืนให้เยี่ยเทียน กล่าวว่า “เยี่ยเทียน หัวหน้ามีเรื่องจะคุยกับคุณ…”
เดิมทีซ่งเฟยก็เป็นลูกหลานแท้ๆ ของตระกูลซ่ง ยามฉลองปีใหม่ในทุกๆ ปี ก็สามารถได้พบท่านปู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงมีสิทธิ์พูดคุยกับซ่งเฮ่าเทียนโดยตรง และยังเป็นสาเหตุที่ซ่งเฮ่าเทียนส่งเขามา
แต่ที่ซ่งเฟยคาดไม่ถึงก็คือเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ กลับเป็นหลานนอกแท้ๆ ของท่านปู่ ซึ่งรับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง นี่มันราวกับคลื่นน้ำซัดวังมังกร คนบ้านเดียวกันแต่กลับไม่รู้จักกัน!
“ไม่เกี่ยวกับคุณก็ดีแล้ว” หลังรับสาย น้ำเสียงของเยี่ยเทียนดีกว่าเมื่อครู่มาก นิสัยของเขาก็เหมือนกับลา ขนเรียบไปตามหวีที่สางแต่ถ้าหากสางขนย้อนกลับ ก็จะพองขู่ทันที
“แค่กๆ เยี่ยเทียน ฉันยังมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
ซ่งเฮ่าเทียนในโทรศัพท์กระแอมเสียงออกมาหนึ่งที กล่าวว่า “ทองคำจำนวนนี้ที่เธอหามาได้ ก็คิดจะเปลี่ยนมือเป็นเงินไม่ใช่หรือ? ตอนนี้รัฐบาลไม่อนุญาตให้เอกชนค้าขายแร่โลหะมีค่านะ ความหมายของฉันก็คือ หากเธอขายทองจำนวนนี้ให้กับรัฐบาล ฉันจะจ่ายตามเรททองคำปัจจุบันที่สมควรได้รับให้กับเธอ!”
การขับเคลื่อนเฮลิคอปเตอร์ข้ามเขตแดน ต่อให้เป็นซ่งเฮ่าเทียนที่อดีตเคยมีอำนาจล้นฟ้า ก็ยังไม่อาจทำได้ ครั้งนี้เขาจึงติดต่อกับข้าราชการระดับสูงบางคน หนึ่งในเงื่อนไขนั้นก็คือทองคำจำนวนนี้ต้องขายให้กับประเทศ
“อย่างนี้เองหรือครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ทองคำจำนวนมากขนาดนั้นก็ไม่มีประโยชน์กับเขา หากสามารถแลกเป็นเงินสดได้ย่อมดีกว่า แม้จะถูกไปบ้างเยี่ยเทียนก็ยังรับได้ จึงพยักหน้าบอกทันที “เหลือไว้ให้ผมห้าตัน ที่เหลือสามารถขายให้พวกคุณได้หมดเลย!”
“ฉันว่านะเจ้าหนู จะเก็บทองไว้ในมือเยอะขนาดนั้นทำไม?” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ผู้เฒ่าเองก็ถอนหายใจโล่งอก เจ้าหนูคนนี้รับมือยากเหลือหลาย ไม่อย่างนั้นคราวก่อนคงไม่บังคับให้เขาตีพิมพ์คำขอโทษเยี่ยเทียนที่ฮ่องกงหรอก
“ผมเก็บไว้ปูพื้นไม่ได้หรือไง? จริงสิ ทองคำห้าตันคุณช่วยผมหลอมแล้วหล่อใหม่ขึ้นหน่อย ค่าใช้จ่ายหักจากในนั้นก็ได้ครับ”
ทองคำนี้แม้จะเฉิ่มเชย แต่ครอบครัวชนชั้นสูงมากมายชอบให้ตกแต่งห้องหับ เนื่องจากทองคำมีคุณประโยชน์เรียกทรัพย์ในทางฮวงจุ้ย เยี่ยเทียนเหลือทองคำห้าตันไว้เพราะคิดจะใช้ในคฤหาสน์ของเขาที่ฮ่องกง
……………….