“เอ้อ ศิษย์พี่ พรุ่งนี้ฉันจะไปถึงฮ่องกง พี่จะพาศิษย์พี่ไปด้วยเลยมั้ย?”
ค่ายกลรวมวิญญาณในบ้านซื่อเหอย่วนเมืองปักกิ่งของเยี่ยเทียนตั้งขึ้นมาได้สักพักแล้ว ถึงแม้พระราชวังต้องห้ามจะรวมพลังพิฆาตกับพลังวิญญาณของเส้นเลือดมังกรอยู่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดพลังลมปราณวิญญาณในเรือนก็ถือว่าลดลงและจางลงกว่าเดิม
บวกกับโก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้น โจวเซี่ยวเทียน และหูหงเต๋อต่างก็พักอาศัยที่นั่นเป็นเวลานาน ทำให้ความเสียหายของพลังลมปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคำนวณไว้ ใช้เวลามากที่สุดแค่หนึ่งปีครึ่งก็สามารถทำลายพลังลมปราณวิญญาณ ไม่ถึงกับทั้งหมด แต่ผลสัมฤทธิ์มากที่สุดคือสุขภาพแข็งแรง เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่เหมาะแก่การฝึกวรยุทธของพวกเขาอีกต่อไป
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงรีบร้อนอยากจัดการบ้านที่เกาะฮ่องกงให้เสร็จ แม้ว่าตัวเองยังไม่เข้าไปอยู่ แต่ก็สามารถให้ศิษย์พี่ไปอยู่ได้ เพราะเมื่อนานมาแล้วเส้นลมปราณครึ่งหนึ่งของโก่วซินเจียถูกทำลาย และเขาต้องใช้สถานที่ที่มีพลังลมปราณวิญญาณเพียงพอมาปรับสภาพร่างกาย
“เยี่ยเทียน ได้ข่าวว่าเพิ่งได้หยกมาชิ้นนึงเหรอ?”
จั่วเจียจวิ้นไม่สนใจยุ่งเรื่องนี้ของเยี่ยเทียน เครื่องประดับเพชรพลอยของตระกูจั่วถูกสร้างขึ้นจากมือของเขา หากมีโอกาสได้เห็นเครื่องประดับของตระกูลจั่วเจริญรุ่งเรืองในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มันเป็นหนึ่งในความปรารถนาของจั่วเจียจวิ้น ไม่แน่ตอนนี้เขาต้องขอความเห็นใจจากศิษย์น้องซะหน่อย
“ใช่ครับศิษย์พี่ หยกชิ้นนี้ไม่เลว ซื้อมาในราคาสามร้อยกว่าดอลล่าร์เอง ฮ่าๆ!”
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ได้ เพราะครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทุกคนที่อยู่เหตุการณ์มีท่าทีหัวเราะเยาะเย้ยเขา ตอนนี้แต่ละคนเปลี่ยนท่าทีถึงขั้นเหมือนอยากจะยกลูกสาวของตัวเองมาแต่งงานกับเขา แต่ก็ต้องดูว่าตัวเขานั้นจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง
ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ใช่คนหน้าบาง แต่การเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังทำให้เขารู้สึกดีมาก นี่ก็เหมือนกับนวนิยายเรื่อง “Officialdom Unmasked” และได้แสดงชีวิตเป็นๆ เวอร์ชั่นปัจจุบันในรายการ “The Mall Unmasked”
“ศิษย์น้อง ครั้งนี้น้องต้องให้หน้าพี่บ้างนะ”
เพราะเป็นคนกันเอง จั่วเจียจวิ้นจึงไม่พูดไร้สาระกับเยี่ยเทียนและพูดอย่างตรงไปตรงมา “เอาหยกที่นายได้มาให้พี่ พี่รับผิดชอบเจียระไนเป็นสินค้าสำเร็จรูป เรื่องโปรโมทและช่องทางการขายก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ หลังจากที่ขายออกและได้เงินกลับมาแล้ว ก็แบ่งยี่สิบส่วนกับแปดสิบส่วน พี่ยี่สิบส่วน นายแปดสิบส่วน นายคิดว่ายังไง?”
โบราณกล่าวว่าพี่น้องเคลียเงินกันตรงๆ เงื่อนไขที่จั่วเจียจวิ้นให้กับเยี่ยเทียนนั้นถือว่าเยอะมาก สามารถพูดได้เลยว่าทำงานให้ฟรีๆ สัดส่วนยี่สิบกับแปดสิบ สุดท้ายแล้วร้านของตระกูลจั่วก็ไม่มีกำไรเลย
ต้องรู้ว่าการเจียระไนหยกเป็นงานระเอียด จะต้องเชิญอาจารย์แกะสลักที่มีทักษะสูง และค่าเชิญอาจารย์ก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว บวกกับการโปรโมทผ่านร้านที่จะต้องมีต้นทุนกับค่าแรงก่อนที่จะขายออกไปอีก จั่วเจียจวิ้นแบ่งไปแค่ยี่สิบส่วน ไม่แน่เขาอาจจะต้องควักเงินส่วนตัวเพิ่มบางส่วนก็เป็นได้
แน่นอน เมื่ออยู่ในธุรกิจก็จะคุยกันแบบธุรกิจ จั่วเจียจวิ้นเองก็ไม่ได้ขาดทุน ถ้าหากตระกูลจั่วออกสินค้าเครื่องประดับเพชรพลอยของเจียระไนหยกที่ไม่ซ้ำใคร เชื่อว่าวงการหยกของเกาฮ่องกงจะลุกฮืออีกครั้ง และผลของการโฆษณาแบบนี้จะใช้เงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้
การมีกิจกรรมแบบนี้หนึ่งครั้ง การมุ่งเม้นพัฒนาธุรกิจเครื่องประดับเพชรพลอย เป็นไปได้ที่จะพึ่งการขายด้วยการเปลี่ยนจากทองเป็นหยกหยกแทน และในตอนนี้ผู้คนเริ่มรู้จักหยก ถ้าสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้มันเพียงพอแล้วสำหรับร้านเครื่องประดับเพชรพลอยของตระกูลจั่วที่จะเข้าสู่ช่วงการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ พี่อย่าสนใจหยกล็อตนี้เลย ผมมีจุดประสงค์การใช้อย่างอื่น ไม่ขายให้พี่หรอก และไม่ขายให้ใครด้วย!”
เยี่ยเทียนตอบกลับจั่วจวิ้นตรงๆ และมองเห็นสายตาของคนรอบตัวที่กำลังจ้องมาที่ตัวเอง ที่แสดงสีหน้าดีใจออกมาแต่คำพูดต่อจากนั้นของเยี่ยเทียนนี้ ทำให้พวกเขาใจคอเหี่ยวแห้งไปทีเดียว เพราะว่าถ้าร้านเครื่องประดับเพชรพลอยของตระกูลจั่วไม่ได้ พวกเขาก็คงไม่ได้เช่นกัน
“เยี่ยเทียน นายจะเอาหยกเยอะแยะขนาดนั้นไว้ทำไม?”
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นนึกว่าเยี่ยเทียนจะไว้หน้าตัวเองสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะถูกปฎิเสธ เสียงในโทรศัพท์ก็ชัดเจนเลยว่าไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ เพราะตัวเขาเองไม่เคยเอ่ยปากขอศิษย์น้องเลย หรือแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังขอไม่ได้เลยงั้นเหรอ?
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองเมื่อสักครู่แข็งไปบ้าง จึงรีบพูดต่อว่า “ศิษย์พี่รอง เรื่องนี้พวกเราค่อยคุยกันอีกทีนะ ถ้าถึงตอนนั้นพี่ยังอยากได้อยู่ ผมให้พี่ฟรีๆ ก็ยังได้เลย!”
“โอเค งั้นเจอหน้ากันค่อยคุยกันอีกที…” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นรู้ว่าตัวเองเข้าใจศิษย์น้องเล็กผิดไป เมื่อคิดไปคิดมาก็ถูก ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกเขาจะทำร้ายกันลงเพียงเพราะของพวกนี้ได้ยังไงกัน?
“คุณ…คุณเยี่ย ไม่ทราบว่ามกรตเหล่านี้ของคุณ มีจุดประสงค์ที่จะขายหรือไม่ครับ?”
เห็นเยี่ยเทียนวางสายไป เจิ้งต้าจวินจึงถามอย่างระมัดระวัง เพราะเขาฟังออกว่าสายที่เยี่ยเทียนพูดด้วยนั้นคือท่านอาจารย์จั่ว และในเกาะฮ่องกงคนที่สามารถใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับจั่วเจียจวิ้นได้นั้น แม้แต่การตบหน้าหนึ่งฉาดก็ยังสามารถนับครั้งได้ ดังนั้นท่าทีของท่านประธานเจิ้งที่มีต่อเยี่ยเทียนจึงอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่บ้าง
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเงียบและไม่ตอบ เจิ้งต้าจวินนึกว่าราคาของเขาต่ำเกินไป จึงรีบพูดต่อว่า “คุณเยี่ยครับ คุณสบายใจได้ ขอแค่คุณยินยอมที่จะขาย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาเลยครับ ผมสามารถรับซื้อเพิ่มจากพื้นฐานของการคาดการณ์หนึ่งในสามส่วนของแปดสิบล้าน บวกเพิ่มอีกสี่สิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง!”
สินทรัพย์รวมของเจิ้งกรุ๊ปมีมูลค่าสูงถึงหมื่นล้านดอลล่าร์ฮ่องกง การเป็นบริษัทเครื่องประดับของเจิ้งกรุ๊ปถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุด และก่อนที่จะมาการประมูลสาธารณะที่พม่าในครั้งนี้ บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์ทิศทางการพัฒนาของบริษัทเอาไว้แล้ว นั่นก็คือเจาะกลุ่มตลาดของหยก
ดังนั้นหลังจากที่เจิ้งต้าจวินได้เสนอกับผู้บริหารแล้วนั้น เขาได้รับอนุมัติให้ใช้สินทรัพย์พันล้านมารับซื้อหหินก้อนนี้ และแผนของพวกเขาไม่ได้ต่างไปจากจั่วเจียจวิ้น ถึงจะขาดทุนแต่ก็ต้องแย่งโอกาสธุรกิจครั้งนี้มาให้ได้
“ท่านประธานเจิ้งครับ คุณทานเนื้อ ก็ต้องเหลือน้ำซุปให้พวกเราบ้างสิครับ!”
“นั่นสิ ท่านประธานเจิ้ง เจิ้งกรุ๊ปของพวกคุณรวยมาก แล้วคุณเปิดราคานี้ออกมา พวกเรายังจะทำมาหากินต่อไปได้ยังไงครับ?”
“คุณเยี่ย พวกเราให้ราคาสูงแบบท่านประธานเจิ้งไม่ได้ แต่พวกเรามีความจริงใจนะ ถ้าคุณยอมขายหยกแดงเหล่านี้ พวกเรายังคุยกันได้อีกนะครับ!”
เจิ้งต้าจวินมัวแต่สนใจความรู้สึกของเยี่ยเทียน กลับนึกไม่ถึงว่า คำพูดของเขานำมาซึ่งความไม่พอใจของคนในที่สาธารณะ เดิมทีราคาแปดสิบล้านก็ทำให้พ่อค้าเครื่องประดับเหล่านี้ไม่พอใจอยู่แล้ว ตอนนี้กลับอัพราคาขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ คิดจะบีบบังคับให้จนมุมเลยสินะ
ต้องรู้ว่า ผู้บริโภคหยกในตลาดส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลางถึงล่าง ปกติการขายหยกราคาจะอยู่ที่สิบหยวนถึงหนึ่งหมื่นหยวนประมาณนี้ ราคาหนึ่งแสนขึ้นมีไม่มาก สิ่งนี้ทำให้เหล่าพ่อค้าต้องแบกรับเงินหลายสิบล้านดอลลาร์เพื่อซื้อวัตถุดิบ
ดังนั้นราคาที่เจิ้งต้าจวินเปิด เท่ากับว่าราคาวัตถุดิบหยกในตลาดถูกดึงขึ้นไปโดยปริยาย และที่สำคัญความห่างนี้ค่อนข้างกว้าง
ถึงแม้ขนแกะจะออกบนตัวแกะ พ่อค้าเครื่องประดับสามารถใช้วิธียกระดับราคาการขายมาเติมเต็มส่วนต่างในส่วนนี้ แต่ราคาหยกในตลาดปัจจุบันเป็นอย่างไรนั้น ในใจของพวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจเท่าไร และถ้าพิจารณาผิดพลาด เงินหลายสิบล้านนี้ก็จะเสียฟรีไม่มีประโยชน์
“ทุกท่านครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พวกคุณเข้าใจผิด” คำตำหนิของผู้คนทำให้เจิ้งต้าจวินทำอะไรไม่ถูก เครื่องประดับของบริษัทเจิ้งกรุ๊ปนั้นรวยจริง แต่ถ้าสร้างความร้าวฉานในวงการเดียวกัน ในอนาคตพวกเขาก็จะอยู่ยากเช่นกัน
“เฮ้ ผมว่าพวกคุณเริ่มพูดออกไปไกลอีกแล้วนะ? ผมพูดตอนไหนว่าจะขายหยกแดงพวกนี้?”
เมื่อมองเห็นคนเหล่านี้เริ่มแก่งแย่งกันขึ้นมา เยี่ยเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ทำเหมือนกับว่าตัวเองมีรูปร่างหน้าตาที่ยากจนมากถึงขนาดจะขายหยกแดกนี้ให้ได้ถึงจะมีข้าวกินอย่างนั้นเหรอ?
“ไม่ขาย แล้ว…แล้วมาพนันหินทำไม? ”
“นั่นสิ อย่าบอกนะว่ารู้สึกราคาต่ำไป?”
“เป็นไปไม่ได้ ราคาที่ท่านประธานเจิ้งเสนอไม่ต่ำแล้วนะ ถึงจะทำเป็นเครื่องประดับสำเร็จรูป กำไรก็เกือบจะไม่เหลือแล้ว ”
คำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนสาดน้ำเย็นลงในหม้อน้ำมัน ระเบิดขึ้นมาทันที พวกเขาเสียเวลาคุยเรื่องนี้กันเกือบครึ่งวัน ไม่คิดเลยว่าเจ้าของไม่มีเจตนาจะขายหยกแดงเหล่านี้ตั้งแต่แรก แบบนี้พวกเขาก็คิดไปเองฝ่ายเดียวงั้นเรอะ?
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนปฏิเสธราคาที่ตนชัวเองเสนอออกไป เจิ้งต้าจวินไม่มีเวลาสนใจพ่อค้าเครื่องประดับรายย่อยเหล่านั้น และรีบพูดว่า “คุณเยี่ย คุณลองพิจารณาอีกครั้งดีไหม? เรื่องราคา พวกเรายังคุยกันได้นะครับ“
“ท่านประธานเจิ้งครับ ผมดูเป็นคนขาดแคลนเงินเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนมองไปที่เจิ้งต้าจวินทำเหมือนยิ้มและไม่ได้ยิ้ม พูดต่อว่า “หยกเหล่านี้ผมจะเก็บไว้ใช้เองครับ ไม่อย่างนั้นผมก็คงจะให้ศิษย์พี่จั่วแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ขายครับ คุณอย่านึกถึงมันอีกเลยนะครับ“
“คุณ ก็ได้ คุณเยี่ย หวังว่าพวกเราจะได้ทำงานร่วมกันในภายหลัง!”
แม้นิสัยของเจิ้งต้าจวินจะดีแค่ไหน แต่ก็ยังรู้สึกโกรธเพราะคำพูดของเยี่ยเทียน เอามือประสานตรงอกเสร็จก็เดินออกไปจากกลุ่มผู้คน การเริ่มต้นธุรกิจของตระกูลเจิ้งไม่ได้ขาวสะอาดและเดินทางตรงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขายังมีอำนาจใต้ดินอยู่บ้าง เจิ้งต้าจวินกำลังกลับไปขอความช่วยเหลือจากคนในตระกูล และดูว่ามีช่องทางไหนที่จะสร้างความกดดันให้เยี่ยเทียนได้บ้าง
แต่หลังจากที่เจิ้งต้าจวินนำความคิดของตัวเองแสดงเจตจำนงต่อคนในครอบครัวเสร็จ เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีหนึ่งสายโทรเข้ามา และคนนั้นก็คือท่านผู้เฒ่าที่ใกล้จะลงโลงแล้วโทรมาด่าเขาไปหนึ่งชุด แล้วสั่งให้เขารีบกลับเกาะฮ่องกงภายในคืนนั้น กระทั่งกลับเร็วกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
“หยกแดงเหล่านี้ไม่ขายทั้งนั้น ขอให้ทุกคนหลบหน่อยครับ ผมจะผ่าหิน”
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจเจิ้งต้าจวินเลยสักนิด เขามองซ้ายมองขวาเสร็จและเดินตรงไปข้างๆ เครื่องตัดหินและเปิดเครื่องตัด จากนั้นก็เริ่มตัดหยกหายากชิ้นนี้
แต่การผ่าหินที่เยี่ยเทียนทำอยู่กลับถูกผู้คนด่าอยู่ในใจ เพราะนอกจากเขานายเยี่ยที่ควักหยกแดงผลึกใสชิ้นนั้นออกมาอย่างระมัดระวังแล้ว หยกชิ้นอื่นๆ ไม่ว่าคุณภาพดีหรือไม่ดี เขาก็ใช้มีดตัดฉับลงไปทั้งหมด
ต้องรู้ว่าความหนาของเลื่อยเครื่องตัดหิน ขณะที่กำลังตัดอยู่นั้นมีผลกระทบต่อเนื้อหยกเป็นอย่างมาก ในส่วนที่เยี่ยเทียนตัดลงไปอย่างมั่วๆ ทำให้สูญเสียหยกไปกว่าหกกิโลกรัม ถ้าคิดเป็นเงินก็ประมาณหนึ่งแสนที่หายไปแล้ว
พอเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการตัดหินของเยี่ยเทียนกลับเร็วขึ้นมาก เขาใช้เวลาตัดไปเพียงเจ็ดแปดนาที หินสองชิ้นนั้นมีน้ำหนักรวมแล้วหนักว่าห้าสิบกิโลกรัม แต่กลับถูกเขาตัดออกหมดแล้ว
…….