“ลูกพามาราไกย์ไปทำอะไรมา?”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย ซ่งเวยหลันสงสัยและถามออกไป เขาไม่ได้อยากรู้ความลับของเยี่ยเทียน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชายทุกเรื่อง คนที่เป็นแม่ย่อมอยากรู้เป็นเรื่องปกติ
ที่จริงในสายตาของซ่งเวยหลัน ลูกชายคนนี้เต็มไปด้วยความความลึกลับ
ตั้งแต่เยี่ยเทียนอายุ 10 ขวบ คนที่เธอส่งไปถ่ายรูป เพื่อไม่ให้เยี่ยเทียนตกใจจึงทำได้เพียงถ่ายจากระยะไกล ฉะนั้นเธอจึงรู้จักลูกชายของเธอน้อยมาก
อายุเพียงเท่านี้ แต่เยี่ยเทียนสามารถสร้างธุรกิจได้ใหญ่ขนาดนี้ ซ่งเวยหลันจึงรู้สึกแปลกใจมาก
“แค่กๆ……”
ได้ยินแม่ถามตรงๆ เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ชิน ไอเสร็จ ก็ตอบว่า “ในตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ซ่อนทองคำไว้ที่พม่า ผมพาเหล่าหม่าไปเอาออกมาครับ ครั้งนี้พวกเขาช่วยผมได้เยอะทีเดียว คุณลองดูนะครับว่ายกเลิกสัญญาก่อนเลยมั้ย ถ้าไม่สะดวก 30ล้านดอลล่าร์นั่นผมจัดการเองก็ได้ครับ!”
ซ่งเวยหลันไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนมีเงินเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่าเงิน 30 ล้านดอลล่าร์เป็นยอดเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับลูกชาย จึงหันกลับไปพูด “แอนนา เดี๋ยวเธอไปจ่ายค่าจ้างกลุ่มมาราไกย์ให้เรียบร้อยนะ!”
“ค่ะ นายหญิง เดี๋ยวไปจัดการให้เลยค่ะ!”
แอนนาพยักหน้า และใช้หางตามองเยี่ยเทียน ในใจรู้สึกว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้อง อย่าว่า 30 ล้านดอลล่าร์เลย แค่กระดาษเปล่า 3000 ใบ มันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
ข้อมูลของเยี่ยเทียนทั้งหมดที่ซ่งเวยหลันมีอยู่ในมือ แอนนาเป็นคนรวบรวมมาให้ทั้งหมด ฉะนั้นเธอจึงทราบดีว่าเยี่ยเทียนมีเงินเท่าไหร่
ถ้าจะบอกว่าเงิน 8-10 ล้านหยวน เยี่ยเทียนก็ยังพอมีอยู่บ้าง บางทีแอนนาเอาจจะเชื่อ แต่เยี่ยเทียนเอ่ยปากก็คือ 30 ล้านดอลล่าร์ แอนนารู้สึกมันเกินไปหน่อย
“ว่าแต่ ศิษย์พี่ของลูกล่ะ?”
เงินทองสำหรับซ่งเวยหลันถือว่าเป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น สิ่งที่เธอเป็นห่วงคือการใช้ชีวิตของเยี่ยเทียน หลังจากได้ยินลูกชายเอ่ยถึงสรรพนาม ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ที่ยุคสมัยใหม่ไม่ค่อยเรียกกัน จึงหัวเราะและพูดว่า “ฉันลืมไปเลยว่าลูกเป็นศิษย์น้องอาจารย์จั่วฮ่องกง เยี่ยเทียน เรื่องดูดวงที่ลูกเรียนมามันตรงๆจริงเหรอ?”
ซ่งเวยหลันเกิดในตระกูลมีชื่อเสียง ได้รับการศึกษาที่ดีตั้งแต่เด็ก แม้จะเคยเป็นตัวแทนไปชนบทมาหลายปี แต่หลังจากนั้นเธอก็ไปอเมริกาต่อ หลายปีมานี้เธอจึงใช้ชีวิตและเชื่อศาสนาตามแบบตะวันตกมาตลอด
เมื่อก่อนซ่งเวยหลันรู้มาบ้างว่าเยี่ยเทียนมีความสามารถเรื่องการทำนายดวงชะตา แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจขนาดนั้น และไม่คิดเลยว่าความร่ำรวยของลูกชายนั้นจะมาจากสิ่งนี้
“เหอะๆ วิชาฉีหมิน คนภายนอกไม่รู้ จริงบ้างปลอมบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอก?”
เยี่ยเทียนหัวเราะ จากสีหน้าของแม่เขามองออกว่าแม่ไม่เชื่อเท่าไหร่ จึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “แอนนาเคยได้รับการฝึกแบบพิเศษตอนอายุ 12-18 ปีใช่มั้ย?”
“หะ? ลูกรู้ได้ไง?”
ซ่งเวยหลันมองเยี่ยเทียน “เด็กคนนี้ดื้อมาก ในตอนนั้นมีเด็กหงเหมินกลุ่มนึงกำลังจะถูกส่งไปฝึกที่ประเทศไซบีเรีย เขาบอกว่ายังไงก็จะไปให้ได้ ตอนที่กลับมาถึงร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล น่าสงสารมากๆ”
ในยุค 80-90 คนในประเทศล้วนคิดว่าพระจันทร์ข้างนอกสวยกว่าพระจันทร์ในประเทศ ต่างพากันไปต่างประเทศกันหมด ที่จริงมันไม่ไดเป็นอย่างที่ทุกคนคิด ความยากลำบากในการทำงานที่ต่างประเทศมันยิ่งกว่าในประเทศซะอีก
คนธรรมดายิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกคนล้วนเคยผ่านงานล้างถ้วยล้างจานมาก่อน ส่วนคนที่ทำธุรกิจก็ต้องรับมือกับพวกมาเฟียต่างชาติ
เช่นมาเฟียของอิตาลี ในช่วงก่อนหน้าประมาณยุค 60-70 ปี เพื่อแย่งชินพื้นที่ เคยสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ ทั้งในอเมริกาและประเทศต่างๆในแถบยุโรป ในตอนนั้นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่าง 《The Godfather》ก็คือเรื่องจริงของพวกมาเฟียในอิตาลี
เมื่อถึงยุค 80-90 ปี กลุ่มยากุซ่าของแถบเอเชียตะวันออกก็เริ่มย้ายอำนาจสู่ยุโรป
เมื่อพูดถึงยากูซ่า ชื่อนี้คงไม่เป็นที่คุ้นเคยนัก แต่ต้องรู้ว่ายะมะงุชิ งุมิ อินะงะวะ ไก และซุมิโยะชิ ไก ล้วนเป็นกลุ่มสมาชิกของยากุซ่า รายได้ในแต่ละปีที่พวกเขาได้รับสูงถึง 1 ล้านล้านดอลล่าร์ขึ้นไป
และขบวนการค้ายาเสพติดเมเดยีนในโคลอมเบีย อุปกรณ์ชั้นเยี่ยม 4 หมื่นกว่าชุดของกองทัพของพวกเขา ทำให้รัฐบาลของโคลัมเบียไม่มีทางสู้
เช่นพวกมาเฟียแม็กซิโกที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ มาเฟียรัสเซียที่ทำการค้าประเวณีข้ามชาติโดยเฉพาะ มาเฟีย Hells Angels แคนาดาที่ก้าวร้าว ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เคยขยายอิทธิพลสู่มุมต่างๆของทั่วโลก
ดังนั้นการจะทำธุรกิจให้สำเร็จในต่างประเทศ การหนุนหลังจากมาเฟียเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย และกลุ่มที่ซ่งเวยหลันพึ่งพาก็คือสำนักงานใหญ่ขององค์กรหงเหมินในอเมริกา
ในฐานะองค์กรชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อำนาจของหงเหมินเมื่อเทียบกับมาเฟียแห่งอิตาลี มีแต่เก่งกว่าไม่ใช่เทียบเท่า ที่ทางเหนือของอเมริกาน้อยมากที่จะกล้ามาหาเรื่อง
ในทุกๆปีซ่งเวยหลันจะให้เงินทุนแก่หงเหมินเป็นจำนวนมหาศาล ส่วนหงเหมินก็จะปกป้องธุรกิจของซ่งเวยหลันเป็นการตอบแทน ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงแน่นแฟ้นมาก
ฉะนั้นซ่งเวยหลันถือว่าเป็นเจ้าของเงินทุนของหงเหมินนั่นเอง เมื่อใดที่หัวหน้าของหงเหมินจะทำอะไรก็ตาม เขาจะไม่ปิดบังเธอเช่นกัน
ในยุค 80 ซ่งเวยหลันไปเยี่ยมสำนักใหญ่ของหงเหมิน ตอนนั้นพบว่าพวกเขากำลังจะเลือกลูกศิษย์หนึ่งกลุ่มไปฝึกฝนที่ไซบีเรีย แอนนาที่อายุเพียง 12 ปีก็ได้เข้าร่วม
ตอนแรกซ่งเวยหลันไม่รู้ความเหี้ยมโหดของการฝึก
แต่หลังจากที่ซ่งเวยหลันถูกจับเป็นตัวประกันอยู่หลายครั้ง ล้วนแต่จัดการโดยแอนนาและนักยอดฝีมือของหงเหมิน ตอนที่เห็นบาดแผลเต็มตัวของแอนนา ซ่งเวยหลันเพิ่งจะทราบถึงสิ่งที่แอนนาพบเจอ
แต่เรื่องของแอนนา มีเพียงซ่งเวยหลันกับหัวหน้าหงเมินไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง ฉะนั้นตอนที่เยี่ยเทียนพูดถึงสิ่งที่แอนนาเคยพบเจอมาก่อน ทำให้ซ่งเวยหลันรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“วิธีการฝึกพลังของแอนนาไม่ถูกต้อง เป็นการกระตุ้นให้ความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ปรากฏออกมา นี่เป็นสิ่งที่ทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง”
เยี่ยเทียนหันหน้ามองแอนนาที่ยืนอยู่ข้างหลังโซฟาและพูดว่า “และเธอเป็นผู้หญิง ร่างกายที่ไม่เพรียบพร้อมตั้งแต่เกิด เกรงว่าเมื่อถึงอายุ 40 ปี ก็มีโอกาสที่ร่างกายจะอัมพาตทั้งตัว!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างเช่น อันเดรวิช เยี่ยเทียนคงขี้เกียจพูดถึงความผิดปกติในร่างกายของเขา แต่แอนนาเป็นคนสนิทของแม่ เยี่ยเทียนจึงมองเธอต่างจากคนอื่นและพูดเยอะไปบ้าง
“อัมพาต? รุน…..รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ซ่งเวยหลันตกใจกับคำพูดของลูกชายมาก เธอเลี้ยงดูแอนนาตั้งแต่ 5 ขวบ และเลี้ยงเธออย่างลูกสาว เมื่อได้ยินความรุนแรงเช่นนี้จึงรีบจับมือเยี่ยเทียนเอาไว้และพูดว่า “แล้ว…..แล้วมีวิธีรักษามั้ย?”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ เสียงของแอนนาก็ดังขึ้น “นายหญิง แอนนาไม่เป็นอะไร นายหญิงอย่าไปฟังที่เขาพูด”
ไม่ว่าจะเป็นนักสู้ต่างชาติหรือในประเทศ เราสามารถมองเห็นจุดเด่นของใบหน้า รูปร่างจากภายนอก การที่แอนนาสามารถรอดชีวิตจากการฝึกที่ไซบีเรีย สายตาของเขาไม่ผิดเป็นแน่ เธอมองออกว่าเยี่ยเทียนไม่รู้จักการต่อสู้อะไรหรอก
“คนภายในฝึกลมปราณ พวกนอกรีตฝึกกำลัง การฝึกของคนต่างชาติคล้ายกับการฝึกมวยนอกรีตในบ้านเรา แม้จะเป็นการกระตุ้นความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในเหมือนกัน แต่ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองต่างกันมาก”
เยี่ยเทียนไม่ได้โกรธ มองแอนนาและพูดต่อ “ถ้าหากมวยนอกรีตไม่สามารถนอกเข้าในได้ วิชายิ่งสูงการได้รับบาดเจ็บก็ยิ่งมาก ตอนนี้เธออายุยังน้อยยังไม่รู้สึกหรอก รออายุ 35 เดี๋ยวก็รู้เอง”
เนื่องจากวิชาที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆในหลายปีนี้ เยี่ยเทียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนคนที่อยู่ที่สูง คำพูดที่พูดออกมาก็จะดูแก่ เหมือนว่ากำลังสั่งสอนคนรุ่นหลังอยู่อย่างนั้น
เยี่ยเทียนพูดเองก็เลยไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่ฟังคือแอนนากลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ปีนั้นเธอเอาชนะผู้ชายในค่ายไซบีเรียกว่า 30 คน ระดับการเต้นของหัวใจตอนนี้จึงไม่ได้สูงธรรมดา
“ในจีนมีคำพูดนึงพูดไว้ว่า วางแผนยุทธการตามตัวหนังสือ เธอไม่เข้าใจศิลปะการป้องกันตัวของต่างประเทศ อย่าพูดมั่ว”
แม้จะเคารพซ่งเวยหลันแค่ไหน แต่แอนนาไม่มีความรู้สึกใดๆต่อเยี่ยเทียน คนต่างชาติมีนิสัยตรงไปตรงมาอยู่แล้ว แอนนาจึงพูดออกมาตรงๆและใช้น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
“วางแผนยุทธการตามตัวหนังสืองั้นเหรอ? พูดมั่วงั้นเหรอ?” เยี่ยเทียนหัวเราะแห้งๆ “แค่ลูกศิษย์ของฉันเธอก็สู้ไม่ไหวหรอกมั้ง กล้าพูดได้ยังไงว่าฉันพูดมั่ว? หรือ….ให้ฉันช่วยชี้แนะให้หน่อยเป็นไง?”
“เยี่ยเทียน อย่าพูดเป็นเล่น พลังของแอนนาเก่งจริงๆนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย ซ่งเวยหลันรีบคว้าแขนเสื้อเยี่ยเทียนเอาไว้ เธอเคยเห็นแอนนาใช้มัดต่อยคนสูง 1.9 เมตรจนล้มไปกับพื้นมาแล้ว ร่างกายที่เล็กและผอมอย่างเยี่ยเทียน เหมือนหาเรื่องใส่ตัวชัดๆไม่ใช่เหรอ?
ดูเหมือนเยี่ยเทียนไม่ฟังคำพูดของแม่ “ไม่เป็นไรครับ แอนนาเป็นคนที่ติดตามคุณ วิชาของเธอยิ่งเก่งยิ่งดี ผมชี้แนะให้เขาหน่อยไม่เป็นไรหรอกครับ!”
“แม่กลัวลูกจะถูกเธอตีต่างหาก ยังไม่รู้เลยว่าใครชี้แนะใครกันแน่?”
ซ่งเวยหลันจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่ใช่ เขานึกว่าลูกชายอยากจะโชว์ต่อหน้าตัวเองเสียอีก จึงหันไปมองแอนนาและพูดว่า “แอนนา ล้มเขาลงก็พอแล้วนะ ห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด!”
แม้ซ่งเวยหลันจะรักเยี่ยเทียน แต่เธอก็ไม่ต้องการให้ลูกชายเป็นคนหยิ่งยโส ดีที่ในห้องนอนมีพรมปูเอาไว้อย่างหนา แม้จะล้มลงไปเยี่ยเทียนก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“ค่ะ นายหญิง!”
หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งเวยหลัน แอนนาเดินขึ้นหน้าโซฟา ยืดเส้นยืดสายส่วนคอ สองหมัด เสียงไขข้อก็ดังขึ้น
“แม่ง รูปร่างดีจริงๆ!”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน ในใจด่านังปีศาจ ถ้าเป็นผู้ชายที่คิดไม่ซื่อละก็ คงลงมือกับแอนนาไม่ได้จริงๆ เพราะเนินทั้งสองข้างที่นูนออกมากับใบหน้าที่งดงามดุจนางฟ้าแบบนั้นคงทำให้ผู้ชายมากมายยอมแพ้
แน่นอนว่า ใจของเยี่ยเทียนตอนนี้มองคนตรงข้ามเป็นเพียงคู่แข่งเท่านั้น ภายนอกที่สวยงามกำลังจะกลายเป็นโครงกระดูก
ท่าทีขี้เกียจของเยี่ยเทียนในตอนแรก ขณะนี้ยืนอย่างหลังตรง สภาพภายนอกเปลี่ยนไปในทันทีทันใด เหมือนดั่งดาบที่ไม่ได้ออกจากฝักดาบ กำลังแผ่แสงเย็นยะเยือกออกสู่ภายนอก
…………..