ข่านนั้น คืออันตราย คือกับดัก ศึกษาข่านแล้ว ย่อมรู้รอบในภยันตราย
เก้าสองคือความผิดพลาด แรกหกนั้นคืออันตรายร้ายแรง หยินอ่อนคือความผิดพลาด ซึ่งไม่อาจจัดการได้ เป็นภัยในระดับที่ตกต่ำย่ำแย่ที่สุด และมิอาจหลบเลี่ยงได้ ถือเป็นลางร้ายแห่งมหาวิบัติ
จี๋เหล่าต้าศึกษาศาสตร์การพยากรณ์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลานานกว่าสามสิบปีแล้ว และเคยเสี่ยงทายได้กว้าร้ายประเภทนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือช่วง 1983 ที่รัฐมีมาตรการโหดนั่นเอง
จี๋เหล่าต้าในตอนนั้น ได้ครอบครองเขตสถานีรถไฟหนานชางซึ่งเป็นศูนย์กลางการจราจรไว้ทั้งหมดแล้ว ในแต่ละวันเฉพาะเงินที่ได้มาจากการล้วงกระเป๋าก็มีมากกว่าพันหยวนแล้ว
ควรทราบว่า ตอนนั้นเป็นปี 1983 ซึ่งกำลังอยู่ในสมัยที่ข้าวยากหมากแพง เงินเดือนเฉลี่ยต่อคนในสมัยนั้นยังแค่ไม่กี่สิบหยวนด้วยซ้ำ เงินหนึ่งพันหยวนจึงยังมีมูลค่าสูงกว่าเงินหนึ่งหมื่นในปัจจุบันเสียอีก ตอนนั้นจึงเป็นช่วงที่จี๋เหล่าต้ากำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง
หลังจากขบคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายนิสัยรอบคอบขี้ระแวงก็ช่วยจี๋เหล่าต้าไว้ได้ เขาเรียกแปดคิงคองซึ่งเป็นลูกสมุนในสมัยนั้นมารวมตัวกันครบทุกคน แล้วซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันมาเป็นจำนวนมาก พาคนเหล่านั้นขึ้นรถหนึ่งคันไปจนถึงหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกลแห่งหนึ่ง
หลังจากที่จี๋เหล่าต้าออกเดินทางไปได้หนึ่งอาทิตย์ มาตรการโหดซึ่งสะท้านสะเทือนไปทั่วประเทศก็เริ่มต้นขึ้น เพียงไม่นานตามสถานกักกันต่างๆ ก็เต็มแน่นไปด้วยผู้คน บรรดาโจรเล็กขโมยน้อยต่างก็ถูกจับกุมไปตามๆ กัน
ภาษิตว่า สังคมวุ่นวายกฎหมายต้องหนัก ในสมัยที่ความมั่นคงปลอดภัยของสังคมกำลังย่ำแย่สุดขีดนั้น บทลงโทษตามกฎหมายจึงหนักหนาขึ้นมาก บรรดาเจ้าพ่อใต้ดินที่เดิมทีมีสถานะไล่เลี่ยกับจี๋เหล่าต้าต่างก็ถูกส่งไปหามาร์กซ์ที่โลกหน้าด้วยกระสุนนัดเดียว
หลังจากทราบข่าวนี้ จี๋เหล่าต้าก็ลิงโลดยินดี เพื่อรับประกันความปลอดภัย เขาจึงอยู่ที่หมู่บ้านบนภูเขาห่างไกลแห่งนั้นจนถึงปี 1985 จากนั้นถึงจะพาลูกสมุนตัวสำคัญเหล่านั้นกลับไปอยู่ในเมือง
สถานการณ์ครั้งนั้นได้ผ่านไปแล้ว อีกทั้งพวกเจ้าพ่อส่วนใหญ่ก็ถูกจับไปหมด วงการใต้ดินที่มณฑลเจียงซีจึงแทบจะว่างเปล่า แม้แต่ที่สถานีรถไฟซึ่งเป็นสถานที่หากินของมิจฉาชีพ ก็ไม่มีกลุ่มอิทธิพลไหนเข้าไปครอบครองเลย
กล่าวได้ว่ามาตรการโหดเมื่อสองปีก่อนนั้นทำให้จี๋เหล่าต้าได้มีตำแหน่งขึ้นมาในวงการใต้ดินที่มณฑลเจียงซี เมื่อเขากลับถึงเมืองก็เข้าไปครอบครองเขตสำคัญต่างๆ ไว้ทันที และเพิ่มจำนวนลูกน้องขึ้นมา เพียงไม่นานก็กลายเป็นเจ้าพ่อใหญ่แห่งมณฑลเจียงซีในที่สุด
แต่จี๋เหล่าต้าเป็นคนฉลาด เขารู้หลักการที่ว่าไม้สูงย่อมถูกลมโกรก หลังจากพวกเจ้าพ่อที่ถูกจับกุมไปเหล่านั้นทยอยกันออกมาจากคุก จี๋เหล่าต้าจึงปล่อยบริเวณที่เป็นอาณาเขตของตนไปหลายแห่ง และก่อตั้ง ‘สำนักต้มตุ๋น’ ขึ้น
ในความคิดของจี๋เหล่าต้า การต้มตุ๋นนั้นไม่เหมือนกับการขโมยฉกชิง เพราะมันถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องใช้ทักษะอย่างพิถีพิถัน
ก่อนอื่น ถ้าหลักฐานมีไม่พอ ก็ยากที่จะตัดสินโทษได้ และต่อให้ถูกตัดสินโทษไป บทลงโทษของการฉ้อโกงก็ไม่ได้หนักหนาอะไร สำหรับพวกนักต้มตุ๋นแต่ละสำนัก วิชาการต้มตุ๋นจึงเป็นวิธีเลี้ยงชีพที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และมีผลตอบแทนมากที่สุดแล้ว
อาศัยพวกลิ่วล้อที่เคยติดตามในสมัยก่อน หลายปีมานี้จี๋เหล่าต้าถึงจะไม่เรียกว่าประสบความรุ่งโรจน์ แต่ก็เป็นหนึ่งในเจ้าพ่อที่ลึกลับที่สุดและตอแยด้วยยากที่สุดคนหนึ่งในวงการใต้ดินที่มณฑลเจียงซีแล้ว
ช่วงหนึ่งจี๋เหล่าต้าพัฒนาธุรกิจไปตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แม้จะเคยประสบปัญหามาบ้าง แต่จี๋เหล่าต้าก็คลี่คลายไปได้ทุกครั้ง ถ้าคลี่คลายไม่ได้จริงๆ เขาก็จะตัดปัญหาแบบเดียวกับคราวก่อน โดยหนีไปหลบที่ต่างประเทศสักระยะหนึ่ง
วิธีที่ขี้ขลาดเหมือนเต่าหดหัวแบบนี้ถึงจะดูน่าเกลียดอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้จี๋เหล่าต้ารอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้หลายครั้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกังขาในผลการพยากรณ์เสี่ยงทายที่ปรากฏออกมาเลยสักครั้ง
และน้ำเต้าฮวงจุ้ยที่แขวนไว้ตรงประตูใบนั้น จี๋เหล่าต้าก็ทุ่มเงินขอซื้อมาจากวัดหนานหวาที่กวางตุ้ง ว่ากันว่ามันเคยอยู่ในครอบครองของพระภิกษุผู้มีสมณศักดิ์สูงมาสองสมัย สามารถคุ้มครองและปัดเป่าความชั่วร้ายได้ นับว่าเป็นของขลังหายากชิ้นหนึ่ง
แต่ตอนนี้นอกจากจะได้ลักษณะกว้ามหาวิบัติแล้ว แม้แต่น้ำเต้าฮวงจุ้ยก็ยังตกลงมาจากประตูอย่างไร้สาเหตุ ทำให้สีหน้าของจี๋เหล่าต้าเปลี่ยนไปจนดูย่ำแย่อย่างยิ่ง
“ลูกพี่ เป็นอะไรไปครับ?” เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าเปลี่ยนสีหน้าไปมาก หลินเซวียนโย่วที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยถามขึ้นมา
“กว้ามหาวิบัติ ไม่ได้การละ เซวียนโย่ว ไป กลับเวียดนามกันคืนนี้เลย!” จี๋เหล่าต้าเชื่อมั่นในผลการเสี่ยงทายอย่างสุดใจ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงถูกรัฐลากไปยิงเป้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรือ?
กว้าร้ายนี้และการที่น้ำเต้าฮวงจุ้ยตกลงมา ส่งผลให้จี๋เหล่าต้าตัดสินใจทันที
“ไปเวียดนามตอนนี้น่ะนะ?”
หลินเซวียนโย่วได้ยินก็อึ้งไป จากนั้นก็พูดอย่างละม่อม “ลูกพี่ครับ สนามบินของเมืองที่พวกเราอยู่นี่น่ะไม่มีเที่ยวบินตรงไปเวียดนามนะครับ แล้วถึงจะไปเซี่ยงไฮ้แทน ก็ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เย็น ถ้าจะไปกันตอนนี้ มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ?”
นี่ก็ใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว หลินเซวียนโย่วแม้จะเป็นลูกกำพร้า แต่ก็เลี้ยงผู้หญิงไว้ในมณฑลเจียงซีหลายคน ตั้งแต่กลับมาคราวนี้เขาก็ยังไม่ได้เจอสักคนเลย
นึกถึงชู้สาวผู้ร้อนรักเหมือนไฟของจี๋เหล่าต้าที่มีสัมพันธ์กับเขามาสองปีคนนั้นแล้ว ถ้าจะให้กลับไปหาผู้หญิงเวียดนามที่แข็งทื่ออย่างกับตอไม้พวกนั้นอีกละก็ หลินเซวียนโย่วก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
หลินเซวียนโย่วรู้ว่าจี๋เหล่าต้ากังวลเรื่องอะไรอยู่ ยามนั้นจึงพูดขึ้นอีกว่า “ลูกพี่ ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะครับ พี่ๆ น้องๆ เราก็มีอาวุธกันทุกคน ต่อให้คนจากเมืองหลวงนั่นตามหามาถึงนี่ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปกลัวมันหรอก”
เมื่อห้าปีก่อน จี๋เหล่าต้ารู้จักกับผู้ค้ายารายหนึ่งที่นอกชายแดน อาศัยคนคนนั้นส่งของให้ จี๋เหล่าต้าจึงกลายเป็นผู้ควบคุมแหล่งยาเสพติดในเมืองทางอ้อม
เรื่องนี้เปรียบกับธุรกิจในสำนักต้มตุ๋นแล้ว ก็เป็นอาชีพที่ต้องใช้สมองอยู่เบื้องหลัง ถึงจี๋เหล่าต้าจะซุ่มตัวอยู่เบื้องหลัง และเชื่อมั่นว่าทางตำรวจคงสืบสาวมาไม่ถึงตัวเขาแน่นอน แต่เขาก็ยังให้ลูกน้องหลายคนพกอาวุธปืนไว้
“เรื่องนี้…”
จี๋เหล่าต้าฟังแล้วก็ชักจะลังเล เดิมทีอายุเขาก็ใกล้จะถึงหกสิบอยู่แล้ว เมื่อคืนยังไปโรมรันกับผู้หญิงคนนั้นอีกยกหนึ่ง เสียพลังกายไปไม่ใช่น้อยๆ เลย
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะทรมานหลิวเหล่าเอ้อร์ไปอย่างโหดเหี้ยม ความรู้สึกตื่นเต้นกำลังหมดไปพอดี ตอนนี้จี๋เหล่าต้าจึงรู้สึกเหนื่อยล้าง่วงงุนอยากจะหลับอยู่เหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าจี๋เหล่าต้าเริ่มจะคล้อยตาม หลินเซวียนโย่วก็รีบอาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นว่า “ลูกพี่ครับ ตอนที่พวกเราซื้อบ้านหลังนี้มา หลิวเหล่าเอ้อร์กับเปาเฟิงหลิงก็ไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว มันสองคนไม่มีทางรู้จักที่นี่หรอกครับ ถ้าพวกเราหลบอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นเทพเป็นเซียนก็หาไม่เจอหรอกครับ!”
จี๋เหล่าต้าร้องอืมเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ได้ อย่างนั้นเราก็อยู่ที่นี่กันก่อน แล้วพรุ่งนี้สั่งคนออกไปสืบดูหน่อย ว่ามีคนเดินทางมาจากทางเหนือบ้างรึเปล่า?”
ไม่ใช่เฉพาะหลินเซวียนโย่วคนเดียวที่ไม่อยากไปเวียดนาม แม้แต่จี๋เหล่าต้าเองก็ไม่อยากไปที่นั่นเหมือนกัน และที่หลินเซวียนโย่วพูดมาก็มีเหตุผลจริงๆ เขาซ่อนปืนไว้ในบ้านหลังนี้ตั้งสิบกว่ากระบอก ถ้าไม่ใช่ทั้งกองทัพบุกมาล้อมโจมตี จี๋เหล่าต้าก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น
แต่กว้ามหาวิบัตินี้ก็ยังคงทำให้จี๋เหล่าต้ารู้สึกไม่ค่อยวางใจ หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ก็กลับไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง แล้วหยิบปืนพกสี่กระบอกและซองกระสุนมาอีกแปดซอง แจกจ่ายให้พวกหลินเซวียนโย่ว
“เซวียนโย่ว แกพาพวกนี้ไปเฝ้าดูให้ดีๆ นะ วันนี้เบิ่งตาดูให้กว้างๆ หน่อยล่ะ”
หลังจากกำชับหลินเซวียนโย่วเสร็จ จี๋เหล่าต้าถึงจะหมุนตัวเดินขึ้นไปนอนบนชั้นสอง แต่เงาทะมึนที่อยู่ในใจนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปัดเป่าให้หายไปได้ ผ่านไปนานสองชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะผล็อยหลับไปได้
“ต้าหู่ เอ้อร์หนิว พวกแกสองคนไปเฝ้าประตูรั้วด้านหลังนะ แล้วอย่าหลับกันล่ะ”
ถึงหลินเซวียนโย่วจะไม่พอใจคำสั่งการของจี๋เหล่าต้า แต่ก็ไม่กล้าชักช้า ในห้องใต้ดินก็มีตัวอย่างเป็นๆ อยู่ให้เห็นแล้ว หลินเซวียนโย่วไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ถูกมัดติดเสานั่นหรอก
หลังจากจัดการให้คนไปเฝ้ายามกลางคืนแล้ว หลินเซวียนโย่วก็ไปโทรศัพท์ที่ห้องชั้นหนึ่ง ถ้าพรุ่งนี้เกลี้ยกล่อมให้จี๋เหล่าต้าอยู่ต่อได้อีกวันหนึ่งละก็ ตอนกลางวันเขาก็จะสามารถหาเวลาไปพบกับบรรดาชู้รักได้แล้ว
…………
ขณะที่จี๋เหล่าต้าไปยังบ้านหลังนั้น เยี่ยเทียนก็สรุปผลเสี่ยงทายได้แล้ว และไปที่ห้องของโจวเซี่ยวเทียน
“อาจารย์ เป็นไงบ้างครับ? หาไอ้สารเลวนั่นเจอรึยัง?”
ตามข้อสันนิษฐานของโก่วซินเจีย มีความเป็นไปได้สูงถึงแปดเก้าส่วนว่า จี๋เหล่าต้าก็คือลูกหลานของตระกูลโจวสายข้างในสมัยนั้นนั่นเอง เมื่อนึกถึงความอัปยศที่บรรพบุรุษได้รับ โจวเซี่ยวเทียนจึงแค้นจี๋เหล่าต้าอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
“ทำนายทิศทางได้คร่าวๆ แล้ว แต่ลักษณะกว้าออกจะกระจัดกระจายอยู่ ฉันกลัวว่ามันจะหนีไปคืนนี้เลย วันนี้ไหนๆ ก็ลำบากมาแล้ว ไปจัดการให้เรื่องมันจบๆ ไปเลยดีกว่านะ”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏอาการของความเหนื่อยล้าเช่นกัน เขาไม่มีข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับจี๋เหล่าต้า แต่ทำนายโดยอาศัยเพียงคำบอกเล่าของเปาเฟิงหลิง จึงทำให้ต้องเสียพลังจิตไปมาก
“ท่าน…ท่านเยี่ย แค่…แค่พวกคุณสองคนนี่น่ะรึ?” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น เปาเฟิงหลิงซึ่งนอนขดอยู่บนเตียงในห้องก็ตกตะลึง รีบเลิกผ้าห่มลุกขึ้นมานั่งทันที
ตอนนี้เปาเฟิงหลิงลงเรือลำเดียวกับเยี่ยเทียนแล้ว ถ้าเยี่ยเทียนตกอยู่ในเงื้อมือของจี๋เหล่าต้า อย่างนั้นเขาก็คงรักษาชีวิตของตัวเองไว้ไม่ได้เหมือนกัน
“ท่านเยี่ยครับ ผม…ผมว่าในโรงฝึกของคุณที่เมืองหลวงก็มีพวกฝีมือดีอยู่ไม่น้อย หรือเราจะรออีกสักสองวัน เรียกรวมพวกฝีมือดีมาก่อน แล้วเราค่อยไปหาจี๋เหล่าต้ากันดีไหมครับ?”
ด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของจี๋เหล่าต้านั้น เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ซึ่งติดตามเขามาหลายปีแล้วย่อมรู้ซึ้งดี และก็รู้ว่าพวกลูกสมุนของจี๋เหล่าต้าแต่ละคนจะต้องเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมแล้วแน่นอน
หากพูดถึงวิธีการของเยี่ยเทียน เปาเฟิงหลิงก็เพียงแต่หวาดหวั่นเท่านั้น แต่เมื่อนึกถึงความวิปริตของจี๋เหล่าต้าแล้ว เขาก็รู้สึกหนาวเยือกออกมาจากไขกระดูกเลยทีเดียว
“กับพวกกากเดนในวงการศาสตร์ลับนี่น่ะ ยังจะต้องเรียกรวมพลอีกรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มขึ้นมา “ถ้าแกกลัว ก็หลับอยู่ที่นี่แล้วกันนะ พรุ่งนี้เช้าพวกฉันก็จะกลับมาแล้วละ!”
“ผม…ผม…” เปาเฟิงหลิงทำปากขมุบขมิบเป็นนานสองนาน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมาว่าจะไปกับเยี่ยเทียนด้วย
“ไม่ต้องผมแล้วละ แกก็อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ” เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า มองดูชุดฝึกสีขาวบนร่างของโจวเซี่ยวเทียนแล้วบอกว่า “เซี่ยวเทียน ไปเปลี่ยนเป็นชุดสีดำ”
ในคืนเดือนมืดที่ลมพัดแรงนี้ เหมาะเป็นเวลาฆ่าคนพอดี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เป็นมืออาชีพหน่อยสิ ชุดขาวทั้งตัวแบบนี้อาจจะดูเตะตาเกินไปสักหน่อย
รอจนโจวเซี่ยวเทียนเปลี่ยนชุดเสร็จ และสองอาจารย์ศิษย์เดินออกไปจากโรงแรม ก็เป็นเวลาสามทุ่มเศษพอดี ทั้งสองเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังหนานชาง
แต่หลังจากพวกเยี่ยเทียนออกไปได้สิบนาที เปาเฟิงหลิงก็แอบออกมาจากโรงแรมอย่างลับๆ ล่อๆ เกิดสองคนนี้พลาดท่าขึ้นมา เขาอยู่ที่โรงแรมต่อไปไม่เท่ากับรอให้คนมาจับหรอกรึ?
เฟิงเฉิงอยู่ห่างจากหนานชางเป็นระยะทางถึงหกสิบเจ็ดสิบกิโลเมตร และหิมะก็เพิ่งจะตกเมื่อหลายวันก่อน รถจึงขับได้ไม่เร็ว เมื่อถึงตอนห้าทุ่ม พวกเขาจึงเพิ่งจะมาถึงเขตเมือง
หลังจากรถขับลงมาจากสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำแล้ว เยี่ยเทียนก็เรียกให้จอดรถลง
“น่าจะเป็นตำแหน่งนั้นแหละ เดี๋ยวเราเดินเลียบริมน้ำไป”
เยี่ยเทียนจ่ายค่ารถ แล้วพาโจวเซี่ยวเทียนเดินไปที่ริมแม่น้ำ ตอนกลางดึกในเดือนมกราคมนั้น มีคนเดินถนนอยู่น้อยมาก ถ้าพวกเขาไปเดินอย่างผึ่งผายอยู่บนถนนใหญ่ ก็อาจจะดูสะดุดตาเกินไป
…………………………………..