คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านประมงริมทะเลอย่างจะออกไป ถนนเส้นนั้นเป็นเส้นที่จะต้องผ่าน แต่ว่าพอมาเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น พวกชาวบ้านก็รู้สึกกลัว ยอมขับเรืออ้อมออกทะเล แต่ไม่ยอมเดินผ่านทางนั้น
สำหรับคนทีเดิมทีก็ไม่ได้มีเงินทองอย่างหมู่บ้านประมงเล็ก สถานการณ์นี้ยิ่งทำให้การใช้ชีวิตของพวกเขายากยิ่งเข้าไปใหญ่ หมู่บ้านที่มีร้อยหลังคาเรือน ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่สิบครัวเรือนเท่านั้นเอง
ในฐานะที่เป็นผู้นำอาวุธโสของชุมชน ผู้ใหญ่บ้านอู๋มองเห็นและในใจก็ร้อนรน สองสามวันมานี้วิ่งรอกไปยังหน่วยงานราชการหลายแห่ง แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาแผนที่มีประสิทธิภาพออกมาได้
ดังนั้นผู้ใหญ่อู๋ดูแล้ว ก็มีแต่บุคคลด้านหน้าที่รักษาพวกคนในชุมชุน “อาจารย์โย่ว” ถึงจะสามารถแก้ไขปัญหาของหมู่บ้านที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ได้ ทำลายสิ่งร้ายๆในสถานที่นั้น
“ผู้ใหญ่บ้านอู๋ ถนนเส้นนั้นเป็นผมเองที่แนะนำให้ทำการก่อสร้าง แน่นอนว่าจะต้องรับผิดชอบจนกว่าจะเรียบร้อย…”
ในตอนที่จั่วเจียจวินพูดคุยนั้นหันมองไปทางเยี่ยเทียนหนึ่งที เห็นเขายิ้มน้อยๆ ถึงได้กล่าวต่อว่า “พวกคุณวางใจ อีกไม่นานสถานที่นั้นก็จะกลับมาเหมือนเดิม และจะไม่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของทุกคนอีก”
หากว่าเปลี่ยนเป็นตัวจั่วเจียจวินคนเดียวนั้น เขาไม่กล้าที่จะโฆษณาขนาดนี้หรอก แต่ว่าเยี่ยเทียนพยักหน้าแล้ว แน่นอนว่าต้องมีวิธีการแก้ไข สำหรับศิษย์น้องผู้นี้ จั่วเจียจวินไม่เคยมองออกทะลุปรุโปร่งเลย
“ไปดูพวกคนเหล่านั้นก่อนแล้วกัน” ในใจของเยี่ยเทียนนั้นถึงแม้จะมีข้อสันนิษฐานอยู่หลายส่วน แต่ก็ไม่กล้าที่จะฟังธง อยากจะรีบเจอเหล่าคนที่ถูกชี่พิฆาตเข้าสู่ร่างกายก่อน
“ผู้ใหญ่พูดกัน เด็กเข้ามาสอดอะไรด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านอู๋กำลังฟังจั่วเจียจวินคุยรับปากอยู่นั้น กลับถูกเยี่ยเทียนขัด ทำให้รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตามที่เขาดู เยี่ยเทียนอายุน้อยเพียงแต่เป็นเด็กรับใช้ของอาจารย์จั่วหรือไม่ก็รุ่นหลังเท่านั้น
ในความหมายด้านหนึ่ง ฮ่องกงเป็นเมืองที่รักษาขนบธรรมเนียมของประเทศจีนเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จนถึงทุกวันนี้ยังใช่ตัวเต็มและอ่านจากบนลงล่าง
ในภูมิหลังลักษณะนี้ ในครอบครัวของคนฮ่องกงการสั่งสอนคนรุ่นหลังนั้นเข้มงวดมาก ในครอบครัวปกติ ในตอนที่ผู้ใหญ่พูดอยู่นั้น รุ่นหลังห้ามพูดสอดแทรกโดยเด็ดขาด
“เด็กรุ่นหลัง หมายถึงฉันเหรอ”
เยี่ยเทียนฟังภาษาฮ่องกงไม่ค่อยเข้าใจ หลังจากชะงักไปซักครู่ถึงรู้ว่าผู้เฒ่าสั่งสอนตนเอง ก็อดยิ้มแข้นขึ้นมาไม่ได้ ส่ายหน้ายืนปิดปากอยู่ด้านหนึ่ง
“ผู้ใหญ่อู๋ เขานั้นถึงแม้จะเป็นเด็กรุ่นหลัง แต่ว่าเป็นศิษย์น้องของผมนะ…”
จั่วเจียจวินมองไปที่ผู้ใหญ่บ้านอู๋อย่างไม่พอใจ กล่าวว่า “ไปเถอะ ตามที่ศิษย์น้องผมบอก ไปดูคนที่ถูกชี่พิฆาตเล่นงานก่อน”
“เขา…เขาเป็นศิษย์น้องของอาจารย์จั่วเหรอ”
ผู้ใหญ่บ้านอู๋มองไปที่เยี่ยเทียนอย่างไม่เชื่อสายตา หันกลับไปมองจั่วเจียจวิน อายุของทั้งสองนั้นต่างกันมากไปหน่อย
แต่หากว่าเขารู้ว่าคนที่อายุมากที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นก็เป็นศิษย์พี่ของเยี่ยเทียน ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บ้านอู๋จะทำสีหน้ายังไงออกมา
จั่วเจียจวินเอ่ยปากแล้ว ผู้ใหญ่อู๋ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เดินนำหน้าไป พาทุกคนเข้าไปในหมู่บ้าน
“ฟาจั่ย อาจารย์จั่วมาเยี่ยมนายแหนะ รีบให้เมียนายรินน้ำชาให้อาจารย์เร็วเข้า!”
เดินเข้ามาในบริเวณบ้านของครอบครัวหนึ่ง ผู้ใหญ่อู๋ก็รีบเรียกให้เตรียมเครื่องดื่ม หันกลับมากล่าวกับจั่วเจียจวินว่า “ด้านในรก ทุกคนนั่งกันด้านนอกลานกันเถอะ”
“ไม่เป็นไร นั่งตรงนี้ก็ได้” จั่วเจียจวินโบกไม้โบกมือ หลังจากเสียงตะโกนของผู้ใหญ่บ้านอู๋ ผู้ชายอายุราวสามสิบกว่าก็เดินออกมา
ผู้ชายคนนี้ส่วนสูงประมาณเมตรเจ็ดสิบเซ็นต์ ทำงานกลางแดดจนผิวเป็นสีดำคล้ำ แต่หน้าตานั้นปรากฏความซีดเซียวที่ดูแล้วสุขภาพไม่ดี ในตอนที่เดินออกมาจากประตู มือขายังจับประตูค้ำยัน ตลอดทั้งร่างนั้นให้ความรู้สึกว่าอ่อนแอมาก
“เป็นเขานั่นแหละใช่มั๊ย” เยี่ยเทียนหันข้างไปถามศิษย์พี่
โก่วซินเจียพยักหน้า กล่าวว่า “อืม เจียจวินเป็นคนจัดการ ถึงแม้ว่าจะเอาชี่พิฆาตออกจากร่างกายแล้ว แต่ว่าร่างการของเขานั้นได้รับบาดเจ็บอยู่”
ร่างกายอวัยวะภายในทั้งห้า เหมือนกับธาตุทั้งห้าหยินหยางผสมผสานกัน เมื่อถูกชี่พิฆาตแทรกซึมเข้าร่างกาย ก็จะทำให้สมดุลถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะช่วยเหลือแล้ว คนที่ถูกแทรกซึมก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีอาการเจ็บป่วย
เหมือนกับที่ตอนนั้นเยี่ยเทียนลงมือสั่งสอนเริ่นเจี้ยน ก็ทำให้นอนฝันร้ายไปหลายเดือน รวมถึงหวังซือจื้อคุณชายหวังก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนนั้นลงมือกับเขาหนักไปบ้าง จนถึงตอนนี้คนนั้นยังนอนแบบอยู่กับเตียงอยู่เลย
เยี่ยเทียนมองไปที่ผู้ชายคนนั้น พลันกล่าว “พี่ชายท่านนี้ ในตอนที่ทำงานอยู่นั้น ได้กลิ่นเหม็นสายโขยมาใช่หรือเปล่า”
“ใช่สิ กลิ่นนั้นเหม็นมาก ทำให้คนตายได้เลย” ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า สีหน้าเหมือนจดจำได้อยู่
“โอเค คุณพักรักษาตัวเถอะ อีกไม่กี่วันก็ไม่มีปัญหาแล้ว” เยี่ยเทียนพยักหน้า และดึงแขนจั่วเจียจวิน ไปยังนอกประตูเรือน
“เฮ้อ ผมว่า อาจารย์จั่ว คุณ…คุณจะทำอะไรล่ะนั่น”
เห็นอาจารย์จั่วที่เดินเข้ามาในลานบ้านแล้วยังไม่ทันได้นั่งก็จะไป ผู้ใหญ่อู๋ก็รีบเดินตามออกไปเป็นพัลวัน สีหน้าหวาดกลัว เกรงว่าตัวเองนั้นไปทำอะไรให้ “อาจารย์จั่ว” ไม่พอใจตอนไหน
เห็นท่าทางมือที่เยี่ยเทียนทำใส่ตัวเอง จั่วเจียจวินก็กล่าวว่า “ผู้ใหญ่อู๋ น้องชายคนนั้นฟื้นตัวไม่เลว ฉันก็วางใจแล้ว รอผมกลับไปก็จะสลายชี่พิฆาตบริเวณนั้น อย่างน้อยก็สามวัน อย่างมากก็ห้าวัน จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
“นี่…นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ ” ผู้ใหญ่บ้านอู๋ตกตะลึง ถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“แน่นอน พวกเราตอนนี้กลับไปหารือกัน” จั่วเจียจวินพยักหน้า
“ได้ ได้ พวกคุณรอผมซักครู่ แป๊บเดียวเดี๋ยวมา ต้องรอผมนะ”
ผู้ใหญ่อู๋ดีใจใหญ่ พลันก็คิดเรื่องอะไรขึ้นมา กำชับให้จั่วเจียจวินรอตัวเองอยู่หลายรอบ จากนั้นก็หมุนกายวิ่งจากไป ความเร็วนั้นไม่เหมือนคนที่อายุหกสิบเจ็ดสิบเลยซักนิด
“เยี่ยเทียน นายมั่นใจจริงๆ นะ”
รอจนผู้ใหญ่อู๋ออกไปแล้ว โก่วซินเจียก็มองไปที่ศิษย์น้องของตัวเอง เขารู้ว่าในเรื่องวิชานั้นตบะของเยี่ยเทียนสูงกว่าของเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าระยะเวลาสามถึงห้าวันจะสามารถทำลายชี่พิฆาตได้
เยี่ยเทียนหัวเราะ “แปดส่วนก็เป็นไปตามนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ถูกเส้นผมบังภูเขาแล้ว”
เห็นสีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ไม่เข้าใจ เยี่ยเทียนก็กำลังจะกล่าวต่อไปนั้นเอง ในหมู่บ้านก็มีคนหนุ่มแข็งแรงสี่คนแบกห่ออะไรใหญ่ออกมา ในตอนนั้นไม่ได้พูดต่อ
“ผู้ใหญ่อู๋ นี่คืออะไร” จั่วเจียจวินรับของนั้นมา จึงได้พบว่าสี่คนนั้นจับผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ ด้านในนั้นมีของสีดำอยู่
“อาจารย์จั่ว คุณดู พวกเราหมู่บ้านนั้นยากจนไม่มีอะไรต้อนรับคุณ นี่เป็นเต่าทะเลตัวใหญ่ ก่อนหน้านั้นที่ออกทะเลไปจับมาได้ ส่งให้คุณไปลองดู”
ผู้ใหญ่อู๋พูดไปพลางก็สั่งให้ทั้งสี่คนนั้นวางผ้าปูเตียงผืนใหญ่ เต่าทะเลตัวหนึ่งที่ความยาวเกือบหนึ่งเมตร ก็ปรากฏต่อหน้าธารกำนัล
ภายใต้แสงส่องเต่าทะเลตัวนี้ปรากฏสีเขียว บนขาทั้งสี่ข้างของเต่าทะเล มีรอยตาข่ายจับปลาทำให้เป็นแผล หัวและขาทั้งสี่นั้นออกมาด้านนอก แต่กลับไม่สามารถหดเข้าไปด้านในเหมือนเต่าปกติทั่วไป ท่าทางกำลังหวาดกลัว
“ลิ้มลองรสชาติ พวกคุณแม้แต่สิ่งนี้ก็กินเหรอ”
เห็นเต่าทะเลสีเขียวตัวนี้ ตาของเยี่ยเทียนก็แทบถลน เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าคนกว่างตงที่อยู่ติดทะเลนั้นกินอะไรหลายอย่าง วันนั้นตัวเองได้มาเห็นกับตาแล้ว
“แน่นอนสิ เนื้อเต่าทะเลสีเขียวแบบนี้นุ่มละมุน รสชาติอร่อยมาก ทำเป็นน้ำแกงอร่อยที่สุด” ผู้ใหญ่อู๋หลังจากรู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นศิษย์น้องอาจารย์จั่วแล้ว คำพูดที่ใช้ก็เกรงใจเป็นอย่างมาก
“ศิษย์…ศิษย์พี่ ไม่…ไม่ได้บอกว่าคนแถวทะเลมองเต่าทะเลเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนเหรอ ทำไมมีคนกินไอ้ตัวนี้ด้วยล่ะ ” เยี่ยเทียนถามโก่วซินเจียอย่างสงสัย
“เหอะๆ ที่พูดพูดกันก็เป็นแบบนั้น แต่ว่าเต่าทะเลนี่ขาเต่า น้ำมันเต่า เลือดเต่า ตับเต่า กระเพาะเต่า น้ำดีเต่าและอวัยวะภายในของเต่านั้นสามารถนำมาทำเป็นยาได้ เมื่อกินแล้วจะมีประโยชน์กับร่างกาย พวกเขาไม่มีตัวเลือกให้เลือกมากนัก”
จั่วเจียจวินถูกเยียเทียนถามจนยิ้มแข้นออกมา ทุกปีนั้นเขาจะไปตามหมู่บ้านประมงซื้อเต่าทะเลมาปล่อย แต่ว่าก็ยังมีเต่าทะเลที่หายากหลายสายพันธุ์ถูกฆ่าตาย
หลังจากได้ฟังคำของจั่วเจียจวินแล้ว เยียเทียนก็ไม่ได้เกรงใจ เดินตรงไป กล่าวว่า “ได้ เต่าทะเลตัวนี้ผมเอา เส้าเทียน มา มาช่วยกันยกไปไว้ที่รถ”
เต่านั้นเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของเทพ เลี้ยงเต่าสามารถทำให้โชคด้านการเงินคล่องขึ้น ดูอายุของเต่าทะเลตัวนี้แล้วน่าจะไม่น้อยร้อยกว่าปีขึ้น สามารถนำไปเลี้ยงในคฤหาสน์ใหม่ของเยี่ยเทียนได้พอดี นี่เป็นทางในการเพิ่มโชคลาภและอายุยืน
หัวของเต่าตัวนี้นั้นไม่เล็ก ต้องออกแรงมากหน่อยถึงจะยัดเข้าไปในกล่องหลังรถได้ เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้อยู่ต่อ สตาร์ทรถขับออกมารีบไปยังบ้านของจั่วเจียจวิน
แต่คฤหาสน์ของจั่วเจียจวินนั้นไม่มีสระน้ำ มีแต่บ่อน้ำเล็กๆ และภูเขาปลอม เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร เยี่ยเทียนจึงได้แต่ใส่ลงในบ่อน้ำ ปริมาณน้ำในนั้นท่วมหลังกระดองเต่าอยู่
“ทนลำบากอยู่ในนี้ไปก่อนนะ”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปตบหัวใหญ่โตของเต่าทะเล ใส่พลังธาตุสายหนึ่งเข้าไป เต่าทะเลตัวนั้นพลันผงกหัวขึ้นมา พยักนหน้ามาทางเยี่ยเทียนอย่างไม่หยุด ทำให้คนที่รายล้อมนั้นแตกตื่นกับเหตุการณ์ประหลาดนี้
“เลี้ยงเต่านั้นช่วยเรื่องโชคลาง คฤหาสน์ของนายนั่นพอดีเลยขาดอันนี้อยู่ แต่ว่าศิษย์น้อง นายรีบอธิบายมาสิว่าที่นั่นมันเกิดเหตุการณ์ประหลาดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อกลับมานั่งในห้องเรียบร้อย โก่วซินเจียก็กล่าวอะไรเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยค แต่ก็อดไม่ได้รีบเปลี่ยนมาถามเรื่องสถานที่ที่มีชี่พิฆาตอยู่หนาแน่น
“ศิษย์พี่ใหญ่ สถานที่นั้นที่มีชี่พิฆาตหนาแน่นไม่สลายไป ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะธรรมชาติ แต่เป็นเพราะคนทำ!”
เห็นคนเหล่านั้นกลั้นหายใจฟังที่ตัวเองกล่าว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้กั๊กอีกต่อไป กล่าวตรงประเด็นว่า “คนที่ถูกสิ่งไม่ดีนั้น ชี่พิฆาตในตัว ยังมีชี่ของศพอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จับได้หรือไม่”
“ศพ…ชี่ศพเหรอ”
โก่วซินเจียกล่าวอย่างตกตะลึง รีบพยักหน้ากล่าต่อ “เป็นไปไม่ได้หรอก คนพวกนั้นตายไปสิบกว่าปีแล้ว ทำไมยังมีชี่ของศพหลงเหลืออยู่ได้”
ที่เรียกว่าชี่ของศพนั้น ก็คือร่างกายคนเริ่มเน่าเปื่อยจะมีการส่งกลิ่นแก๊สชนิดหนึ่งออกมา เหมือนกับในปิระมิดอียิปต์ ที่มีชี่ของศพอยู่หนาแน่น
แต่สถานที่ฝังคนพวกนั้น แม้แต่โลงก็ยังไม่มี ถึงแม้จะมีชี่ของศพ ผ่านไปสิบปีก็จะถูกทำให้ระเหยหายไป ไม่มีทางคงอยู่มาถึงตอนนี้ได้
……………………………..