“ได้…”
โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นต่างก็รับปากกันอย่างฉับพลัน ยืนกันอยู่เข็มทิศโป๊ยก่วยทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือตำแหน่งเฉียนและทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือตำแหน่งเกิ่น วางเข็มทิศและเหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงไว้ในมือคุณ
ประสิทธิภาพของเครื่องรางของขลังประกอบพิธีทางศาสนาเจิ้นไจ๋ที่ใช้กำจัดพลังพิฆาต โดยเฉพาะเข็มทิศที่อยู่ในมือของโก่วซินเจียที่สืบทอดมาเป็นเวลานั้น เมื่อหยิบออกมา พลังพิฆาตก็ลอยว่อนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นเหมือนคลื่นที่แยกจากร่างกายเขา
เหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงที่ถืออยู่ในมือของจั่วเจียจวิ้นถึงแม้ประสิทธิภาพน้อยกว่า แต่พลังเขากลับเพิ่มมากขึ้น และก็ยังแสดงพลังพิเศษอย่างเห็นได้ชัด ในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังพิฆาต เหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงนี้เปล่งประกายแวววาวสีทองจางๆ มันเหมือนเหรียญทองแดงล้ำค่าในตำนาน
เมื่อเห็นศิษย์พี่ทั้งสองยืนประจำตำแหน่งแล้ว เยี่ยเทียนพลิกข้อมือด้านขวา มีใบมีดสั้นสีดำมันวาวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
ซึ่งแตกต่างจากเข็มทิศและเหรียญต้าจี้ท่งเป่า มีดสั้นอู๋เหินเพิ่งออกมาเมื่อครู่ พลังพิฆาตที่อยู่ในอากาศราวกับจะรวมกันเป็นสายน้ำ หลั่งเข้าสู่มีดสั้นอู๋เหินด้ามนั้น
มีดสั้นอู๋เหินดาบเล็กๆ นั้นในขณะนี้เหมือนกับมีหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง กัดกินพลังพิฆาตนั้นอย่างบ้าพลัง ใบมีดมืดสีดำที่ส่องแสงใต้ดวงอาทิตย์ ก็เปล่งประกายพลังพิฆาตอันหนาวเหน็บขึ้น
“เยี่ยเทียน นาย…นั่น…นั่นก็เป็นเครื่องรางของขลังประกอบพิธีทางศาสนาเหรอ?”
มีดสั้นอู๋เหินของเยี่ยเทียนที่ควักออกมาต่อหน้าต่อตาของจั่วเจียจวิ้น ซึ่งแม้แต่โก่งซินเจียเองก็ไม่รู้ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบของขลังชิ้นหนึ่งออกมา สายตาก็อดที่จะจ้องมองไม่ได้
“ฮิๆ ได้มาโดยบังเอิญครับ ศิษย์พี่ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปเดินเล่นที่ผานเจียหยวนได้นะ”
เยี่ยด้วยพูดแฝงไปด้วยการล้อเล่น แต่สายตากลับกำลังพิจารณาตำแหน่ง สะบัดมือขวา มีดสีดำปลายแหลมสว่างวาบแวบหนึ่ง มีดสั้นอู๋เหินได้แทงเข้าไปในตำแหน่งซุ่นที่อยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตรงข้ามกับโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นทั้งสองคน ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม
เครื่องรางของขลังทั้งสองที่ใช้การยับยั้งพลังพิฆาตไม่เหมือนกัน มัดสั้นอู๋เหินกำลังกลืนพลังพิฆาตในตำแหน่งนี้ที่ทะลักออกมา
แต่เป้าหมายเดียวกันคือ เมื่อรูปสามเหลี่ยมนี้ก่อตัวขึ้น พลังพิฆาตที่อยู่ในหลุมไม่สามารถล้นทะลักออกมาได้อีกต่อไป ทั้งหมดถูกขังไว้ในหลุมลึกในบริเวณรอบนอกสิบเมตรในของขลังสามชิ้นนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ เยี่ยเทียนกลับมีความกดดันมากยิ่งขึ้น พลังหยินที่เหน็บหนาวนี้เกือบทั้งหมดได้เหนียวราวกับสสาร บังคับให้เยี่ยเทียนต้องใช้ศิลปะทางด้านมวยจีนออกมาทั้งหมด เพื่อที่ให้มันสามารถหมุนเวียนอยู่นอกร่างกายได้
เยี่ยเทียนรีบทำงานต่อทันที ถือพลั่วและทำงานต่อไป เมื่อขุดลงลึกประมาณยี่สิบเซนติเมตร พลั่วก็ไปถูกกับวัตถุแข็งๆ เสียงสัมผัสนั้นแม้แต่พวกโก่วซินเจียที่ยืนอยู่สองคนต่างก็ได้ยินเสียง
“เป็นแผ่นกระดานหินปูพื้น ช่วงเวลาน่าจะไม่นานมาก!”
ไม่รอให้โก่วซินเจียเปิดปากถาม เยี่ยเทียนก็กำจัดดินเลนที่อยู่ด้านบนวัตถุ แผ่นกระดานหินปูพื้นแผ่นหนึ่งปรากฎต่อหน้าทั้งสามคน
“นี่เหมือนกับสุสานสมัยใหม่ และก็ไม่เหมือนครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร?แปลกจริงๆ!”
หลังจากที่เห็นแผ่นกระดานหินปูพื้น โก่วซินเจียก็พึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็คิดอะไรได้ แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ศิษย์น้องเล็ก นายไปขุดแผ่นหินที่อยู่ด้านหน้าไปอีกสามฟุต ดูสิว่ามีป้ายสลักชื่อผู้ตายไหม?”
หลุมศพสมัยโบราณของจีน ยึดมั่นในหลักการของ “หลุมฝังศพไม่ใช่หลุมศพ” อีกนัยหนึ่งคือต้องฝังอยู่ใต้ดินเท่านั้น ไม่ต้องทำเครื่องหมายบนพื้นดิน ต่อมาค่อยๆ มีหลุมศพตั้งกองอยู่บนพื้นดิน และมีป้ายสลักชื่อผู้ตาย
แต่หลุมศพในสมัยแรก ที่จริงก็มีป้ายสลักสลักชื่อผู้ตาย ก็คือเหมือนกับโลงศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกๆ ทั้งหมด และสลักข้อความจารึกไว้เพื่อบันทึกตัวตนของเจ้าของ
วิธีการฝังศพนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โจรปล้นหลุมฝังศพจะมาพบ สามารถลดความเสี่ยงจากการถูกขโมย ดังนั้นแม้จะอยู่ในยุคปัจจุบัน ถ้าพบฮวงจุ้ยที่เต็มไปด้วยโภคทรัพย์ มักจะใช้วิธี”หลุมฝังศพไม่ใช่หลุมศพ” มาฝังศพ
“ผมไปหาดูก่อน”เยี่ยเทียนถือพลั่วไปขุดแผ่นหินปูนที่ิอยู่ด้านหน้าเมตรหนึ่ง แต่กลับไม่พบป้ายสลักชื่อหลุมฝังศพ
“ไม่ต้องสนใจอันนี้แล้ว ผมจะเปิดแผ่นหินปูนออกก่อน ศิษย์พี่ พวกคุณก็ระวังหน่อยนะ ระวังพลังพิฆาตวิญญาณร้ายพุ่งออกมา!”
เมื่อสัมผัสได้กับพลังพิฆาตน่าเกรงขามของแผ่นหินปูน เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าที่จะประมาท
หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ พลังเส้นเลือดและสมปราณในร่างกายของเยี่ยเทียน เหมือนแทบจะรวมตัวกันทั่วทั้งร่างกาย กำลังวังชาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
เมื่อเดินมาที่ริมขอบของแผ่นหินปูน เยี่ยเทียนใช้สองมือยกขึ้นไป และตะโกนร้องเสียงดัง “จงเปิด…ออก!”
หลังจากที่ส่งเสียงคำราม เอวและหน้าท้องของเยี่ยเทียนค่อยยืนตรงขึ้น ใช้แรงทั้งสองมือยกขึ้นไปอย่างสุดกำลัง แผ่นหินนั้นมีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม แต่กลีบถูกเขาเปิดออกอย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันก็เห็นรอยรั่วของแผ่นหินปูน ร่างกายส่วนล่างของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเย็นชาทันที ราวกับเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดถูกถอดและยืนอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะน้ำแข็ง ลมเย็นมืดครึ้มนั้นหนาวเย็นจนเข้ากระดูก
“แม่ง อย่าบอกนะว่าผีพรายกำลังเล่นงานอยู่!”
พูดความจริง เยี่ยเทียนก็ใจฝ่อบ้าง สองมือที่มีแรงอย่างบ้าคลั่งได้หินทั้งก้อนออกมา ร่างกายของเขาเดินถอยหลังอัตโนมัติ หลีกเลี่ยงพลังพิฆาตของวิญญาณร้ายที่จะทะลักออก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย พลังพิฆาตจำนวนมหาศาลโจมตีที่เส้นประสาทสมองของเขาไม่หยุด ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นอยู่ข้างล่างคนเดียว เกรงว่าชั่วพริบตาพลังที่โจมตีอาจจะทำให้กลายเป็นบ้าได้
“ปากว้าฟ้าดินคน สามรวมเป็นหนึ่ง จัดให้ข้า!”
ในขณะเดียวกันตอนที่เยี่ยเทียนปล่อยร่างกายตัวเอง โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็แสดงความสามารถออกมา ปลูกฝังพลังทั้งหมดของเขาลงในของขลังที่อยู่ในมือของพวกเขา
ทันใดนั้น ของขลังทั้งสองชิ้นราวกับมีจิตวิญญาณ สะท้อนมาจากระยะไกล ก่อตัวเป็นตาข่ายที่มองไม่เห็น พลังพิฆาตทั้งหมดที่ถูกขังอยู่ในพื้นก็ได้ทะลักออกมา
ส่วนอู๋เหินที่อยู่ตำแหน่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนหลุมดำที่ไร้ก้นบึ้ง กัดกินพลังพิฆาตอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเหมือนได้ยินเสียงฮัมเพลงของมันอย่างแผ่วเบา
“ไฟเจ็ดดวงต่อชีวิตเหรอ? เยี่ยเทียน ด้านล่างมีคนใช้ค่ายกลวิชาฝืนลิขิตพลิกชะตาเพื่อสร้างดวงไฟเจ็ดดวงต่อชีวิต เร็วเข้า เปิดไฟตรงตำแหน่งดาวไถดวงและทำลายค่ายกลซะ!”
ในขณะที่เยี่ยเทียนต่อต้านการโจมตีของวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นอย่างลำบาก โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นที่อยู่ด้านบนกับมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน หลังจากที่แผ่นหินถูกเปิดออก ทันใดนั้นก็เผยหลุมศพหินออกมา
หลุมศพหินนี้มีความยาวประมาณสองเมตรครึ่ง ความสูงประมาณหนึ่งเมตร เห็นไม่ชัดว่าทำด้วยวัตถุอะไร แต่วัตถุสองสามชิ้นที่อยู่บนโลงศพหิน กลับดึงดูดความสนใจของโก่วซินเจียเป็นอย่างมาก
นั่นคือตะเกียงน้ำมันทองแดงขนาดเล็กเจ็ดดวง สี่ดวงในนั้นติดอยู่สี่มุมของโลงศพ ที่เหลืออีกสามดวงอยู่บนโลงศพ เจ็ดดวงรวมกัน กลายเป็นภาพของกลุ่มดาวไถ แต่ตะเกียงน้ำมันเหล่านี้กลับดับไปนานแล้ว
โก่วซินเจียกำลังวิเคราะห์กลค่ายกลนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะใช้วิชาฝืนลิขิตพลิกชะตาสร้างดวงไฟเจ็ดดวงต่อชีวิตไม่ได้ แต่ก็เคยฟังเยี่ยเทียนอธิบายมาก่อน เมื่อได้เห็นกับตาก็รู้ทันที
หลังจากที่ได้โก่วซินเจียพูด เยี่ยเทียนที่อดทนกับการบุกรุกโจมตีของพลังพิฆาต ก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หลังจากเห็นโลงศพหินนั้นกับดวงไฟทั้งเจ็ดดวง จึงอดพูดไม่ได้ “ศิษย์พี่ นี่คือดวงดาวเจ็ดดวงต่อชีวิต? นี่คือการปกป้องร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อย และใช้ในการให้พรแก่คนรุ่นหลัง!”
ไฟเจ็ดดวงต่อชีวิตเป็นเทคนิคยอดนิยมสำหรับการขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์ แต่ต้องใช้กับคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ซึ่งคือต้องเป็นคนที่ยังมีอายุขัยถึงจะมีประสิทธิภาพ
เหมือนกับการตายประเภทนี้หลังจากที่อยู่ในโลงศพฝั่งอยู่ในดินแล้ว อย่าว่าแต่ดวงไฟเจ็ดดวงในการต่อชีวิตเลย ถ้าเด็ดกลุ่มดาวไถเจ็ดดวงลงมาก็ช่วยไม่ได้ เพราะคนจะตายอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี
แต่การสืบทอดที่อยู่ในสมองของเยี่ยเทียน ก็มีการบรรยายสถานการณ์แบบนี้อยู่ นั่นก็คือการใช้ตะเกียงน้ำมันจัดเป็นค่ายกลดาวเจ็ดดวง และตำแหน่งรอบโลงศพให้เลือกจุดเส้นเลือดมังกรและฝังลงไป เพื่อคุ้มครองลูกหลานให้มั่งคั่งร่ำรวยในภายภาคหน้า
และค่ายกลแบบนี้ยังมีผลอีกอย่างหนึ่ง ก็คือสามารถใช้ค่ายกลวิชานี้รวบรวมของพลังความโชคดี รักษาเนื้อหนังและร่างกายคนที่อยู่ในโลงศพไม่ให้เน่าเปื่อย
ก็เหมือนกับมัมมี่ที่เหมือนเป็นตัวแทนของหลายศพที่ถูกขุดพบในประเทศจีน ที่จริงแล้วบริเวณรอบๆ นั้นเคยมีการใช้ค่ายกลวิชาแบบนี้ แต่ตอนหลังโคมไฟทองแดงที่วิจิตรงดงามเหล่านั้นได้ถูกพวกโจรหลุมศพขโมยไป
เนื่องจากโครงการรับถมที่บนเกาะฮ่องกง ทำให้สถานที่ที่เป็นเส้นเลือดมังกรกลายเป็นการรวมตัวของพลังหยิน ทำให้ค่ายกลวิชาดาวเจ็ดดวงรวมตัวกลายเป็นค่ายกลพิฆาต ดูดซับพลังวิญญาณชั่วร้ายจากหลายสิบตารางกิโลเมตรเข้ามาสู่โลงศพ
นี่ก็คือพลังหยินพิฆาตชั่วร้ายที่รวมตัวอยู่ในหลุมฝังศพ ซึ่งก็เป็นเหตุผลหลักที่ภูเขาปีศาจในพม่าเต็มไปด้วยพลังพิฆาตนั่นเอง
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนที่มีทีมงานก่อสร้างมาชำระสะสางศพพวกนี้ และเคลื่อนย้ายฮวงจุ้ยเต่าทองแดงด้านล่างโดยไม่ตั้งใจทำให้วิพลังหยินพิฆาตออกมา และมีความเป็นไปได้ว่าสถานที่ตรงนี้ได้พัฒนากลายเป็นสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งในภายหลัง
เยี่ยเทียนที่อยู่ในหลุมลึกเวลานี้ ราวกับตกลงไปในบึงน้ำ และเดินทุกย่างก้าวด้วยความลำบาก
ถึงแม้โก่วซินเจียจะพูดเรื่องค่ายกลผิด แต่วิธีทำลายค่ายกลกลุ่มดาวไถกลับพูดถูกแล้ว ตอนนี้เขาเห็นเยี่ยเทียนกำลังเดินไปที่หน้าโลงศพ และหยิบตะเกียงทองแดงที่อยู่ตรงกลางขึ้นมา
เพียงแค่เข้าใกล้โลงศพ พลังความหนาวเย็นก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น เหมือนกับมีมีดเล็กๆ ที่คอยเชือดผิวของเยี่ยเทียนอยู่ ถึงแม้วรยุทธของเยี่ยเทียนที่จะแก่กล้า แต่ก็ยังรู้สึกทนไม่ได้
ความพยายามอดทนของร่างกายที่ไม่เหมาะสม ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เดินมาที่ด้านข้างโลงศพ ยื่นมือเอาตะเกียงทองแดงขนาดเท่าจานน้ำมันอันนั้นวางไว้ในมือ
“แม่ง คนที่อยู่ในโลงศพนี้ถูกวิญญาณร้ายกัดเซาะมาหลายปี จะกลายเป็นผีดิบจริงๆ ไหมนะ?”
ในขณะที่เยี่ยเทียนถอนตะเกียงทองแดงในตำแหน่งดาวไถอยู่ เหมือนเขาได้ยินเสียงขยับในโลงศพเบาๆ เยี่ยเทียนตกใจแล้วจึงรีบเดินถอยหลัง เขากล้าที่ต่อสู้กับคน แต่ยังไม่เคยต่อสู้กับผีดิบมาก่อน
ในขณะที่ถอยหลังออกมา เยี่ยเทียนตะโกนว่า “ศิษย์พี่ สวดมนต์คัมภีร์โปรดมนุษย์!”
ค่ายกลถูกทำลาย ทันใดนั้นพลังพิฆาตพวกนี้ก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที และไม่ก่อเกิดพลังพิฆาตใหม่ขึ้นมา จากวรยุทธของเยี่ยเทียนทั้งสามคน ขอเพียงแต่สวดมนต์โปรดมนุษย์ ก็สามารถกำจัดได้ในไม่ช้า
เยี่ยเทียนไม่สนใจดินโคลนที่เต็มพื้น และเดินถอยกลับไปนั่งขัดสมาธิใต้กำแพงดินที่มีมีดสั้นอู๋เหินปักอยู่ สองมือประสานกันอยู่ที่บนหน้าตัก แล้วผสมผสานกับการท่องบทสวดมนต์
เมื่อเห็นการกระทำของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็มีสติขึ้นมาทันที ใช้เครื่องรางของขลังกดทับพลังพิฆาต พลางท่องบทสวดมนต์ให้ก้องกังวานไปด้วย
เส้นสีดำพวกนั้นปรากฎขึ้นในสายตา ในขณะที่พวกเขาสามคนกำลังสวดมนต์ และค่อยๆ จางลงไป บวกกับการดูดพลังพิฆาตในหลุมของมีดสั้นอู๋เหินอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังพิฆาตอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตามพลังพิฆาตที่สะสมมานานหลายสิบปีนั้น ไม่สามารถลดลงได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น หลังจากผ่านไปห้าชั่วโมงกว่า ศิษย์พี่โก่วเจียซินและจั่วเจียจวิ้นทั้งสองก็มีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก และรู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายจะทรงตัวไม่ไหวแล้ว
………………………………