“ซือซานเหลียง? นี่…นี่คือใครกัน?”
จั่วเจียจวิ้นเผยสีหน้าที่งงงวยออกมา ปากก็บ่นซือซานเหลียงสามคำนี้ แต่การแสดงอออกของเขาก็บอกเยี่ยเทียนอย่างชัดเจนว่า เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ถึงแม้จั่วเจียจวิ้นจะมาที่ฮ่องกงเมื่อหลายสิบปีก่อน และเขายังเข้าออกตระกูลเศรษฐีที่ฮ่องกงอยู่บ่อยครั้ง แต่ในขณะนี้จั่วเจียจวิ้นคิดแล้วคิดอีก ก็คิดไม่ออกว่าตระกูลร่ำรวยไหนที่มีแซ่ซือ?
ต้องรู้ว่า ช่วงเวลาที่ศพฝังในถ้ำมังกรนี้ไม่ใช่เวลาเพียงสั้นๆ อย่างน้อยต้องหนึ่งร้อยห้าสิบปีขึ้นไป ซึ่งหมายความว่า ลูกหลานของผู้คนในสุสานนี้ จะต้องเคยร่ำรวยมั่งคั่งมาก่อน และคนร่ำรวยพวกนั้นน่าจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา
แต่จั่วเจียจวิ้นกลับไปมองแค่คนร่ำรวยสมัยใหม่ของฮ่องกง ก็ไม่มีใครสักคนที่มีแซ่ซือ ทำให้เขาต้องเกาศีรษะเล็กน้อยๆ มองไปที่เยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ฮ่องกงไม่มีเศรษฐีนามสกุลซือจริงๆ เป็นไปได้ไหมที่ค่ายกลนี้จะใช้ไม่ได้ผล?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ค่ายกลเจ็ดดาวไถเป็นความลับของสำนักเสื้อป่านของพวกเราที่ไม่เคยถ่ายทอดไปข้างนอก ในเมื่อท่านอาวุโสท่านนี้ได้สร้างออกมาแล้ว คงจะต้องรอให้ค่ายกลแสดงผลถึงจะไปจากที่นี่”
ตอนที่จั่วเจียจวิ้นและเยี่ยเทียนพูด โก่วซินเจียกลับอ่านป้ายศิลาจารึกบนแผ่นหินอย่างละเอียด สีหน้าก็เปลี่ยนทันที หลังจากที่ฟังทั้งสองคนถกเถียงกัน จึงปริปากพูดว่า “พวกนายทั้งสองอย่าถกเถียงกันไปไกลเลย มาอ่านตัวหนังสือบนแผ่นศิลาจารึกสิ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมเหรอครับ?” เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นหันหน้ามองไปที่โก่วซินเจียพร้อมกัน
โก่วซินเจียส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนจัดฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัยเรือนหยินนี้ เป็นผู้อาวุโสของสำนักพวกเราจริงๆ พวกนายอ่านจบก็จะรู้เอง”
“อ้อ?”
เยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก ไม่ได้ถกเถียงกันต่อ แต่กลับอ่านข้อความศิลาจารึกบนแผ่นหินอย่างละเอียด เรื่องราวช่วงนี้เป็นช่วงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าของทั้งสองคน
ที่แท้ เจ้าของในโลงศพหินนี้ ไม่ใช่พ่อค้าที่ร่ำรวย แต่เป็นช่างหินที่เป็นคนสังคมชั้นล่างในสมัยก่อน
ตอนที่ช่างหินชื่อซือซานเหลียงอายุสิบแปดปี นั่นคือในปี 1842 อังกฤษปกครองในฮ่องกง และสถานะทางสังคมของจีนตกไปที่สังคมชั้นล่าง
โชคดีที่ซือซานเหลียงที่มีความสามารถในการแกะสลักเครื่องหิน ถึงแม้ชีวิตจะลำบาก แต่ก็ยังสามารถยืดหยัดต่อไปได้ และจะได้รับธุรกิจใหญ่โดยบังเอิญจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
พูดกันว่าทั้งชีวิตซือซานเหลียงน่าจะใช้ชีวิตธรรมดาแบบนี้ แต่มีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา ไม่…น่าจะพูดว่าเปลี่ยนชีวิตคนรุ่นหลังของเขา
ในปี 1855 ซือซานเหลียงทำงานแกะสลักหินสิงโต เมื่อทำธุรกิจนี้ จึงสามารถรับรองได้ว่าครอบครัวเขาสามคนจะต้องมีกินมีใช้ไม่ขาดแน่นอนตลอดสองสามเดือนนี้
ในเวลานั้นฮ่องกงไม่ได้ตระหนักถึงการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ชาวประมงพึ่งพาทะเลกินอยู่กับทะเล ดังนั้นช่างหินจึงขึ้นอยู่กับภูเขากินอยู่กับภูเขา เมื่อมีกำลังคนสองสามคน ซือซานเหลียงก็เตรียมที่จะขึ้นภูเขาไปเลือกหาหินที่เหมาะสม
แต่เมื่อกลุ่มผู้คนมาถึงตีนเขา กลับพบชายชราที่กำลังจะตายมีเลือดออกเต็มตัวในพงหญ้า บนตัวมีแผลมีดเจ็ดแปดสิบเปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ซือซานเหลียงจะเป็นช่างหินที่อยู่ในสังคมชั้นล่าง แต่กลับมีจิตใจที่ดีมาก เมื่อเห็นชายชราน่าเวทนาคนนี้ ตอนนั้นก็เกิดความสงสาร แม้แต่ก้อนหินสักก้อนก็ยังไม่ได้เก็บ แล้วก็แบกชายชราคนนี้กลับไปที่บ้าน
พ่อแม่ของซือซานเหลียง เสียชีวิตตั้งนานแล้ว ในบ้านมีเพียงภรรยาและลูกสาวอายุสิบสามปี หลังจากที่ช่วยทำความสะอาดร่างกายให้ชายชรา เขาก็ให้ภรรยาฆ่าแม่ไก่ที่ออกไข่เพียงตัวเดียวในบ้าน
หลังจากการดูแลอย่างดีของซือซานเหลียง ร่างกายของชายชราก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หลังจากสามวันเขาสามารถเดินได้ และหลังจากนั้นโรงโม่หินในบ้าน ดูเหมือนจะไม่มีของอะไรในมือของเขา
ในเวลานี้ซือซานเหลียงก็รู้แล้ว ว่าตัวเองได้ช่วยเหลือคนมหัศจรรย์ แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่อยากให้คนอื่นตอบแทนบุญคุณ อีกทั้งเขาไม่มีพ่อแม่ ถ้าชายชราไม่พูดว่าจะไป ซือซานเหลียงจะดูแลเขาเสมือนพ่อกับแม่
หลังจากหนึ่งปีต่อมามีวันหนึ่ง จู่ๆ ชายชราก็เรียกซือซานเหลียงเข้าไปในห้อง บอกเขาว่าวันที่กำหนดอายุขัยของภรรยาของเขาใกล้เข้ามาแล้ว และจะตายในวันถัดไป ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้
และแล้ว หลังจากหนึ่งวันถัดไป ภรรยาของซือซานเหลียงก็ตายโดยไม่มีอาการป่วย หลังจากจัดการศพภรรยาเสร็จ ชายชราก็พูดกับซือซานเหลียงอีกว่า บอกเขาว่าโชคชะตาของเขาอยู่ในระดับต่ำ แม้แต่ตัวเขาเองจะมีชีวิตอยู่เพียงสามปี
ตามที่ชายชราพูด ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บาดเจ็บ ก็ยังสามารถช่วยซือซานเหลียงพลิกลิขิตเปลี่ยนชะตาได้ เพื่อต่ออายุไปได้อีกสองสามปี แต่หลังจากที่ชี่ดั้งเดิมได้รับการบาดเจ็บหนัก จึงไม่มีความสามารถนั้นแล้ว
ซือซานเหลียงถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง ตอนนั้นเขาจึงพูดกับชายชราว่า เขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ชายชราช่วยให้คนรุ่นหลังของเขามีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง
หลังจากที่ชายชราครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก็รับปากคำขอของซือซานเหลียง แต่ตามคำบอกเล่าของซือซานเหลียง เพราะเขามีลูกสาวคนเดียว พรนี้เกิดขึ้นกับลูกสาวของซือซานเหลียง และคนรุ่นหลังก็คงไม่ได้นามสกุลซืออีกต่อไปแล้ว
ซือซานเหลียงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ไม่ว่าคนรุ่นหลังจะนามสกุลอะไร สายเลือดของเขาก็ยังสืบทอดอยู่ในร่างกายอยู่ดี ภายใต้คำอ้อนวอนที่หนักแน่นชายชราก็ได้จัดเตรียมไว้ให้เขา
ตั้งวันนั้นเป็นต้นมา นอกจากซือซานเหลียงจะทำงานเลี้ยงชีพเป็นปกติแล้ว เวลาที่เหลือก็สร้างโรงศพหินของตัวเอง ใช้เวลาสองปีถึงสร้างโรงศพหินเสร็จ
สามวันก่อนถึงเส้นตายของซือซานเหลียง ชายชราก็พาเขามาที่แห่งนี้ ให้เขาขุดหลุมลึกลงไปในพื้นดินถึงห้าเมตร และเอาโลงศพหินเข้าไปข้างใน
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จ ซือซานเหลียงก็เป็นอย่างที่ชายชราพูด เขาตายอย่างฉับพลันเพียงชั่วข้ามคืน และไม่มีใครหาสาเหตุของการตายได้
เนื่องจากซือซานเหลียงนั้นดีกับทุกคน รวมทั้งเพื่อนบ้านละแวกนั้นก็รู้ถึงความปรารถนาก่อนตายของเขา จึงได้ช่วยเหลือชายชราและลูกสาวของเขา ฝังเขาไว้ในโลงศพหินที่ได้ขุดขึ้นมาในสุสาน
ด้านล่างสุดของป้ายคำจารึก ชายชราได้ลงชื่อของตัวเอง เขานามสกุลลี่ ชื่อว่าหยวนจึ นักบวชเต๋าลี่หยวนจึ เป็นหัวหน้าสำนักเสื้อป่านรุ่นที่สี่สิบหก
เพื่อหลบสงคราม ลี่หยวนจึจึงอพยพจากแผ่นดินใหญ่มาที่ฮ่องกง แค่เขาคิดไม่ถึงว่า จะมีศัตรูต่างสำนักหลบหนีมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน
เมื่อเปรียบเทียบคนในสมาชิกของสำนักเสื้อป่านที่มีไม่มากนัก สำนักฉีเหมินนั้นกลับมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หลังจากผ่านชีวิตความเป็นความตาย ถึงแม้ลี่หยวนจึจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ตอนสุดท้ายของป้ายศิลาจารึก ลี่หยวนจึได้ทิ้งข้อความไว้ว่าเขาใช้พลังทั้งหมดในการทำนายดวงชะตาว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งร้อยกว่าปี จะมีคนในสำนักเสื้อป่านมาเห็นป้ายศิลานี้ เพื่อหาฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในการฝังคนในโลงศพหิน และเพื่อเป็นการตอบแทนซือซานเหลียงที่ได้ช่วยชีวิตไว้
เมื่อ่านจนถึงจุดนี้ เยี่ยเทียนถึงกับตกใจและรู้แจ้งโดยทันที ในสำนักเสื้อป่านมีเรื่องที่ลึกลับมากที่สุด กลับถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ
เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์หลี่ซั่นหยวนพูดว่า สำนักเสื้อป่านตอนที่สืบทอดมาถึงรุ่นที่สี่สิบหก ก็คือช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้า เป็นช่วงชองกบฏไท่ผิงเทียนกั๋วพอดี และเจ้าสำนักลี่หยวนจึในตอนนั้นก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เนื่องจากหัวใจหลักของวิชาคาถาสำนักเสื้อป่านมีมากมาย และทั้งหมดก็ถูกสืบทอดกันผ่านหัวหน้าสำนักเท่านั้น ตอนนั้นลูกศิษย์ทั้งสองคนของลี่หยวนจึต่างก็ไม่ได้รับการสืบทอดวิชาสำคัญ จึงเป็นสาเหตุทำให้คาถาวิชาของสำนักเสื้อป่านในร้อยปีหลังได้สูญหายไปอย่างมาก
เรื่องราวบนแผ่นป้ายศิลาจารึกก็เป็นอย่างนั้น ไม่เพียงแต่สถานะของเจ้าของโรงหินศพ ที่ไกลกว่าการจินตนาการของพวกเยี่ยเทียน แบะคนที่จัดฮวงจุ้ยหยินนี้ได้ ก็คือคนที่เป็นบรรพบุรุษของสำนักเสื้อป่านนั่นเอง
เรื่องราวของลี่หยวนจึได้จารึกไว้บนหินศิลาจารึก ทำให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องของเยี่ยเทียนที่ห่างกันร้อยปี ถึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เพียงเวลาไม่กี่นาที พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไป
หลังจากที่อ่านบันทึกช่วงนี้จบ เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นก็อดจ้องตากันอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าลี่หยวนจึใช้ภาษาลับมากมาย จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเชื่อเรื่องราวที่แปลกประหลาดนี้
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วปรมาจารย์ลี่หยวนจึจะเป็นยังไง? ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่ทิ้งวิชาสืบทอดไว้ด้วยล่ะ?”
โก่วซินเจียถอนหายใจยาว สำนักวิชาฉีเหมินให้ความสำคัญกับการพลิกชะตาฟ้าดิน จุดจบมักจะน่าอนาถมากกว่าคนที่อยู่ยุทธภพพวกนั้นหลายเท่า
ก็เหมือนกับตัวของโก่ววินเจีย แน่นอนว่าถ้าไม่ใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ เกรงว่าเขาอาจจะตายไปนานแล้ว แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ เขาก็รับภาระอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไว้เกือบครึ่งศตวรรษ
“หรือว่าการสืบทอดของลิทธิเต๋าเหมาซาน ถูกทิ้งไว้ในตัวของอาจารย์ลี่หยวนจึเหรอ?” หลังจากที่ฟังศิษย์พี่ใหญ่ ในใจของเยี่ยเทียนก็มีความคิดที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งออกมา
เพราะหลี่ซั่นหยวนเคยพูดว่า วัดเต๋าของสำนักเสื้อป่านนี้เขาเจอโดยไม่ได้ตั้งใจ เกรงว่าน่าจะอยู่มานานมากกว่าหนึ่งร้อยปีขึ้นไป เมื่อเทียบกับระยะเวลาแล้ว จึงเป็นช่วงเวลาที่ลี่หยวนจึหายตัวไปพอดี
ดังนั้นสามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า บางทีลี่หยวนจึอาจเคยอาศัยอยู่ในภูเขาเหมาซาน ค้นพบวัดเต๋าที่สร้างขึ้นในสถานที่ดังกล่าว แต่ต่อมามีสงครามรุกรานมาถึงเจียงหนาน เขาถึงต้องหนีออกมาอย่างจำใจ
เยี่ยเทียนยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น แต่เขายอมรับเรื่องการถ่ายทอดวิชาที่เป็นปาฏิหาริย์ นอกจากที่เหล่านักพรตเฒ่าที่เคยเห็น บนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่สามารถรู้ได้ ตอนนี้จึงไม่อาจใช้ถกเถียงกับศิษย์พี่ทั้งสองคนได้
“หืม? ศิษย์พี่รอง พี่…พี่เป็นอะไรไป?”
เมื่อระงับความตื่นเต้นในใจแล้ว เยี่ยเทียนจึงเงยหน้าขึ้น แต่กลับพบว่าจั่วเจียจวิ้นหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางของเขากลับตื่นเต้นมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงกลัดกลุ้มขึ้น และศิษย์พี่รองที่อ่านใจคนได้ จึงรู้ความรู้สึกในใจทั้งหมดของเขาว่าคิดอย่างไร?
จั่วเจียจวิ้นมองไปรอบๆ พูดอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ฉัน…ฉันรู้ว่าเจ้าของโลงศพหินนี้เป็นใครแล้ว”
“ศิษย์พี่รอง ที่พี่พูดไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?”
เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินถึงกับตะลึง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ใช่แค่พี่ที่รู้ ผมกับศิษย์พี่ใหญ่ แล้วก็เซี่ยวเทียน ติ้งติ้งก็รู้กันหมดทุกคน คนนี้แซ่ซือ ชื่อว่าซือซานเหลียงไง”
“ถูกต้อง ศิษย์น้องจั่ว สถานะของเจ้าของโลงศพหินนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
โก่วซินเจียก็ยิ้มขึ้นมา เพราะป้ายบนแผ่นหินก็เขียนชื่อเจ้าของโลงศพไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ศิษย์น้องทั้งสองยังอยากจะโอ้อวดความสามารถต่อคนอื่นอีก ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และรู้สึกว่าสมองเกิดความสับสนเล็กน้อย
“เฮ้อ ที่…ที่ฉันพูดไม่ใช่เขา”
จั่วเจียจวิ้นรีบพูดขึ้น และรีบอธิบาย “ที่ฉันพูดคือคนรุ่นหลังของเขา ก็คือสถานะทางสังคมของลูกสาวเขา นั่น…นั่นก็คือมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในฮ่องกง!”
พอพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเสียงของจั่วเจียจวิ้นก็ค่อยๆ ลดต่ำลง และพูดว่า “พวกเราเอาป้ายหินศิลานี้กลับไปที่บ้านก่อน ห้ามแพร่งพรายเนื้อหาในป้ายหินออกมาแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นภัยได้”
…………………………