เลือดสีแดงเข้มที่พุ่งออกจากปากเยี่ยเทียน เป็นเลือดที่คั่งอยู่ภายในทรวงอกและบ้วนออกมา หลังจากที่บ้วนเลือดออกแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็ปลอดภัย
“ศิษย์น้องเล็ก เธอ…เธอก็วู่วามเกินไป เมฆสีม่วงที่มาจากทางตะวันออกเหมือนกับว่าเป็นพลังชีวิตของฟ้าและดิน ใช้ว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราจะต่อต้านได้หมด? แต่นายกลับจะใช้มันมาเปิดค่ายกลซานฉาย”
เมื่อสงบใจได้แล้ว โก่วซินเจียอดไม่ได้ที่จะตำหนิเยี่ยเทียนสักสองสามประโยค ศิษย์น้องเล็กของตัวเองนั้นมีความใจกล้ามาก การเปิดค่ายกลซานฉายนี้ ทำให้โก่วซินเจียรู้สึกอกสั่นขวัญหายอยู่ในตอนนี้
ต้องรู้ก่อนว่า อาจารย์ฮวงจุ้ยอย่างพวกเขาก็คือการทำเรื่องฝืนต่อสวรรค์ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจถูกพลังต้านและถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์
แต่ยังไม่พูดถึงเยี่ยเทียนที่ไม่เพียงแค่ตั้งค่ายกลรวมพลังวิญญาณทั้งก้าวดวงพลิกชะตาฟ้าดินเพื่อรับพลังจักรวาล ก่อให้เกิดเมฆสีม่วงที่ปรากฏทางตะวันออกใช้มันช่วยในการเกิดค่ายกลแล้ว โก่วซินเจียได้อ่านประวัติศาสตร์ทั้งโบราณและสมัยใหม่ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้อาวุโสฉีเหมินท่านนั้นมีความชำนาญอันยอดเยี่ยมทางด้านการเขียนเช่นนี้
“ศิษย์พี่ แค่…แค่อาศัยวรยุทธแค่นี้ของผม หลังจากที่เปิดค่ายกลแล้ว ก็ไม่มีพลังหลงเหลือที่จะทำให้ค่ายกลทำงานได้ ถ้าไม่ยืมพลังภายนอก ค่ายกลซานฉายนั้นทำงานไม่ถึงสามบมหายใจก็หยุดแล้ว!”
เยี่ยเทียนยิ้มก็ฝืนยิ้มออกมา ถึงเขาจะยังบาดเจ็บหนัก แต่ว่าสติปัญญาของเขากลับชัดเจนเป็นอย่างมาก เมื่อนึกถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ จึงมีเหงื่อเย็นไหลทั้งตัว
เยี่ยเทียนใช่ว่าจะไม่คำนึงถึงผลของการยั่วโทสะของสวรรค์ก่อให้เกิดพลังย้อนกลับของหยวนชี่ เพียงแต่ว่าเขาเองเข้าใจวิธีการประทับตราคำพูดที่สัตย์จริงเป็นพิเศษ สามารถใช้พลานุภาพของสวรรค์ที่บังเกิดขึ้น หลบซ่อนเส้นทางของตัวเอง
เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนคิดไม่ถึง ตอนที่เมฆสีม่วงจากทิศตะวันออกใกล้เข้ามานั้น ค่ายกลซานฉายกลับไม่สามารถผสมผสานกันได้อัตโนมัติ เยี่ยเทียนจึงจับข้อนิ้วสวดมนต์แบบเต้าหยิน ให้ค่ายกลซานฉายเริ่มเปิดออก แล้วกลืนเมฆสีม่วงที่มาจากทิศตะวันออกลงไป
แต่ว่าด้วยเหตุการณ์เช่นนี้การหลบซ่อนตัวของเยี่ยเทียนจึงถูกเผยออกมา แม้ว่ากลุ่มเมฆสีม่วงที่มาจากทิศตะวันออกมีร่องรอยของพลังงานที่รวบรวมอยู่ในตัวเขาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังพลาดท่าทำให้เยี่ยเทียนเกือบตายได้
ตอนนี้นึกย้อนไปถึงความเสี่ยงในช่วงนี้ เยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกกลัวในตอนหลังเช่นกัน
เขาประสบกับหายนะหลายอย่างตั้งแต่เดินทางสายนี้ แต่มีครั้งนี้ที่เฉียดตายมากที่สุด เพราะว่าพลานุภาพแห่งฟ้าดินกลุ่มนั้น ทำให้ในใจของเขาไม่เกิดความคิดใดๆ ที่จะต่อต้านมันเลย
“คราวหน้าจะเป็นแบบนี้ไม่ได้อีก การต่อต้านชะตาครั้งนี้ของนาย จะทำให้การทำงานของกฎแห่งสวรรค์และโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วน ตอนนี้อาจจะยังไม่ปรากฏให้เห็น แต่ในวันข้างหน้ายากที่หลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นกับตัวนาย”
หลังจากที่ได้ฟังเยี่ยเทียนอธิบายเสร็จ โก่วซินเจียจึงส่ายหน้า พร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม จากความเข้าใจวิชาและวรยุทธของเขา จึงสามารถสัมผัสการแสดงวิชาของเยี่ยเทียนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างฟ้าดินอยู่เล็กน้อย
ต่อให้เยี่ยเทียนแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คือร่างกายของมนุษย์ ยังคงต้องประสบกับพันธนาการของกฎแห่งฟ้าดิน เว้นเสียแต่เขาสามารถเข้าไปในอาณาจักรของลัทธิเต๋าในตำนาน แบบนั้นอาจจะทำให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนีจริงก็เป็นได้
“หืม? กฎแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง แล้วจึงคิดคำนวณในใจด้วยความเคยชิน กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมากะทันหัน ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา
“เยี่ยเทียน นายอยากตายหรือไง?”
เมื่อจั่วเจียจวิ้นเห็นท่าทางของเยี่ยเทียน จึงรีบประคองเขาไว้ และวางตัวเขาลงอย่างช้าๆ พลางบ่นว่า “สภาพของนายตอนนี้ ยังคิดอยากจะทำนายชะตาฟ้าดิน?”
“แค่กๆ ผม…ผมประมาทอีกแล้ว…”
เยี่ยเทียนไอออกมาเป็นเลือด และพยายามฝืนยิ้มออกมา เขาไม่สามารถพูดได้ว่าปกติตัวเองทำนายชะตาฟ้าดิน มีหรือที่จะไม่สูญเสียพลังและสติบ้าง?
แต่ว่าครั้งนี้เยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บหนักจริงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้สมองทำนายโดยอัตโนมัติ แต่เขากลับไม่สามารถเสริมพลังฟ้าดินที่สอดคล้องกันได้ จึงทำให้บาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น
“อา…อาจารย์ ท่าน…ท่านเป็นอะไรครับ?” เสียงร้องด้วยความตกใจกับเสียงของวัตถุหนักดังมาจากหน้าประตูบ้าน เป็นตอนที่โจวเซี่ยวเทียนทราบข่าวและรีบมาพอดี
โจวเซี่ยวเทียนไม่มีกุญแจของบ้าน แต่เมื่อนั่งรถมาถึงหน้าประตู มองผ่านรั้วเหล็กนั่นจึงมองเห็นเยี่ยเทียนนอนอยู่บนพื้น จึงข้ามรั้วเหล็กบานนั้นด้วยความร้อนใจ
และมาอยู่ตรงหน้าอาจารย์เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อได้เห็นคราบเลือดที่อยู่บนเสื้อผ้าสีขาวและสีหน้าซีดเซียวที่ดูไม่ได้ของเยี่ยเทียน ดวงตาของโจวเซี่ยวเทียนจึงแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่เป็นไร เซี่ยวเทียน ประคองฉันไปนั่งตรงลานชมวิว…”
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา ครั้งก่อนที่เขาได้ช่วยหลี่ซั่นหยวนฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา จึงทำให้อายุขัยลดลงไปสิบปี เหตุผลสำคัญตอนนั้นวรยุทธของเขายังไม่พอ บวกกับเสียพลังจิตมากเกินไป แต่เทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่เหมือนกันเท่าไร
ถึงแม้ครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่ปรับร่างกายให้ดีก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ในไม่ช้า ถึงดูแล้วจะน่าเวทนา แต่ความจริงแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากมาย
แต่คฤหาสนหลังนี้ของเยี่ยเทียนเป็นสถานที่ที่พลังวิเศษสมบูรณ์ที่สุด และปากมังกรก็อยู่ที่ลานชมวิวนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพียงแค่นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญตน จึงเป็นประโยชน์มากต่อการฟื้นฟูของร่างกาย
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ครั้งนี้เยี่ยเทียนประมาทเอง ทำให้พี่ทั้งสองต้องเหนื่อยและได้รับบาดเจ็บไปด้วย อย่างอื่นจะไม่พูดถึงแล้ว พลังหยวนชี่ของที่นี่มีมากมายและอุดมสมบูรณ์ พวกเรามาฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บกันก่อนเถอะ!”
หลังจากนั่งบนเบาะทรงกลม ณ จุดชมวิวแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะออกมาอย่างขอโทษ และหันไปพูด “เซี่ยวเทียน ฉันจะบอกใบสั่งยาให้ นายเอาไปที่ร้านยาจีน และให้เจ้าของร้านยาจีนต้มให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยเอากลับมา!”
เยี่ยเทียนดูออกว่า อาการบาดเจ็บของโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นไม่ได้หนักเท่ากับเขา แต่ก็บาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายใน อีกทั้งอายุของทั้งสองคนนั้น ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลาล่ะก็ กลัวว่าจะทำให้ป่วยหนักได้
“อาจารย์ ถ้าผม…ถ้าผมไปแล้ว พวกท่าจะทำยังไงครับ?” โจวเซี่ยวเทียนพูดด้วยความลังเลใจ เพราะสภาพของเยี่ยเทียนเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่อยากจะไปไหนจริงๆ
“ไม่เป็นไร รีบไปรีบกลับ นายแค่จำยาที่ฉันบอกให้แม่นยำ เมื่อต้มยาตามใบสั่งยาเสร็จแล้วหนึ่งชุด สองอันหลังให้ต้มอีกสองชุด!”
เยี่ยเทียนใช้มือขวายันพื้นเล็กน้อย บังคับตัวเองให้นั่งตัวตรง ปากพูดยาสองอย่างกับขั้นตอนในการต้มยา และโบกมือให้โจวเซี่ยวเทียนรีบออกไป
เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ออกไปไกลแล้ว เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียทั้งสามคนจึงหลับตาพร้อมกัน กำหนดวิธีลมหายใจ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายในร่างกาย
ซึ่งไม่เหมือนกับตอนตั้งค่ายกลในตอนแรก ถึงแม้ในคฤหาสน์จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิเศษจำนวนมาก แต่กลับไม่สร้างความบาดเจ็บให้กับเยี่ยเทียนทั้งสามคน พลังเหนือธรรมชาติค่อยๆ ซึมผ่านเข้าไปภายในร่างกายของพวกเขา รักษาส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
“อาการบาดเจ็บสาหัสนี้ถ้าไม่เกินสิบวันหรือครึ่งเดือน อย่าคิดว่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้”
เยี่ยเทียนหลับตาสำรวจสถานการณ์ภายใน พลางหัวเราะในใจอย่างขมขื่น ภายใต้การโจมตีของเมฆสีม่วงจากทิศตะวันออกนั้น อวัยวะภายในของเยี่ยเทียนล้วนถูกทำให้แตกหัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีทักษะและฝึกฝนร่างกายจนสุดยอดแล้ว เกรงว่าเขาคงจะตายไปนานแล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนปกติทั่วไป แม้จะไม่ตายแต่ก็คงนอนซมเป็นโรคไปตลอดชีวิต แต่ภายในบ้านหลังนี้ เยี่ยเทียนกลับใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ในการรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้
เวลานี้ค่ายกลรวมพลังวิญญาณทั้งก้าวดวงก็ปรากฏออกมา ความรู้สึกของพลังเหนือธรรมชาติที่เข้มข้น ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของทั้งสามคนอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณทั้งหมดของพลังเหนือธรรมชาติกลับไม่ลดลงเลย
โชคดีที่เป็นเพราะค่ายกลรวมพลังวิญญาณทั้งก้าวดวงเพิ่งสร้างใหม่ ถ้าเปลี่ยนเป็นที่เรือนสี่ประสานของปักกิ่ง ภายใต้การรวมพลังของศิษย์พี่น้องทั้งสามคนได้ดูดซับพลังเหนือธรรมชาติเข้ามา แต่ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงค่ายกลนั้นยังสู้การสูญเสียพลังของเขาพวกเขาไม่ได้
เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมงกว่า เค้าโครงใบหน้าที่ขาวซีดของเยี่ยเทียน ในที่สุดก็ค่อยๆ จางหายไป แต่ยังคงมีสีหน้าซีดเหลืองอยู่บ้าง ท่าทางเหมือนคนป่วยและอ่อนแอมาก
ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นนั้น อาการบาดเจ็บกลับฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีสีหน้าที่ซีดเซียว ตอนนี้เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมา หากใช้เวลาสามถึงห้าวัน ร่างกายก้สามารถฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้
ถึงแม้พวกเขาทั้งสามคนจะมีวรยุทธที่สูง แต่ก็ไม่สามารถมัวแต่จะดูดซับพลังเหนือธรรมชาติอย่างเดียว หลังจากรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น พวกเขาทั้งสามก็ลืมตาพร้อมกัน
“ชัยภูมิที่เป็นสิริมงคล เป็นชัยภูมิที่เป็นสิริมงคลจริงๆ!”
คำแรกที่โก่วซินเจียพูดเมื่อลืมตาขึ้นเต็มไปด้วยความรู้สึกปลงอนิจจัง ถ้าพวกเขาสามารถเด็กลงได้สักสิบกว่าปี และได้ฝึกวรยุทธอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ตลอดล่ะก็ กระทั่งโก่วซินเจียอาจจะฝึกวรยุทธจนถึงขั้นหลุดพ้นและกลับคืนสู่ความว่างเปล่าไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขาอายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว ความเข้มแข็งและแข็งแกร่งของจิตใจกับกำลังวังชาได้หายไปหมดแล้ว จึงได้แต่อาศัยพลังเหนือธรรมชาติบำรุงร่างกาย และไม่สามารถบรรลุขึ้นได้อีกต่อไป
จั่วเจียจวิ้นก็ถอนหายใจ “คุ้มค่าแล้ว หากได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้ ต้องมากกว่าสิบเท่า ก็คุ้มค่าแล้ว!”
เดิมที่จั่วเจียจวิ้นกับเยี่ยเทียนเสียเงินไปจำนวนมากเพื่อสร้างค่ายกลสองอันนี้ แต่ก็ยังรู้สึกตำหนิอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็ใช้เงินทองมากกว่าหนึ่งพันล้านในการลงทุน
หลังจากได้รับความมหัศจรรย์ของค่ายกลด้วยตัวเองแล้ว ความคิดเล็กคิดน้อยของจั่วเจียจวิ้นจึงหมดไปนานแล้ว ต่อให้เขาต้องล้มละลายเพื่อแลกกับสถานที่แบบนี้ จั่วเจียจวิ้นก็ยินยอมด้วยความสมัครใจ
แม้ว่าค่ายกลจะเริ่มทำงานมาจนถึงตอนนี้ แต่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแปดชั่วโมง แต่คฤหาสน์หลังนี้ของเยี่ยเทียน กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเลยทีเดียว
ถึงแม้บ้านหลังนี้จะเพิ่งตกแต่งใหม่ แต่กลับขาดความมีชีวิตชีวา สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี
แต่ว่าคฤหาสน์ในตอนนี้ มีพลังวิเศษล้อมรอบอยู่ แผ่ซ่านความมีชีวิตชีวาอย่างมหาศาลออกไป ทำให้พืชที่เพิ่งย้ายเข้าไปปลูก สดใสสีเขียวขจีเต็มไปหมด เหมือนกับเพิ่งถูกล้างน้ำสะอาดไป
อีกทั้งพวกดอกไม้สดที่ยังไม่ถึงฤดูกาลผลิบาน ก็ผลิบานขึ้นมาในเวลานี้ ส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วทั้งสวนดอกไม้ ทำให้คนที่ได้กลิ่นเกิดความเคลิบเคลิ้ม
และสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือ ในพื้นที่ที่พืชสวนดอกไม้นั้นงอกงาม กลับมีการรวมตัวกันเข้ามาของกลุ่มเมฆหมอกเป็นกระจุก โอบล้อมไปรอบบ้าน ทำให้ดูแล้วราวกับอยู่บนสวรรค์วิมาน
ดังนั้นที่โก่วซินเจียพูดว่าชัยภูมิที่เป็นสิริมงคล จึงไม่ได้ดูคุยโม้โอ้อวดจริงๆ และเกรงว่าถ้ำที่คนในสมัยโบราณใช้ในการฝึกบำเพ็ญตบะ คงจะสู้พลังเหนือธรรมชาติที่เปี่ยมล้นของที่นี่ไม่ได้แน่นอน
แน่นอนว่า พวกนี้สามารถมองเห็นได้จากภายในบ้าน แต่จากการปลุกเสกค่ายกล หากมองจากนอกบ้าน กลับเป็นบ้านที่ล้อมด้วยภูเขาเท่านั้น ไม่ได้มีความแปลกอะไร
เมื่อพูดถึงทิวทัศน์ภายในสวนนี้ เยี่ยเทียนก็มองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน หลังจากร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนแล้ว จึงพูดว่า” ศิษย์พี่ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเรากลับไปที่ห้องกันเถอะ!”
หากเป็นวันธรรมดา แม้ว่าอากาศจะร้อนสูงถึงสามสี่สิบองศา เยี่ยเทียนก็ไม่มีเหงื่อไหลออกมาสักหยด เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอ จึงทนความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมาไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก นายช้าๆ นะ!” เยี่ยเทียนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ยืนขาโอนเอนเล็กน้อย จั่วเจียจวิ้นจึงรีบประคองเยี่ยเทียนเอาไว้
………………………………………………….