“พิธีเสร็จสิ้น? ศิษย์พี่รอง ทำไมถึงยืดเวลามาจนถึงตอนนี้ละ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ระยะในการเริ่มดำเนินการเสาฮวงจุ้ย เวลาก็ผ่านมาห้าหกวันได้แล้ว ทำไมครั้งนี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าต้องจัดพิธีเสร็จสิ้นอะไรนี่?
จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราได้รับบาดเจ็บ จะให้ออกไปร่วมพิธีเสร็จสิ้นได้ยังไง? และสองสามวันนี้เห็นอาการของนายดีขึ้น ฉันเลยจัดตารางเวลา พรุ่งนี้ไปร่วมงานด้วยกันเถอะ ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักกับคนดังที่มีชื่อเสียงในเกาะฮ่องกง”
ในสายตาของคนนอก จั่วเจียจวิ้นก็คือปรมาจารย์ฮวงจุ้ยของการจัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยนี้ ดังนั้นเมื่อไรที่จัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยสำเร็จ ก็ต้องขึ้นอยู่กับจั่วเจียจวิ้นมิใช่หรือ?
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหัวไปมา “ศิษย์พี่ ผมไม่เป็นไรหรอก ต่อไปผมก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศจีนเป็นหลัก ไม่มีความจำเป็นต้องสมาคมกับคนมีชื่อเสียงพวกนั้นหรอก”
แม้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณอาจารย์ฮวงจุ้ยมักจะมีนิสัยของการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ แต่พวกเขาเพียงทำไปเพื่อผลกำไร แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้ขาดแคลนเงิน จึงขี้เกียจที่จะคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้น
“ศิษย์น้องเล็ก นายยังหนุ่ม จำเป็นต้องมีเส้นสายบ้างนะ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จั่วเจียนจวิ้นก็หน้าแดงเล็กน้อย เขาอยู่ในแวดวงขอพวกมหาเศรษฐี ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่ก็ต้องการอย่างอื่น นั้นก็คือคำว่า “ชื่อเสียง”
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “ลาภยศและชื่อเสียง” เดิมทีสองคำนี้คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ จั่วเจียจวิ้นก็ถือว่าเป็นมหาเศรษฐีร้อยล้าน กับคำว่าลาภยศก็ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในเอเชีย มันกลับทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนเขาเองก็ตกใจเช่นกัน
แต่ว่าภายในใจของเขาก็เข้าใจอยู่ว่า จากแนวความคิดสู่การก่อสร้างสำนักฮวงจุ้ย ล้วนแล้วคือเยี่ยเทียนสร้างมันขึ้นมากับมือ เขาทำหน้าที่แค่เป็นคนประสานงาน ถือว่าต้องใช้ความหน้าด้านพอสมควรที่ขโมยคุณูปการของศิษย์น้องเล็ก
“ศิษย์พี่รอง พี่ค่อนข้างชำนาญเรื่องพวกนี้ ผมก็จะขอไม่ออกหน้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้เห็นสีหน้าของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา “พวกเราศิษย์พี่น้องสามคนเป็นหนึ่ อย่าไปคิดถึงเรื่องถ่อมตนอะไรพวกนั้นเลย ศิษย์พี่รองเดิมที่ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว ถ้าก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น มันก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ดีต่อชื่อเสียงของสำนักเสื้อป่านของพวกเรา”
จากตัวของศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย
ศิษย์พี่ใหญ่เคยเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก่อน แต่สุดท้ายก็ถูกบังคับให้ปลดเกษียณไปอยู่ในป่า ดังนั้นถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะยังหนุ่ม แต่สำหรับชื่อเสียงและลาภยศ เขาก็ยังไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไรนัก
โก่วซินเจียพยักหน้า แล้วพูด “เยี่ยเทียนที่พูดมาก็ไม่ผิด ศิษย์น้องจั่ว ศิษย์น้องเล็กยังหนุ่ม ถ้าให้ทำตัวอวดตนมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับความอิจฉาริษยา เรื่องฝ่ายราชการเหล่านั้นคงต้องให้นายเป็นผู้รับผิดชอบจัดการแล้วละ!”
“ก็ได้ ศิษย์น้องเล็ก ฉันไม่ได้จะแย่งคุณูปการของนายนะ!” จั่วเจียนจวิ้นตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ว่าก็ยังคงพยายามอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง
ในสมัยโบราณ การแอบอ้างชื่อเสียงของบุคคลอื่นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ดีอย่างยิ่ง แม้แต่ในแวดวงวิชาการสมัยใหม่ ถ้าเกิดว่าบางบทความหรือรายงานถูกคนปลอมแปลงชื่อเสียง นั่นก็ถือว่าเป็นข่าวที่อื้อฉาวใหญ่โต
ดูออกว่าเยี่ยเทียนไม่ได้มีความรู้สึกขัดข้องใจจริงๆ จั่วเจียนจวิ้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกออกมาได้เรื่องหนึ่ง แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็ก พิธีเสร็จสิ้น นายไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นยังมีงานเลี้ยงงานหนึ่ง นายจำเป็นต้องไป”
หลังจากได้ยินคำนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดหัว รีบพูดทันที “อย่าเลย ศิษย์พี่รอง ผมนี่รำคาญที่สุดเลยเวลาที่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงอะไรนั่น ถ้ามีเวลาพวกนั้น ผมขออยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจะดีกว่า”
สำหรับโอกาสที่จะได้สวมสูทจิบไวน์แดงแบบนั้น เยี่ยเทียนอยู่ปักกิ่งก็เคยเข้าร่วมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งราวกับว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นตลอดระยะเวลาสองปีกับงานเหล่านี้ เขาขอตัวอยู่ห่างๆ เสียยังดีกว่า
จั่วเจียนจวิ้นส่ายหน้า พูดว่า “งานเลี้ยงนี้ไม่ใช่แค่นายคนเดียวที่ต้องไป ศิษย์พี่ใหญ่ก็ต้องไปด้วย”
“ฉันก็ต้องไป? ศิษย์น้องจั่ว สภาพของฉันตอนนี้ไม่เหมาะที่จะไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงหรอกหรือ?”
เมื่อโก่วซินเจียได้ยินก็รู้สึกงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก่อนเขาอยู่ที่ประเทศจีนถึงแม้จะมีเพื่อนเยอะ แต่ก็คือศัตรูทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ออกมาจากภูเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าที่สาธารณะอีกเลย จึงกลัวว่าจะบังเอิญไปเจอกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ สภาพหน้าตาของพี่มันแตกต่างกับเมื่อสิบปีที่แล้วเยอะมาก ไม่มีใครรู้จักหรือจำพี่ได้หรอก”
จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วพูดว่า “งานเลี้ยงที่จัดตอนเย็น จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการจัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยนี้ อีกทั้งพวกปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงก็ถูกเชิญมาในงานนี้ด้วยเช่นกัน การประชุมครั้งใหญ่แบบนี้ พวกนายไม่อยากเข้าร่วมเหรอ?”
ในฮ่องกงมีประเพณีที่สืบทอดกันมา นั้นก็คือหลังจากที่จัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยเสร็จแล้ว ต้องเชิญพวกคนที่มีชื่อเสียงมาช่วยออกความเห็นติชม พูดถึงข้อดีข้อเสียของสำนักฮวงจุ้ยนี้
แม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เยี่ยเทียนกับสำนักฮวงจุ้ยนี้ก็รู้จักเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายเขาไม่ได้เป็นคนจัดการเอง ในใจจึงรู้สึกในฝ่ออยู่เล็กน้อย จึงอยากเชิญศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็เหมือนกับเป็นการสร้างชื่อเสียงและบารมีให้กับตัวเองมากขึ้น
“อ้อ? อาจารย์ฮวงจุ้ยจากทั่วเอเชีย? เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียมองตากัน ถามว่า “พวกเขาทั้งหมดคือคนในสำนักฉีเหมิน?”
เยี่ยเทียนถามคำถามนี้ค่อนข้างมีระดับ เพราะสังคมในสมัยปัจจุบันนี้ บางคนแค่เพียงศึกษาอ่านจากคัมภีร์โจวอี้ก็กล้าที่จะไปตามท้องถนนแล้วทำนายพยากรณ์ชีวิตให้คนอื่น มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป ถ้าหากในงานเลี้ยงตอนเย็นก็มีคนเหล่านั้นเข้าร่วม พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องออกงาน
จั่วเจียจวิ้นพยายามไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแต่ว่าปรมาจารย์สองท่านจากสิงคโปร์และไต้หวัน ต้องเป็นคนที่มีวิชาฉีเหมินแน่นอน…”
“ไต้หวัน ใครกัน?” เยี่ยเทียนมองไปที่ศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยเขาพูดคำถามนี้ออกมา
“คือลูกศิษย์ของปรมาจารย์หนาน ฉันเคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง”
จั่วเจียนจวิ้นกลัวว่าโก่วซินเจียจะไม่พอใจ จึงรีบอธิบายออกไปว่า “คนคนนั้นน่าจะอายุสิบปี ต้องเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์หนาน เขาจะต้องไม่รู้จักศิษย์พี่ใหญ่แน่นอน!”
“ปรมาจารย์หนาน ใช่หนานไหวจิ่นไหม? เขาก็เป็นคนของสำนักฉีเหมิน?” เยี่ยเทียนได้ยินก็เข้าใจทันที หากสามารถทำให้ศิษย์พี่รองเรียกว่าปรมาจารย์ได้ เกรงว่าในตอนนี้คงมีเพียงหนานไหวจิ่นคนเดียวเท่านั้น
เยี่ยเทียนไม่ค่อยรู้จักจักหนานไหวจิ่นเท่าไร แต่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึง คนนี้เป็นคนอัจฉริยะ มีความสามารถในการเข้าใจระดับสูง ไม่ได้อยู่ในระดับที่น้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขา ในวัยเด็กเขาฝึกฝนเล่าเรียนหลักสำคัญของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าหลายวิชา
เดิมทีหลี่ซั่นหยวนจะรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นหนานไหวจิ่นไปกราบของเป็นลูกศิษย์กับเพื่อนเก่า ทำให้ตอนที่หลี่ซั่นหยวนพูดถึง ก็ยังบ่นเพื่อนเก่าคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง
“ที่แท้ก็คือน้องชายหนานไหว ถ้าหากผู้สืบทอดคือเขาจะเจอหน้าหน่อยก็ไม่เป็นไร…”
โก่วซินเจียเมื่อได้ยินก็หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “เขาอยู่ที่ภูเขาชิงเฉิงได้รู้จักกับพระอาจารย์ทางตะวันตก หลังจากนั้นเขาก็ไปไหว้อาจารย์หยวนฮว่วนเซียนของพุทธศาสนานิกายเซนที่อยู่ทางเหนือของมณฑลเสฉวน รวมทั้งร่ำเรียนวิชามวย เคนโด้และศิลปะการต่อสู้ของจีนเป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักฉีเหมินชิงเฉิง!”
ตอนนั้นหนานไหนจิ่นเคยดำรงตำแหน่งอยู่ในพรรคชาตินิยมจีน ในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ควบม้าพยศไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโก่วซินเจียระยะหนึ่ง ทั้งสองคนจึงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีมาก
เพียงแต่ว่าในตอนนั้นโก่วซินเจียถูกซินแสเจี่ยงสงสัย ดังนั้นคนที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับเขาก็ถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากหนานไหวจิ่นถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และโก่วซินเจียก็ปิดบังเขาไว้ภายใน แค่ชั่วพริบตา เดียวก็เกือบครึ่งศตวรรษแล้วที่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน
“ตกลง อย่างนั้นพวกเราจะไปงานเลี้ยงคืนนี้”
เมื่อได้ยินโก่วซินเจียพูดเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “แต่ว่างานเลี้ยงไม่ใช่การนัดรวมตัวกันของพวกฉีเหมิน ศิษย์พี่รอง ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องแนะนำผมและศิษย์พี่ใหญ่นะ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้นะ!” จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า ธุระของเขาค่อนข้างเยอะ หลังจากพูดคุยกับเยี่ยเทียนทั้งสองคนได้ไม่กี่ประโยคแล้วก็รีบจากไป
เช้ารุ่งขึ้นของวันที่สอง เยี่ยเทียกับโก่วซินเจียอยู่ที่จุดชมวิว ก็สามารถมองเห็นเสาฮวงจุ้ยภายในงานที่ดูครึกครื้น ตรงนั้นไม่เพียงมีแต่คนขยับไปมา แถมยังมีการจุดดอกไม้ไฟนานกว่าครึ่งชั่วโมง เห็นได้ชัดว่าคนฮ่องกงให้ความสำคัญกับฮวงจุ้ยนี้เป็นอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองคน เมื่อฝึกวรยุทธอยู่ในคฤหาสน์เป็นเวลาหนึ่งวัน เวลาสองทุ่มกว่าก็มาถึง จั่วเจียจวิ้นขับรถมารับทั้งสองคนด้วยตัวเอง แน่นอนว่าภายในรถจะขาดหลิ่วติ้งติ้งกับโจวเซี่ยวเทียนไม่ได้
ครั้งนี้ฮ่องกงได้กลับไปเป็นของประเทศจีนแล้ว และเพื่อหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงแบบบนี้ ฝ่ายรัฐบาลจึงไม่รับเป็นฝ่ายจัดงานแล้ว แต่จัดขึ้นในนามส่วนตัว และสถานที่จัดงานที่ถูกจัดขึ้นในสโมสรส่วนตัวชั้นสูง
“ศิษย์พี่รอง พี่พาติ้งติ้งไปก็พอแล้ว พวกเราสองสามคนจะเดินเล่นอยู่แถวนี้แหละ!”
หลังจากที่เข้าไปในงาน เยี่ยเทียนจึงหยุดอยู่หน้าประตู เพราะเขาพบว่าตอนที่จั่วเจียจวิ้นเดินเข้าไปในประตูนั้น ทุกสายตาในห้องโถงขนาดใหญ่มาบรรจบอยู่ที่จุดเดียว
“อ้าว พวกนาย…”
โก่วซินเจียก็อยากจะพูด แต่ก็ถูกกลุ่มคนล้อมตัวเข้ามา ชายชราที่เดินนำคนหนึ่งอายุราวเจ็ดสิบปีก็หัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ปรมาจารย์จั่ว คุณเป็นตัวเอกของค่ำคืนนี้แต่กลับมาสายเชียวนะ?”
ขณะที่ชายชราคนนั้นพูดก็กวาดสายตาไปที่เยี่ยเทียนด้วย แต่เมื่อเห็นพวกเขาไม่ได้เดินตามโก่วซินเจียต่อ จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แล้วดึงจั่วเจียจวิ้นมาพูดต่อ
“โอ้โห งานแบบนี้ถือว่าไม่เล็กเลยนะ มหาเศรษฐีของฮ่องกงมาถึงกันหมดแล้วใช่ไหม?” เยี่ยเทียนมองเข้าไปในกลุ่มคน ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวั่นไหวเล็กน้อย
ชายชราแซ่ฮั่วที่กำลังพูดคนนั้น แม้ว่าฐานะและครอบครัวอาจจะไม่ได้รวยที่สุด แต่ก็มีอิทธิพลต่อสังคมมาก แม้แต่ในฮ่องกงยังเป็นบุคคลสำคัญในระดับผู้นำจีน อย่างหลี่เชาเหรินคนที่ใส่แว่นคนนั้น ยังทำได้แต่ยืนอยู่ข้างหลังของเขา
“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมนายต้องสนใจเรื่องพวกนั้นด้วย?”
เมื่อได้เห็นเยี่ยเทียนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย โก่วซินเจียจึงยิ้มพูด “ถ้าหากนายยอม ตัวเอกของวันนี้ก็คือนาย แต่ว่านายอยากจะได้ของพวกนี้จริงๆ เหรอ??”
“ซึ้งในคำสั่งสอนแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ครับ!”
เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะออกมา เขาไม่ชอบชีวิตที่อยู่ภายใต้สปอตไลท์แบบนี้ และสถานะทางสังคมของโลกนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
…….
ในฐานะตัวเอก ถือว่าจั่วเจียจวิ้นมาเร็วเกินไป หลังจากรอให้พวกเยี่ยเทียนนั่งในที่ไกลและลับตาคนแล้ว ก็มีคนทยอยเดินกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากประตูใหญ่
ตรงกลางนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักและคุ้นเคยกับเยี่ยเทียน เหมือนกับถังเหวินหย่วนก็พาถังเสวี่ยเสวี่ยมาด้วย เหวินหลนสงกับหวาเหล่าป่านก็มาด้วยเหมือนกัน และด้วยฐานะของพวกเขา จึงสามารถเข้ามาอยู่ในงานแบบนี้ได้
อีกทั้งยังมีพวกคนที่แต่งชุดจีวรของนักบวชเต๋าของสมัยราชวงศ์ถัง เกรงว่าจะเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยของแต่ละพื้นที่ที่จั่วเจียจวิ้นเคยพูดไว้แน่นอน แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนาสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดแล้ว ในใจกลับก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ถึงพวกคนเหล่านี้จะมีรูปร่างลักษณะและหน้าตาที่ดูงดงามเป็นอมตะ แต่ว่าภายในร่างกายกลับไม่มีปรารณวิเศษไหลเวียนอยู่เลย จึงไม่นับว่าเป็นคนในสำนักฉีเหมิน
“หืม ทำไม…ทำไมพ่อกับพวกเขาก็มากันด้วย?”
ตอนที่สายตาของเยี่ยเทียนมองไปหน้าประตูใหญ่อย่างไม่ได้ตั้งใจนั้น ก็อดตกตะลึงไม่ได้
……………………………………………..