สองคนนั้นที่เดินเข้ามาจากประตูใหญ่ที่โออ่าตระการตา ก็คือพ่อกับแม่ของเยี่ยเทียนนั่นเอง เพียงแต่ว่าการแต่งกายของพวกเขานั้น ดูแตกต่างจากแต่ก่อนมาก
ซ่งเวยหลันใส่ชุดราตรีสีดำ บนคอของเธอสวมสร้อยเพชรหนึ่งเส้น ข้อมือขวาของเธอ ยังใส่กำไลหยกจักรพรรดิที่เยี่ยเทียนมอบให้เป็นของขวัญ แสดงให้เห็นถึงลักษณะของความมั่งคั่งและดูมีชาติตระกูล
เยี่ยตงผิงใส่สูทอยู่นั้นเป็นชุดที่เหมาะกับเขามาก ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวดุจหิมะ อีกทั้งยังผูกหูกระต่าย และแว่นตาขอบสีทองที่อยู่บนดั้งจมูก มองดูแล้วเหมือนคนที่มีวิชาความรู้และสง่า
เยี่ยเทียนโตขนาดนี้แล้ว เขาได้เห็นว่าพ่อแต่งตัวอย่างเป็นทางการเช่นนี้ครั้งแรก ตอนงานหมั้นของเขาครั้งนั้น และพ่อก็เลือกใส่ชุดสูทสบายๆ ขนาดหูกระต่ายก็ยังใส่เอียงเลย
คนที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองคน ที่ตามมาด้วยก็คือแอนนา แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะสวมชุดรัดรูปตลอดทั้งปี แม้แต่ในโอกาสแบบนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“สองคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อน?”
“ผู้ชายคนนั้นดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย แต่ผู้หญิงเหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“น่าจะมาจากเมือกนอกหรือเปล่า? อาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลไหนก็ได้?”
โซฟาที่อยู่ข้างเยี่ยเทียน ก็มีเสียงคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันดังขึ้นมา สำหรับคนที่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงนี้ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแต่มหาเศรษฐีของฮ่องกงเท่านั้น แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่คือคนที่รู้จักกันแป็นอย่างดี เหมือนกับเยี่ยตงผิงสองสามีภรรยา น้อยคนนักที่จะรู้จัก
แต่ว่าในฮ่องกงมีลูกสาวลูกชายของพวกมหาเศรษฐีมากมาย ก็ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตั้งแต่แรกแล้ว จึงจะเห็นคนที่หน้าไม่คุ้นเคยเป็นบางครั้ง ดังนั้นคนพวกนี้จึงคิดว่าเยี่ยตงผิงสองสามีภรรยาน่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลไหนก็เป็นได้
โจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยเทียนก็มองเห็นเยี่ยตงผิงแล้ว เขาคิดว่าเยี่ยเทียนไม่ทันได้สังเกตเห็น จึงรีบใช้มือสะกิดไปที่เยี่ยเทียนแบะพูดว่า “อาจารย์ อาเยี่ยพวกเขามาแล้ว!”
เนื่องจากอายุของโจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยเทียนห่างกันไม่มากเท่าไร ดังนั้นการเรียกชื่อคนในตระกูลเยี่ยของเขาจึงค่อนข้างสับสน เขาเรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์ แต่ว่าเรียกเยี่ยตงผิงว่าอา ส่วนเยี่ยเทียน ก็เรียกแม่ของโจวเซี่ยวเทียนว่าน้า ทำให้คนนอกได้ยินก็รู้สึกสับสนไปด้วย
“พ่อไม่มีกล้ามาหรอก ว่าแต่ใครเป็นคนเชิญแม่มา?” เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน กำลังเตรียมตัวเดินไปรับ แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่รีบเดินนำหน้าเขา
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดรูปร่างทั้งสูงทั้งใหญ่คนนั้น ก็คือคนรวยเป็นอันดับหนึ่งของคนจีนหลี่เชาเหริน ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังเขา อีกทั้งเขาอาจจะไม่ใช่คนในแวดวงชาวจีนที่ร่ำรวยที่สุด
“คุณหญิงซ่ง รู้สึกดีใจมากที่คุณสามารถมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งครับ!”
ตอนที่หลี่เชาเหรินที่ยืนระยะห่างประมาณสามสี่เมตร ก็ยืนมือขวาของเขาออกมาก่อน หลังจากที่จับมือกับซ่งเวยหลันแล้ว ก็มองไปที่เยียตงผิง จึงถามอย่างสงสัย “คุณหญิงซ่ง ท่านนี้คือ?”
ตราบใดที่ชาวจีนที่ร่ำรวยมีการลงทุนในยุโรปและอเมริกาเหนือ น้อยมากที่จะไม่มีใครไม่รู้จักท่านประธานหญิงตระกูลซ่งคนนี้ แต่สิ่งที่พวกเขารู้เหมือนกันก็คือ ซ่งเวยหลันโสดมาตลอดยี่สิบกว่าปี เหมือนว่าเธอยังไม่ได้แต่งงาน
ดังนั้นคนที่มีความสามารถรู้จักปฏิบัติตัวในสังคมอย่างหลี่เชาเหริน สายตาของเขาจึงเผยความสงสัยออกมา เพราะมือซ้ายของซ่งเวยหลันคล้องอยู่ที่แขนขวาของผู้ชายคนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองแสดงออกอย่างไม่ธรรมดา
“คุณหลี่ นี้คือสามีของฉันเยี่ยตงผิง พวกเราแต่งงานกันมาหลายปีแล้วค่ะ!” ซ่งเวยหลันยิ้มอย่างสุภาพและสง่า แล้วพูดว่า “คุณหลี่ก็คงไม่ได้ต้อนรับฉันคนเดียวใช่ไหมคะ?”
“ไม่ครับ ไม่ครับ สามีภรรยามาด้วยกันได้ ผมนายหลี่รู้สึกยินดีมากครับ”
หลี่เชาเหรินคือคนที่ผ่านประสบการณ์อันตรายและยากลำบากมาก่อน จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเท่าไร แล้วจึงหัวเราะฮ่าๆ ทันที พลางพูดว่า “คุณหญิงซ่ง ถ้าหากไม่ได้ยินจากคุณถัง ผมก็ไม่รู้ว่าคุณก็มาที่ฮ่องกงด้วย นี่ก็เท่ากับว่าดูถูกเพื่อนเก่ากันเลยนะ?”
บริษัทของหลี่เชาเหรินได้มีการลงทุนโครงการในต่างประเทศจำนวนมากในปี 1980 และยังร่วมทำธุรกิจกับซ่งเวยหลันมากมาย ถือว่ารุ้จักกันมานาน ซ่งเวยหลันมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ก็คือได้รับคำเชิญจากเขาเอง
“ครั้งนี้มากับสามีแบบส่วนตัวค่ะ จึงไม่อยากรบกวนคุณหลี่ วันหลังฉันจะเลี้ยงน้ำชาคุณเป็นการขอโทษแล้วกันนะคะ”
ซ่งเวยหลันยิ้มอย่างพราวเสน่ห์ ระงับอารมณ์และคำพูดเล่นงานหลี่เชาเหรินปัดให้พ้นตัว ในเวลาเดียวกันก็ทักทายเพื่อนที่รู้จักกันอย่างเก่าถังเหวินหย่วน
“แม่นี่สุดยอดจริงๆ สามารถพูดคุยและหัวเราะกับผู้นำธุรกิจจีนมากมายได้ขนาดนี้”
การกระทำของซ่งเวยหลัน ทำให้เยี่ยเทียนได้รู้จักอีกมุมหนึ่งของแม่ แต่ถึงตอนนี้พ่อแม่ถูกคนมากมายมารุมล้อมอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อ ตรงกันข้ามกลับนั่งลงบนโซฟา
“สามีภรรยาคู่นี้คือใครกัน? ขนาดคุณหลี่ก็ยังมาต้อนรับ?”
“นั่นน่ะสิ ดูท่าทางแล้ว ฐานะคงไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณหลี่หรอก แต่…แต่ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีคนนี้อยู่ในฮ่องกงนะ?”
พวกคนที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยเทียนเมื่อได้เห็นฉากนี้ ต่างก็กดเสียงพูดนินทาให้ต่ำเสียง
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาในแวดวงธุรกิจของฮ่องกง แต่ระดับก็อาจแตกต่างกับหลี่เชาหรินบ้าง เมื่อเห็นพวกมหาเศรษฐีเหล่านั้นมีความสุภาพกับสามีภรรยา ทำให้ทุกคนต่างคาดเดาอยู่ภายในใจ
“คุณผู้ซ่ง โครงการที่ทวีปออสเตรเลียนั้น พวกคุณพิจารณากันเป็นยังไงบ้างครับ?”
หลี่เชาเหรินก็เป็นคนบ้างาน หลังจากที่พุดคุยกับซ่งเวยหลันไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนหัวข้อคุยเกี่ยวกับธุรกิจ ก็เหมือนกับภายในงานเลี้ยงนี้ เดิมทีก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจ
“คุณหลี ช่วงนี้ฉันถอนตัวออกจากระดับการตัดสินใจนโยบายของบริษัทแล้ว คุณให้ลูกน้องของคุณไปประสานงานเรื่องนี้แทนนะคะ วันนี้พวกเราจะไม่คุยเรื่องธุรกิจค่ะ”
ซ่งเวยหลันยิ้มกริ่ม แต่สายตามกลับมองไปรอบๆ ทันใดนั้นดวงตาก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา พูดว่า “คุณหลี่ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เอ่อ…เอ่อ…” หลีเชาเหรินมองดูซ่งเวยหลันคล้องแขนเยี่ยตงผิงด้วยความตกตะลึงอ้าปากค้าง และเดินตรงไปที่มุมหนึ่งของงาน
“เฮ้ เดินมาทางพวกเราแล้ว”
คนที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยเทียน ทยอยนั่งตัวตรง แต่ไม่คิดว่าซ่งเวยหลันจะเดินผ่านพวกเขา และมาอยู่ตรงหน้าของเยี่ยเทียน
“พ่อ พวกคุณสองคนมาได้ยังไงครับ?”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนพลางลุกขึ้นยืน เดิมที่เขาอยากมาร่วมงานเลี้ยงนี้อย่างเงียบๆ รู้จักคนสำนักฉีเหมินไม่กี่คนก็พอแล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาที่ไม่อยากเป็นจุดสนใจของคนอื่นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
“ไม่เกี่ยวกับฉันนะ แม่ของแกอยากมาเองต่างหาก” เยี่ยตงผิงแบมือออก เขากับลูกชายนั้นเหมือนกัน ไม่ชอบที่จะร่วมงานเลี้ยงแบบนี้
“แม่มาเพราะอยากรู้ว่าอาการบาดเจ็บดีขึ้นหรือยัง?”
ซ่งเวยหลันทักทายโก่วซินเจียก่อน จากนั้นก็ปล่อยแขนจากสามีและไปคล้องแขนของลูกชาย พูดว่า “ร่างกายของลูกยังไม่ดีขึ้นก็ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ความจริงซ่งเวยหลันเตรียมจะปฏิเสธมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ แต่พอได้ยินหลิ่วติ้งติ้งบอกว่าเยี่ยเทียนก็มา เธอจึงตัดสินใจมาร่วมงาน เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของลูกชาย เธอจึงอดสงสารอย่างช่วยไม่ได้
“ศิษย์พี่รองบอกว่าครั้งนี้คนที่มีอาชีพเดียวกันก็มาด้วย ผมก็เลยอยากมาทำความรู้จักหน่อยครับ”
เยี่ยเทียนไม่อยากพูดอะไรมาก มองไปทางแอนนาที่อยู่ข้างหลังของทั้งสองคน เอ่ยปากถามว่า “แอนนา ช่วงนี้คุณได้ฝึกหายใจถู่น่าตามที่ผมได้สอนหรือเปล่า?”
ตอนที่อยู่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนได้ถ่ายทอดวิชาถู่น่าให้กับแอนนา เมื่อผ่านการฝึกฝนสภาพร่างกายของเธอจะค่อยๆ ดีขึ้น เพื่อแก้ไขการบาดเจ็บภายในก่อนหน้านี้
แอนนาตอบกลับด้วยความเคารพ “คุณชาย ฉันจะฝึกฝนทุกวันตอนเช้า รู้สึกดีขึ้นมากค่ะ!”
ความรุนแรงของคนตะวันตกค่อนข้างแข็งแกร่ง มีความอดทนน้อยกว่าคนตะวันออก แต่ว่าแอนนาฝึกฝนวิชาที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดให้เป็นระยะเวลาหลายเดือน ก็รู้สึกว่าร่างกายมีความอดทนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
นี่จึงทำให้แอนนารู้สึกได้ถึงความเกรียงไกรของเยี่ยเทียน หลายต่อหลายครั้งที่อยากจะไหว้เป็นศิษย์กับเยี่ยเทียน แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆ ทุกครั้ง
“อืม วันหน้าก็ฝึกฝนให้มากขึ้น เพราะมีประโยชน์ต่อตัวเธอ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอนที่กำลังเตรียมตัวกวักมือเรียกให้พ่อกับแม่มานั่ง ถังเหวินหย่วนก็พาหลานสาวเดินเข้ามา แต่ตอนที่เขาเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน ก็ตกใจขึ้นมา พูดว่า “เยี่ยเทียน ทำไมสีหน้าของคุณดูไม่ได้ขนาดนี้นะ?”
“ใช่แล้ว พี่เยี่ยเทียน พี่ไม่สบายหรือเปล่า?” สีหน้าซีดขาวของเยี่ยเทียนแม้แต่ถังเสวี่ยเสวี่ยก็ดูออก รีบวิ่งเข้าไปหาเยี่ยเทียน จับแขนอีกข้างหนึ่งของเขาไว้
“ไม่เป็นไร เสวี่ยเสวี่ย ช่วงสองสามวันนี้ผมไม่ค่อยสบาย…”
เยี่ยเทียนรู้ว่าถังเสวี่ยเสวี่ยเป็นคนที่ไร้เดียงสา ตัวเขาเองก็มองเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง จึงรีบก็อธิบายสองสามประโยค แต่ว่าสีหน้าของซ่งเวยหลันกลับความแปลกใจ เธอไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปสนิทกับหลานสาวของตระกูลถังตั้งแต่เมื่อไร?
“เอ่อ แต่ก่อนเสวี่ยเสวี่ยไม่สบาย ผมเคยช่วยรักษาให้เธอครับ” เมื่อเห็นสีหน้าของแม่ เยี่ยเทียนจึงต้องอธิบายอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นหากได้ยินไปถึงหูของอวี๋ชิงหย่า ต่อให้เขาพูดลื่นไหลแค่ไหนก็พูดไม่ชัดเจนหรอก
“สวัสดีคุณเยี่ย คุณมาฮ่องกง ทำไมไม่บอกกันสักคำเลย?”
ในขณะที่เยี่ยเทียนกับแม่กำลังพูดคุยกันอยู่ ข้างๆ หูก็มีเสียงคนทักทายดังขึ้นมา นั่นก็คือเหวินหลนสงกับหวาเซิ่งสองคน เมื่อครู่สายตาของทั้งสองคนก็ถูกซ่งเวยหลันสองสามีภรรยาดึงดูดเช่นกัน จึงเดินตามพวกเขาสองคนแต่กลับเห็นเยี่ยเทียน
“เหวินเซิง หวาเหล่าป่าน ครั้งนี้ที่มาแบบส่วนตัว เกรงว่าจะรบกวนคุณทั้งสองครับ”
เยี่ยเทียนผละตัวออกมาจากผู้หญิงที่อยู่ซ้ายขวาของเขา เดินไปจับมือกับเหวินหลนสงและหวาเซิ่ง เขาเกิดเรื่องที่ไต้หวันครั้งที่แล้วที่ หวาเซิ่งก็ออกแรงไปเยอะเหมือนกัน ถือว่าเยี่ยเทียนก็ติดหนี้บุญคุณเขา
“พูดอะไรอย่างนั้นครับ สามารถถูกคุณเยี่ยรบกวน ถือว่าเป็นเกียรติและโชคดีของพวกเรามากกว่าครับ”
หวาเซิ่งหัวเราะอย่างเบิกบาน พูดว่า “ฝีมือในการแสดงของคุณเฉินดีมาก บริษัทของพวกเรากำลังจะเชิญเธอมาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ถ้าคุณเยี่ยมีเวลา สามารถแจ้งให้เธอทราบได้นะครับ”
ข่าวที่เยี่ยเทียนอยู่ไต้หวันฆ่าพวกทหารรับจ้างนับสิบกว่าคน หวาเซิ่งก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน กับคนที่มีใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตอีกทั้งยังเป็นคนที่มีเบื้องหลังแบบนี้ โดยปกติเขาก็ไม่กล้าที่จะไปดูแคลน โดยคำพูดเหล่านี้กลับเป็นการแสดงความเป็นมิตรต่อเยี่ยเทียน
ไม่ว่าวงการบันเทิงจะอยู่ในประเทศจีนหรือว่าฮ่องกง มหาเศรษฐีก็อยากจีบดาราดัง วิธีที่ดีที่สุดนอกจากส่งรถส่งบ้านหรูๆ แล้ว โดยปกติทั่วไปก็จะออกเงินเพื่อประจบประแจงเธอแล้ว หวาเซิ่งให้เยี่ยเทียนช่วยแจ้งให้เฉินจิ้งหลันเพื่อมาถ่ายหนัง ก็คืออยากแสดงน้ำใจให้เยี่ยเทียน
“หวาเหล่าป่าน คุณแจ้งเธอเองดีกว่า เพราะผมไม่ได้เจอกับเธอนานแล้วครับ”
มีหรือที่เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจความหมายของหวาเซิ่ง? แต่เขากับเฉินจิ้งหลันไม่ได้ไปมาหาสู่กันจริงๆ แต่มักจะได้รับโทรศัพท์เธอในช่วงฉลองเทศกาลบ้างเป็นครั้งคราว
“เอ๋อร์จึ คุณเฉินเป็นใครกัน? แม่ไม่รู้มาก่อนว่าลูกมีดวงสมพงษ์กับผู้หญิงขนาดนี้นะ?” ซ่งเวยหลันกดเสียงต่ำกระซิบที่ข้างหูของเยี่ยเทียน
…………………………………………..