“ผมให้พวกคุณออกจากฮ่องกงเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองไช่หยางชิวอย่างประหลาดใจ “เหมือนผมไม่เคยพูดแบบนั้นนะ? ผมแค่ให้คุณขอโทษศิษย์พี่จั่ว แต่ถ้าคุณไม่กล้าอยู่ฮ่องกงต่อ ก็เชิญตามสบาย!”
สีหน้าไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงของเยี่ยเทียน ทำให้หลายคนที่มองอยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก แต่ในใจแอบด่าเยี่ยเทียนที่ไม่มีความยุติธรรม
ต้องเข้าใจว่าการมีตัวตนในยุทธจักรนั้น ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าอี้เหวินเม่ายอมก้มหัวขอโทษ แล้วเขาจะอยู่ในยุทธจักรต่อไปได้อย่างไร?
โดยเฉพาะคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการดูฮวงจุ้ย ถ้ายอมรับว่าวิชาของตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ ครั้งต่อไปใครจะกล้าเชิญไปพยากรณ์ฮวงจุ้ยล่ะ?
ไช่หยางชิวโกรธจนหน้าแดงเป็นพัก ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยเทียน ถึงขั้นคิดจะสั่งสอนเยี่ยเทียน แต่ถ้าเขาทำในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยผู้คน และทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บไปด้วย เขาอยากแก้ตัวอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นข้อกล่าวหา
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว ไช่หยางชิวคำนับต่อหน้าจั่วเจียจวิ้น และพูดว่า “คุณจั่ว ผมละลาบละล้วงเกินไป วันนี้ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ ไว้คราวหน้าผมจะมาเยี่ยมใหม่!”
ไช่หยางชิวเพิ่งสิ้นเสียง เยี่ยเทียนเริ่มกวนประสาทอีกครั้ง “ไม่สิ ไม่ต้องคราวหน้าหรอก เรื่องเกิดวันนี้ก็จบวันนี้แหล่ะ แค่ขอโทษ คำเดียวเอง”
“ไอ้หนุ่ม อย่ามากเกินไปนะ!”
ไช่หยางชิวที่กำลังเดินออกไปถึงกับหันกลับมาที่เยี่ยเทียน ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักเจ็ดดาว เวลาประจำสำนักเขามีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย เคยโดนเบียดเบียนแบบนี้เมื่อไหร่?
“ศิษย์พี่ของผมจัดงานเฉลิมฉลองแต่พวกคุณมาทำลายงาน เรื่องยังไม่เคลียแล้วยังจะหนีอีก ใครกันแน่ที่มากเกินไป?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและค่อย ๆ เดินออกจากมุม “ขอโทษและยอมรับว่าไม่เก่งพอ ต่อจากนี้ไปถือว่าเรื่องนี้จบและผมจะไม่ยุ่งกับสำนักเจ็ดดาวของคุณอีก!”
ในมุมมองของเยี่ยเทียน การเข้ามาทำลายงานเป็นสิ่งต้องห้ามในยุทธภพฉีเหมิน การที่เยี่ยเทียนไม่ได้ทำอะไรลงไป ถือว่าเป็นความปราณีสูงสุดแล้ว เพราะถ้าพวกเขาทำลายงานสำเร็จ หนทางเดียวที่จั่วเจียจวิ้นทำได้ก็คือออกจากเกาะฮ่องกงไป
แต่สำหรับไช่หยางชิว เขามองว่าเยี่ยเทียนกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่และอยากจะใช้โอกาสนี้ขับไล่สำนักเจ็ดดาวออกจากฮ่องกง
ฮ่องกงใช้ระบอบการปกครองหนึ่งประเทศสองระบอบ อาชีพซินแซฮวงจุ้ยเป็นสิ่งที่ถูกต้องและถูกอนุญาตให้ทำได้ ฉะนั้นแผงลอยฮวงจุ้ยหวังต้าเซียนจึงเห็นได้ทั่วไป พูดได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนในสำนักฉีเหมินเลยก็ว่าได้
ในวันนี้ เยี่ยเทียนจะขับไล่สำนักเจ็ดดาวของพวกเขาออกจากฮ่องกง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่และความตายของสำนัก แม้ไช่หยางชิวจะมีความกังวลต่อจั่วเจียจวิ้น แต่เขาก็ยอมอ่อนข้อแล้ว
“คุณจะบีบบังคับกันขนาดนี้เลยเหรอ?”
ไช่หยางชิวหรี่ตาลง ในดวงตาแสดงความอาฆาตรออกมา สุภาษิตเคยกล่าวไว้ ตัดเส้นทางการเงินของคนเหมือนฆ่าพ่อแม่เขา สำนักเจ็ดดาวมีอายุนานกว่าสิบปีในฮ่องกง จะหวาดกลัวเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของเยี่ยเทียนได้อย่างไร?
ที่สำคัญพวกเขาแตกต่างจากจั่วเจียจวิ้นที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สำนักเจ็ดดาวมีลูกน้องในฮ่องกงและบริเวณแถบทางทะเลมากมาย แม้จะสู้เดี่ยวไม่ไหว แต่ไช่หยางชิวมั่นใจ เขาใช้กลยุทธ์คนหมู่มากจัดการคนแค่นี้ได้
“บีบบังคับงั้นเหรอ? พวกคุณเนี่ยนะ?”
เยี่ยเทียนเยาะเย้ยใส่ ร่างผอมบางเข้าใกล้ไช่หยางชิวที่ห่างออกไป 4-5 เมตร หน้าที่ซีดมีอาการทางจิตออกมา ทำให้ผู้คนที่ล้อมอยู่งุนงงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนได้ความมั่นใจนี้มาจากไหน
ไช่หยางชิวก็ไม่ต่าง เขาเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ ก่อนหน้านี้เขาปล่อยพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมออกไปเพื่อทดสอบเยี่ยเทียน
แต่เขาไม่ได้รับการตีกลับของพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมจากคนตรงข้ามเลยแม้แต่นิดเดียว และภายในร่างกายของเยี่ยเทียน ลมเลือดต่ำอันเนื่องจากมาจากการได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เหมือนคนธรรมดาเท่านั้น
“หาที่ตายเองนะ อย่าโทษผมก็แล้วกัน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เกิดสายฟ้าแลบที่ตาของไช่หยางชิว สองมือเดิมทีที่ประชิดอยู่ข้างลำตัว ทันใดนั้นก็ม้วนหมัดเข้าไปในแขนเสื้อสไตล์ราชวงศ์ถัง
เมื่อครู่ที่เยี่ยเทียนอยู่ตรงมุม ไช่หยางชิวเกรงว่าผู้อื่นจะโดนลูกหลง เขาจึงไม่ลงมือแต่เยี่ยเทียนกลับเดินออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ ทำให้ไช่หยางชิวก็อดไม่ได้ อยากสั่งสอนให้เยี่ยเทียนหลาบจำ
สำหรับคนนอก การกระทำของไช่หยางชิวเหมือนกับการรับความอุ่นจากแขนเสื้อซึ่งเป็นความชอบของคนภาคเหนือ แต่สำหรับเยี่ยเทียนเขาสัมผัสถึงลมแรงอันสูงสุด ซึ่งจุดที่จะโดนโจมตีคือท้องน้อยของเขานั่นเอง
“บัดซบเอ้ย ลงมือแรงขนาดนี้เลยเหรอ แต่นี่เป็นการใช้ลมปราณแฝง ไม่ใช่วิชานี่ อย่าบอกนะว่าวิชาโจมตีของสำนักเจ็ดดาวสาบสูญหมดแล้ว?”
ระยะห่างของทั้งสองห่างกันแค่ 4-5 เมตร ระหว่างที่ไช่หยางชิวกำลังจะปล่อยพลังแฝงออกมา เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ทันที แต่เนื่องจากมีคนอยู่ข้างหลังเขา ทำให้ไม่สามารถหลบได้ทัน จึงทำได้เพียงใช้มือบังเท่านั้น
ถ้าพูดถึงการฝึกฝนวิชากำลังภายในไช่หยางชิวไม่ได้ด้อยกว่าใคร 80 กว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์ วิชาที่มีอยู่ทั้งตัวได้รับการฝึกจนชำนาญถึงที่สุด อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว
ฉะนั้นหลังจากที่พลังลมปราณปล่อยออกจากหมัดไปโดนแขนซ้ายของเยี่ยเทียน มีเสียงปังดังออกมา ทำให้เยี่ยเทียนที่ไม่ได้ใช้วิชาป้องกันแต่ใช้ลมปราณแฝงรับมือ ถึงกับต้องถอยไปข้างหลังสามก้าว
อาจเป็นเพราะบาดแผลภายในที่ยังไม่หายดี พลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมทั้งหมดที่มีก็หล่อเลี้ยงบาดแผลอยู่ ทำให้เยี่ยเทียนถึงกับต้องถอยหลังสามก้าว เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งเจ้าสำนักเจ็ดดาวของไช่หยางชิวก็ไม่ใช่ย่อย
“ศิษย์น้องเล็ก?!”
สองเสียงที่ตกใจดังขึ้น ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นต่างก็กรูเข้าไปหาเยี่ยเทียนตรงหน้า แม้โก่วซินเจียจะอยู่ไกลกว่า แต่กลับไปถึงก่อนจั่วเจียจวิ้น และใช้แขนข้างเดียวกั้นไช่หยางชิวกับเยี่ยเทียนไว้
“สำนักเจ็ดดาว เก่งจริงนะ?”
โก่วซินเจียเผยสีหน้าเย็นชาออกมา ตามสัญชาตญาณของเขาในตอนนั้น เดิมอยากจะจัดการสำนักเจ็ดดาวตั้งแต่สงครามต่อต้านจบลง แต่ใครจะรู้ว่าสำนักเจ็ดดาวกลับหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้โก่วซินเจียทำอะไรไม่ได้
แต่เวลาผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ในที่สุดก็ได้พบฝ่ายตรงข้ามสักที และยังหาเรื่องศิษย์น้องทั้งสองของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้ที่มีใจนิ่งดุจบ่อน้ำยังต้องรู้สึกอาฆาต
ตอนนั้นโก่วซินเจียเป็นคนที่ออกจากกองศพดุจภูเขาที่นองเลือดดุจทะเล เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้น เลือดภายในร่างกายก็สูบฉีด พลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมที่เก็บไว้ข้างในก็พลุ่งพล่านขึ้นในทันทีทันใด
“คุณ….คุณเป็นใคร?”
ลมปราณแฝงที่ไช่หยางชิวปล่อยออกมาเมื่อครู่ เดิมต้องการทำร้ายจุดตันเถียนของเยี่ยเทียนเพื่อซ้ำแผลเดิม แม้หมอจะรักษาเขาหายแต่ชีวิตครึ่งหลังของเขาก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยตลอด
แต่ไช่หยางชิวคิดไม่ถึง เยี่ยเทียนจะรับพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมที่เขาปล่อยออกมาด้วยแขนข้างเดียว ถ้าจะพูดว่าการทำแบบนี้เพื่อให้เขารู้สึกตกใจ ที่จริงแค่การกระทำของโก่วซินเจียก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าในร่างกายของโก่วซินเจียเหมือนดั่งสัตว์ดุร้ายก่อนยุคประวัติศาสตร์ที่ตื่นขึ้นมา เลือดลมอันแรงกล้านี้เขาไม่เคยพบมาก่อน โก่วซินเจียที่ร่างกายซูบผอม ณ เวลานี้เหมือนดั่งภูเขาลูกใหญ่ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้
“คน….คนนี้ อย่าบอกว่าเข้าถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว?”
ไช่หยางชิวยังไงก็คิดไม่ถึง ชายชราที่ดูเหมือนไม่มีกำลังภายใน แต่กลับมีวิชาที่แกร่งกล้าเพียงนี้ ไช่หยางชิวถึงกลับหน้าซีดไปเลยทีเดียว
เขาอยู่ระดับลมปราณแฝงสูงสุดมาเป็นเวลา 20-30 ปี เกือบจะคิดว่าระดับหลอมปราณสู่จิตเป็นเพียงตำนานเล่าขานเท่านั้น เพราะอาจารย์ของเขาก็ไม่เคยฝึกจนถึงระดับนั้น
แต่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ กลับทำให้ตำนานเล่าขานกลายเป็นความจริง มีเพียงลมปราณจากการฝึกถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตเท่านั้นที่สร้างความกดดันให้เขาได้ขนาดนี้
“แค่กๆ…….”
โก่วซินเจียไม่ทันพูดอะไร เสียงไอของเยี่ยเทียนดังขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าแกล้งคนรุ่นหลังเลย สำนักเจ็ดดาวก็เป็นสำนักหนึ่งในยุทธจักรนะ!”
เยี่ยเทียนยื่นมือผลักโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นออกและลุกขึ้น เขาเป็นเจ้าสำนักเสื้อป่านเหมือนกัน หากฝ่ายตรงข้ามเริ่มลงมือ แล้วเขามีเหตุผลอะไรที่จะไปหลบอยู่ข้างหลังศิษย์พี่ล่ะ?
“ไอ้เด็กนี่ บาดเจ็บขนาดนี้ จะไหวเหรอ?”
โก่วซินเจียจ้องมองเยี่ยเทียน สิบกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความต้องการอยากสั่งสอนคน แต่กลับโดนเยี่ยเทียนหักห้ามไว้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าสู้กับพี่ผมสู้ไม่ไหวแน่นอน แต่กับคนนี้?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “ถ้าผมสั่งสอนเขาไม่ได้ ตำแหน่งเจ้าสำนักเสื้อป่านไปหาคนอื่นมาทำแทนเลยดีกว่า”
“ศิษย์น้องเล็ก ให้……ให้พี่จัดการดีกว่า ถ้าเธอทำ มันไม่ค่อยดีกับเธอเท่าไหร่!”
จั่วเจียจวิ้นไม่ยินยอมในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด เขารู้ว่าความอาฆาตรของเยี่ยเทียนรุนแรงมาก ถ้าฆ่าไช่หยางชิวตรงนี้จริง มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ
“ศิษย์พี่รอง พี่สบายใจได้ ผมรู้ดีครับ ในปีนั้นเขาให้พี่ถอยโดยที่ยังไม่ได้สู้ไม่ใช่เหรอ? วันนี้ให้ผมเอาคืนให้เถอะ”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะ ตอนนี้ให้เขาปะลองวิชากับไช่หยางชิว ไม่แน่ เยี่ยเทียนอาจไม่ใช่คู่แข่งของเขาจริง ๆ แต่การต่อสู้ในยุทธภพฉีเหมิน ล้วนเป็นการสังหารแบบไร้ตัวตน ซึ่งแตกต่างจากพวกคนโง่เขลาในยุทธภพอื่นมาก
เสียงของเยี่ยเทียนเพิ่งสิ้น ไช่หยางชิวรีบพูดต่อว่า “ได้ คุณเป็นเจ้าสำนักของสำนักเสื้อป่าน ผมเป็นผู้นำของสำนักเจ็ดดาว วันนี้ขอให้ผมได้เรียนรู้วิชาของพวกคุณหน่อยเถอะ!”
แต่กับชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เยี่ยเทียน ไช่หยางชิวไม่กล้าคิดจะสู้เลยแม้แต่น้อย กำลังของคนนั้นน่ากลัวมากจริง ๆ ถ้าเจอกับไช่หยางชิว ก็คงมีแต่ยอมแพ้และขอไว้ชีวิตเท่านั้น
คำพูดที่ไช่หยางชิวพูดออกมา ก็ถือว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ แม้เยี่ยเทียนจะมีบาดแผล แต่เขาเป็นคนหนุ่ม ส่วนไช่หยางชิวอายุ 70-80 ปีซึ่งเป็นคนลมเลือดใกล้ล้มเหลวแล้วด้วยซ้ำ สองคนปะลองวิชากัน ยังไม่รู้เลยว่าใครเอาเปรียบใคร
“อะไรนะ?” จั่วเจียจวิ้นจ้องไปที่อี้เหวินเหม่าที่ยืนข้าง ๆ ไช่หยางชิว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคนนี้แท้ ๆ
“ทุกท่าน ขอให้ขยับไปด้านข้างหน่อย สองคนนี้จะปะลองวิชากัน ขอโทษจริง ๆ !”
จั่วเจียจวิ้นกุมมือคำนับพวกมหาเศรษฐีที่มุงดูเหล่านั้น คนเหล่านี้เป็นพวกสูงส่งทั้งนั้น ถ้าใครโดนลูกหลงก็เป็นปัญหาอีก
คนที่ยืนมุงเหล่านั้น หลังจากได้ยินเสียงของจั่วเจียจวิ้น ต่างก็ถอยหลังกันไปคนละก้าว แต่สีหน้าของทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก
ได้ยินมาตลอดว่าอาจารย์ฮวงจุ้ยเก่งกาจ แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้มาร่วมงานฉลองยังได้ดูการปะลองฟรีอีกด้วย?
………………………………………….