“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นไรครับ รักษาตัวไม่กี่วันก็หายแล้ว” เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ สติอ่อนแรงลงเล็กน้อย
เมื่อครู่ตอนที่วาดยันต์ลงในอากาศ ใช้พลังลมปราณชีวิตจนถึงแก่น ทำให้อวัยวะภายในซึ่งบาดเจ็บยังไม่ฟื้นตัวดีของเยี่ยเทียน กระทบกระเทือนขึ้นอีกครั้ง อาการบาดเจ็บที่เคยถูกสกัดกั้นเอาไว้จึงปะทุขึ้นมาอีก
แต่ว่าหลังจากเมื่อครู่กระอักเอาเลือดข้นเหล่านั้นออกมาแล้ว กลับไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักยิ่งขึ้น เพียงแต่จำเป็นต้องบำรุงรักษาตัวให้มากสักสองสามวันเท่านั้นเอง
ความจริงแล้วในเหตุการณ์เมื่อครู่ ตัวโก่วซินเจียลงมือก็สามารถกำราบไช่หยางชิวได้อย่างง่ายดายเช่นกัน แต่ว่าเยี่ยเทียนมีสถานะเป็นเจ้าสำนัก จึงไม่มีเหตุผลให้ทำตัวเป็นเต่าหดหัว
“ศิษย์น้องเล็ก จิตสังหารรุนแรงเกินไป ภายหลังฉันจะแนะนำเจ้าอาวาสให้เธอรู้จักสักคน เธอเรียนพุทธศาสนาเสียบ้างเถอะ”
โก่วซินเจียมองเยี่ยเทียนอย่างเหลืออด เขาและจั่วเจียจวิ้นต่างชราแล้ว อนาคตของสำนักพยากรณ์เสื้อป่านและความหวังล้วนฝากฝังที่ตัวศิษย์น้องเล็กคนนี้ เขาจึงไม่อยากให้มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ นักพรตเต๋าอย่างท่านย้ายเข้านับถือศาสนาพุทธตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เยี่ยเทียนหยอกล้อ ค่อย ๆ ลดพลังลมปราณชีวิตแท้ลงทีละน้อย รู้สึกเพียงความอึดอัดในช่วงอก อากาศขุ่นมัวที่นี่ลดทอนการฟื้นตัวของเขา จึงเอ่ยปากออกมาว่า “เรื่องของศิษย์พี่รองจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เห็นทางเยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน เถาซานอี้ซึ่งยืนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงอยู่ด้านข้างมาตลอดก็รีบพูดขึ้น “ศิษย์อาเยี่ย ศิษย์ลุง อาจารย์ของผมคงใกล้จะมาถึงแล้ว ผมจะไปรับเขาที่สนามบินก่อน จากนั้นต้องไปหาท่านที่ไหนครับ?”
เห็นภาพนั้นเมื่อครู่ด้วยตาตัวเอง เถาซานอี้จึงได้รู้ว่าสัมผัสทุกอย่างของตนเองไม่ผิดพลาด เด็กหนุ่มสีหน้าอิดโรยคนนี้มีวิชาแกร่งกล้าอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา ไม่แน่จุดจบอาจกลายเป็นพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา
สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของเถาซานอี้เกิดความหวาดกลัวอย่างเหลือล้น เขาจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าเยี่ยเทียนผู้ยังหนุ่มแน่น กลับฝึกวิชาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ขณะที่พูดคุย เถาซานอี้จึงแฝงความเคารพเยี่ยเทียนเป็นหลัก เขาไม่อยากเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มเยี่ยเทียนผู้นี้หงุดหงิดใจ จากการลำดับเรียกขานชื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตัดสินใจก็แล้วกัน”
เยี่ยเทียนหันหน้ามองไปยังโก่วซินเจีย เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กับหนานไหวจิ่นคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน คู่ควรพอจะให้เขารับรู้เรื่องค่ายกลรวมวิญญาณหรือไม่
โก่วซินเจียครุ่นคิดอยู่สักครู่ ตอบว่า “น้องไหวจิ่นเป็นสหายที่คบกันมานานของฉันเอง เมื่อในอดีตท่านอาจารย์เองก็เคยชี้แนะเรื่องบางอย่างแก่เขา ว่าไปแล้วยังถือว่ามีรากฐานต่อสำนักพยากรณ์เสื้อป่านอยู่บ้าง ให้เขามาที่บ้านเถอะ”
ค่ายกลรวบรวมวิญญาณที่ฮ่องกงนี้นับว่าเป็นความลับยิ่งใหญ่ของสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน กระทั่งโก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นคบหากันอย่างสนิทใจ ยังต้องผ่านการไตร่ตรองถึงจะตัดสินใจได้
“ตกลงครับ ผมอยู่ที่…… พอถึงเวลาคุณไปรับคุณหนานก็ตรงมาหาได้เลย”
เมื่อศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างนี้ เยี่ยเทียนก็ให้ที่อยู่กับเถาซานอี้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เรื่องราวของผู้มากพรสวรรค์ที่ท่านอาจารย์มักพูดติดปากอยู่เสมอ เยี่ยเทียนเองก็สงสัยมากเช่นกัน
“ครับ ขอบคุณศิษย์อาเยี่ย!”
เถาซานอี้รับคำ ถอนตัวออกไปจากลานประชุม ในใจยังมีข้อสงสัยไม่คลายบางส่วน ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างท่านอาจารย์และโก่วซินเจีย มายังฮ่องกงแน่นอนว่าต้องเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้าน แต่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะลังเลอยู่ชั่วขณะ
เห็นว่าพ่อแม่กำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่ไกล ๆ เยี่ยเทียนจึงร้องเรียกโจวเซี่ยวเทียน กล่าวว่า “เซี่ยวเทียน ไปบอกลากับทางพ่อฉัน จากนั้นพวกเราค่อยกลับกัน!”
ซ่งเวยหลันแม้อยากใกล้ชิดกับลูกชายให้มากขึ้น แต่ว่าวันนี้คนที่มาเยี่ยมเยียนสามีภรรยาอย่างพวกเขานั้นมากมายจริง ๆ จึงได้แต่บอกลาลูกชายด้วยความรู้สึกผิดจากที่ไกล
ในที่แห่งนี้มีบางคนที่พุ่งเป้าความสนใจมาที่ตัวเยี่ยเทียนตลอดเวลาเช่นกัน แต่วิธีการเมื่อครู่ของเยี่ยเทียนนั้นพิสดารเกินไป คนพวกนั้นจึงไม่กล้ารบกวน ด้วยเหตุนี้กลุ่มของเยี่ยเทียนจึงถอนตัวออกมาจากงานได้อย่างเงียบเชียบ
“เฮ้อ คราวหลังจะไม่เข้าร่วมงานชุมนุมประเภทนี้อีกแล้ว!”
หลังจากออกมาจากห้องประชุมแล้ว เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจโล่งอกยาว อากาศอันขุ่นมัวและบรรยากาศกดดันภายในนั้น ทำให้เขายากจะต้านทานไหว
“กลัวว่าการตัดสินใจจะไม่ขึ้นอยู่กับเธอน่ะสิ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของเยี่ยเทียน เมื่อหันกลับไปมอง กลับเป็นถังเหวินหย่วนพาหลานสาวตามออกมา
“เยี่ยเทียน ฉันพอรู้จักมักคุ้นกับอี้เหวินเม่า ขอบคุณเธอมากที่ยั้งมือ”
ถังเหวินหย่วนรู้จักเยี่ยเทียนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไม สองสามปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่พบเยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าพลังในกายเขาแกร่งกล้าขึ้นทุกวัน กระทั่งตาแก่ที่ใกล้จะลงโลงอย่างตน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขายังรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
“เหล่าถัง เมื่อครู่ผมผิดเอง ที่พูดจาไม่เห็นแก่หน้าคุณ”
เยี่ยเทียนโบกมือกล่าวว่า “เรื่องวันนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนัก ผมไม่สามารถปล่อยผ่าน ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของสำนักพยากรณ์เสื้อป่านจะต้องพังทลาย คุณเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?”
ตอนเยี่ยเทียนก่อร่างสร้างตัว ได้พึ่งพิงชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่าตรงหน้านี้ เมื่อครู่หักหน้าถังเหวินหย่วนในห้องประชุม แท้จริงแล้วภายในใจของเขาเองก็รู้สึกผิดบ้างเช่นกัน
“ไม่เป็นไร เธอไม่โทษฉันก็พอแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจกล่าวว่า “งานเลี้ยงครั้งนี้อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ ฉันกำลังจะกลับพอดี ให้คนขับรถไปส่งพวกเธอสักหนแล้วกัน พอดีว่าฉันเองก็ยังไม่เคยไปบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ของเธอ วันนี้ขอไปเป็นแขกหน่อยนะ”
ก่อนหน้านี้ถังเหวินหย่วนขอให้เยี่ยเทียนทำนายดวงชะตาให้เขา รู้ว่าภายในสามปีนี้ตนเองจะประสบภัยพิบัติ ได้แต่เฝ้ามองเวลาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คนอย่างเขาจึงทนอยู่เฉยไม่ได้
“ใช่แล้ว พี่เยี่ยเทียน พี่มาฮ่องกงยังไม่ชวนเสวี่ยเสวี่ยไปที่บ้านเลย!”
ถังเสวี่ยเสวี่ยเองก็ดึงแขนเสื้อของเยี่ยเทียนไปมา เธอกับเยี่ยเทียนผ่านช่วงเวลาดีร้ายด้วยกันเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน จึงติดพี่ชายคนนี้มาก
“ไปบ้านหลังนั้นของผมเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เชิญไปเป็นแขกวันนี้เลย หากไม่มีเหตุจำเป็นก็ให้เขาไปไม่ได้ จึงส่ายหน้าทันควัน กล่าวว่า “เหล่าถัง บ้านของผมหลังนั้นคุณยังไม่สะดวกไปตอนนี้หรอกครับ รอเวลาผ่านไปสักพักแล้วผมจะเชิญคุณไปเป็นแขก”
“ไม่เหมาะสมหรือ?”
ถังเหวินหย่วนได้ยินเข้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ฉับพลันนึกถึงค่ายกลรวมวิญญาณที่เมืองหลวง สีหน้าก็อดเปลี่ยนสีไม่ได้ ถามหยั่งเชิงว่า “เยี่ยเทียน บ้านหลังนั้นของเธอคงไม่ได้วางค่ายกลอะไรไว้ใช่ไหม?”
ขณะที่พูด ถังเหวินหย่วนพลันนึกถึงเสาฮวงจุ้ยต้นนั้น ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดของเขามากขึ้น
“เอาเถอะครับ เดาได้ก็เดาไปเถอะ แต่อย่าได้แพร่งพรายออกไปเชียว พวกเราขอตัวก่อนล่ะครับ”
เยี่ยเทียนเดิมทีไม่เคยนึกปิดบังถังเหวินหย่วน อีกทั้งจะช่วยให้เขาผ่านพ้นภัยพิบัตินั่นได้ ยังต้องพึ่งพาบ้านใหม่หลังนี้ วันหลังเขาย่อมต้องรู้อยู่ดี
หลังจากบอกลาถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนก็เรียกรถรับส่งแขกวีไอพีคันหนึ่ง แล้วตรงกลับไปบ้าน
คำนวณเวลาแล้ว กว่าหนานไหวจิ่นจะมาถึงคงใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนจึงเข้าห้องอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งลงบนฟูกตรงระเบียงชมวิวเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
……-
ในเขตคฤหาสน์ซึ่งมหาเศรษฐีชั้นนำอาศัยอยู่บนสุดด้านใต้ของเกาะฮ่องกง แพทย์ประจำตัวผู้หนึ่งเพิ่งจะทำการรักษาอี้เหวินเม่าสำเร็จ กล่าวกับไช่หยางชิวด้วยสีหน้ากังวล “ท่านผู้เฒ่าไช่ครับ คุณอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน แต่ว่าซี่โครงหักไปสองซี่ ช่วงนี้ต้องพักผ่อนรักษาร่างกายถึงจะหายดี”
อี้เหวินเม่าทำงานในฮ่องกงมาหลายปี ธุรกิจที่พวกเขารับอย่างสูงก็ข้าราชการและเศรษฐีบนเกาะฮ่องกง อย่างต่ำก็คือชาวบ้านทั่วไป หลายปีที่ผ่านมากอบโกยเงินทองได้ไม่น้อยไปกว่าจั่วเจียจวิ้น
ดังนั้นเบื้องหลังชีวิตของพวกเขา จึงร่ำรวยหรูหราเช่นกัน อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ชั้นเลิศในฮ่องกง ส่วนแพทย์ประจำตัวก็เรียกหาได้ตลอดเวลา
“ขอบคุณครับหมอหลิว” ไช่หยางชิวร้องเรียกคนในสำนักมาคนหนึ่งมา แล้วออกคำสั่ง “อาจวิน ส่งหมอหลิวกลับไปที!”
สภาพจิตของไช่หยางชิวแม้จะอ่อนล้า แต่เขาเพียงถูกพลังหยินร้ายแทรกซึมเข้าไปในร่างกายเท่านั้น เพียงใช้วิชากำจัดออกไปไม่กี่วันก็หมดสิ้น อีกทั้งยังไม่หลงเหลือเชื้อร้ายซ่อนอยู่
แต่ว่าที่ทำร้ายลูกศิษย์ของตนเองจนบาดเจ็บหนัก ทำให้ในใจไช่หยางชิวรู้สึกละอายอยู่บางส่วน อย่างไรเสียลูกศิษย์คนนี้ก็ติดตามตนเองมาเป็นเวลาสี่ถึงห้าสิบปี ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงไม่ด้อยไปกว่าพ่อลูก
หลังจากรอให้นายแพทย์หลิวจากไปแล้ว อี้เหวินเม่าก็พูดขึ้นมาอย่างละอายใจ “ท่านอาจารย์ วันนี้……ผมทำให้ท่านขายหน้า!”
ความจริงหลายปีที่ผ่านมา น้อยนักที่ไช่หยางชิวจะถามถึงเรื่องราวภายในสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอี้เหวินเม่าจัดการ ดังนั้นเรื่องในวันนี้ ตอนแรกเขาจึงไม่รู้อะไรเลย
จากนั้นหลังจากที่อี้เหวินเม่าเห็นพวกเยี่ยเทียนแล้ว ในใจรู้สึกสถานการณ์ไม่สู้ดี ถึงได้ส่งคนให้ไปรับอาจารย์มาจากบ้าน แต่คิดไม่ถึงว่า กลับทำให้อาจารย์และตนเองได้รับความอับอายไปด้วยกัน
“ท่านอาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ผมจะไม่ละเว้นสกุลจั่วนั่น คนในสำนักเจ็ดดาวของพวกเรามีมากมาย เหตุการณ์นี้ผมจะต้องเอาคืนให้ได้!”
อี้เหวินเม่าไม่ได้ปะทะกับเยี่ยเทียน เขาจึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวไช่หยางชิว ดังนั้นจึงยังมีใจนึกแค้นเคืองพวกเยี่ยเทียนโดยเฉพาะกับจั่วเจียจวิ้น
“แกพูดอะไรน่ะ?”
ไช่หยางชิวที่เดิมทีกำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของลูกศิษย์ ได้ยินคำพูดนี้ดวงตาก็เบิกกว้าง ตบลงไปบนหัวของอี้เหวินเม่าทีหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าอยากตายล่ะก็ฉันจะปลิดชีพแกเอง แต่อย่าให้ลำบากถึงสำนักเจ็ดดาวของฉัน!”
“ท่านอาจารย์ ท่าน……ท่านทำอะไรครับนี่?” อี้เหวินเม่าโดนตบจนมึนไปเล็กน้อย
“ไอ้เด็กบ้า พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนนั้น ล้วนเข้าถึงปรมัตถ์แล้ว แกจะเอาอะไรไปล้างแค้น?”
ไช่หยางชิวถอนหายใจยาว สังคมทั่วไปว่ากันด้วยกฎหมาย แต่ภายในสำนักวิชาพยากรณ์ ล้วนเป็นไปตามกฎระเบียบหนึ่งมาแต่โบราณ นั่นก็คือกำลัง ใครกำลังแข็งแกร่งกว่า คนผู้นั้นคือกฎ!
ด้วยร่างกายที่เจ็บหนักของเยี่ยเทียนยังสามารถทำให้เขาจมดิ่งสู่ภาพลวงตา ไช่หยางชิวหวนคิดกลับไปกลับมาอีกครั้ง เยี่ยเทียนผู้ที่มีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ คนนั้น เกรงว่าการฝึกฝนของเขาจะเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์แล้ว
หนึ่งสำนักสามปรมัตถ์ นั่นเพียงพอจะกวาดล้างทุกสำนักในปัจจุบัน ต่อให้ไช่หยางชิวเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่กล้าเกิดความคิดย้อนกลับไปแก้แค้นอะไรอีก
“ปรมัตถ์?” อี้เวินเม่าที่สมองออกจะมึนงง กลับกลายเป็นกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันควัน บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อละเอียดไหลซึม
ท่านอาจารย์เข้าถึงพลังลมปราณแฝงมายี่สิบถึงสามสิบปี กระทั่งปัจจุบันยังไม่อาจเข้าสู่ระดับปรมัตถ์ได้ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามกลับมียอดฝีมือระดับปรมัตถ์ถึงสามคน หากว่าตนเองยังคงแส่หาเรื่อง ย่อมกลายเป็นรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
“ภายหลังเมื่อเห็นสามคนนี้ แกต้องทำความเคารพ ห้ามเข้าไปยั่วยุอีกเด็ดขาด!”
ไช่หยางชิวคิดอยู่สักครู่ แล้วกำชับว่า “พรุ่งนี้รวบรวมคนในสำนัก ให้พวกเขาคอยระวังเอาไว้ แล้วจองโรงแรมที่ดีที่สุดในฮ่องกง อาจารย์จะไปขอขมาอีกครั้ง หวังว่าจะสามารถกำจัดความบาดหมางครั้งนี้ลง”
ไม่ว่าใครก็ตามหากถูกเยี่ยเทียนนับเป็นศัตรู จะต้องอยู่ไม่สุขเช่นเดียวกับไช่หยางชิวเป็นแน่ ในขอบเขตความเป็นความตายของสำนัก เกียรติยศศักดิ์ศรีของตนนับว่าไม่มีความหมายใด ๆ
……………………………………………………..