นั่งอยู่ที่ระเบียงชมวิว กลุ่มดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืนเหนือหัวส่องประกาย ค่ายกลเก้าตำหนักกับหมู่ดาวทั้งเก้าตอบรับกันจากที่ไกล แสงดาวฉายลงมาไม่ขาดสาย ซึมซาบลงสู่กลางค่ายกล
พลังลมปราณมากมายเหลือคณานับทะลักไหลเข้าสู่ทั่วร่างเยี่ยเทียน เหนือหัวเยี่ยเทียนปรากฏหมอกควันพวยพุ่ง แขนขาและกระดูกนับร้อยไม่มีชิ้นใดไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังลมปราณ ทั้งเนื้อตัวจมดิ่งสู่ฌานขั้นลึก
ทันใดนั้น กลางใจของเยี่ยเทียนก็สั่นไหวขึ้นเล็กน้อย ตามด้วยดวงตาเบิกกว้าง มองไปยังเชิงเขา ขาทั้งสองข้างที่นั่งขัดสมาธิออกแรงยันลงเบื้องล่าง หยัดกายลุกยืนขึ้นมา
“ศิษย์น้องเล็ก เธอเองก็รู้สึกเหมือนกันสินะ?”
โก่วซินเจียที่ยืนอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนสิบกว่าเมตร กำลังมองมาที่เขาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ศิษย์น้องคู่นี้ของตนเองช่างเปี่ยมพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ ได้รับบาดเจ็บหนักกลับยังมีสัมผัสอันแหลมคมเช่นนี้
“มีสหายจากแดนไกลมาเยี่ยมเยียน ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าบ้าน จะอย่างไรก็ต้องไปต้อนรับใช่ไหมล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา เมื่อครู่ถึงแม้จะนั่งโคจรลมปราณเพียงชั่วโมงกว่า แต่ก็ระงับอาการบาดเจ็บลงได้แล้ว ช่วงเวลานี้ขอเพียงไม่ประมือกับใคร ก็จะไม่เกิดอันตรายอะไรร้ายแรง
หันตัวลงจากระเบียงชมวิว ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคนเดินออกจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ โจวเซี่ยวเทียนรออยู่หน้าทางเข้า เปิดประตูเหล็กคฤหาสน์ไว้แล้ว
ตอนนี้เพิ่งจะห้าทุ่ม จั่วเจียจวิ้นผู้เป็นพระเอกของงานยังไม่กลับจากงานสังสรรค์ แต่เมื่อมีเยี่ยเทียนเจ้าสำนักพยากรณ์เสื้อป่านออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ย่อมนับว่าเป็นเกียรติต่อปรมาจารย์ศาสตร์แห่งชาติจีนผู้นี้เพียงพอ
ทั้งสองเพิ่งจะมาถึงทางเข้าคฤหาสน์ ทางถนนด้านหน้าก็มีเสียงเครื่องยนต์ของรถดังมา รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งค่อย ๆ แล่นมาหา
เยี่ยเทียนสบตากับโก่วซินเจีย สาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับ แต่ว่ารถเบนซ์กลับจอดที่ตำแหน่งห่างจากหน้าประตูในระยะสิบเมตร แล้วประตูรถก็ถูกเปิดออกจากข้างใน
ชายชราสวมชุดเสื้อคอจีนร่างผ่ายผอม แต่ท่วงท่ากิริยาแข็งแรงคล่องแคล่ว ก้าวลงมาจากในรถ
เมื่อเงยหน้าเห็นสองคนทางฝั่งเยี่ยเทียน ชายชราผู้นั้นก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ไม่ทันรอให้สองคนเข้ามาต้อนรับ ก็เดินมาถึงตรงหน้า ดวงตาสองข้างจ้องตรงยังใบหน้าของโก่วซินเจีย
หลังจากผู้เฒ่ามองยังใบหน้าของโก่วซินเจียอยู่สักครู่ สายตาก็กวาดลงมายังแขนข้างที่ขาดหายไปทางไหล่ขวานั่น ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เป็น……เป็นพี่หยวนหยางของน้องจริง ๆ หรือ?”
ในอดีตหลังจากโก่วซินเจียเกิดเรื่องแล้วกลับไต้หวัน หนานไหวจิ่นเคยไปเยี่ยมเยียนเขาที่โรงพยาบาล ถึงแม้เวลานี้รูปหน้าของโก่วซินเจียจะแตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับดิน แต่แขนข้างนี้ที่ขาดย่อมไม่ใช่ของปลอม
ใจของโก่วซินเจียเองก็ตื้นตันเช่นกัน ถอนหายใจยาวตอบว่า “น้องไหวจิ่น จากกันเกือบห้าสิบปี ไม่นึกว่าเราสองพี่น้องยังมีวันได้พบหน้ากันอีก?”
“ไหวจิ่นคำนับพี่ใหญ่!”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย ใจของหนานไหวจิ่นก็ไม่มีความสงสัยใด ๆ อีกต่อไป ก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าคำนับโก่วซินเจีย น้ำตาไหลอาบหน้า
ก่อนยุคปลดแอกการสาบานตนเป็นพี่น้องแพร่หลายอย่างกว้างขวาง ในอดีตสองคนนี้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เวลานี้เมื่อพบโก่วซินเจีย หนานไหวจิ่นจึงให้ความเคารพอย่างนอบน้อมทันที
“อย่าเลย……”
โก่วซินเจียพยุงหนานไหวจิ่น กล่าวว่า “น้องไหวจิ่น เราสองคนเป็นพี่น้องกันจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร มา พี่จะแนะนำให้รู้จักสักหน่อย คนผู้นี้คือเยี่ยเทียน ลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ของพี่ และรับตำแหน่งเจ้าสำนักพยากรณ์เสื้อป่านในปัจจุบัน!”
แม้ว่าจะมีคำพูดมากมายต้องการพูดคุยกับหนานไหวจิ่น แต่โก่วซินเจียก็ยังไม่กล้าละเลยเยี่ยเทียน ต่อให้ไม่พูดถึงสถานะของเยี่ยเทียน แต่บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของเยี่ยเทียนอยู่ดี
“คิ้วคมดาบเนตรดวงดาว รูปลักษณ์หน้าตาดี!”
หนานไหวจิ่นพิจารณาดูใบหน้าเยี่ยเทียน แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเยี่ยไปประมือกับใครมา เหตุใดถึงได้บาดเจ็บถึงภายใน?”
พลังภายในช่องท้องเป็นสถานที่กักเก็บพลังชีวิต นอกจากจุดตันเถียนซี่งถือว่าเป็นจุดสำคัญที่สุดแล้ว โดยเฉพาะสำหรับยอดฝีมือในสำนัก หากช่องท้องบาดเจ็บจะหลงเหลือโรคภัยแอบซ่อนไว้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากคบหาเป็นมิตรกับโก่วซินเจีย หนานไหวจิ่นจึงให้เกียรติเยี่ยเทียนขึ้นหลายส่วน หลังจากคิดอยู่สักครู่ก็กล่าวว่า “ฉันมีสูตรรักษาอาการบาดเจ็บภายในอยู่ขนานหนึ่ง เดี๋ยวจะเขียนให้กับเธอ ลองกินยาสักสองสามอย่างดูก่อน”
ในอดีตสมัยปลีกวิเวกเพื่อศึกษาวิชาเต๋าในเขาชิงเฉิง หนานไหวจิ่นได้เรียนรู้วิชาแพทย์ชั้นดีมาวิชาหนึ่ง สูตรยาที่เขาพูดถึงก็คือสูตรลับรักษาอาการบาดเจ็บภายในจากสำนักชิงเฉิงซึ่งยังไม่เคยแพร่งพรายที่ไหน
“ขอบคุณศิษย์พี่หนานที่เป็นห่วง”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา โน้มตัวลงเล็กน้อยกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ศิษย์พี่หนานกังวลจนได้ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะครับ”
“ศิษย์น้องเยี่ย ได้รับบาดเจ็บในช่องท้องเช่นนี้ แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ยังต้องคอยดูแลรักษาเป็นอย่างดี”
เห็นสีหน้าไม่ยี่หระแบบนั้นของเยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นก็มองไปยังโก่วซินเจีย ว่าไปแล้วศิษย์พี่ของเขาเองก็เป็นยอดฝีมือเต๋าเช่นกัน คงไม่ถึงกับไม่เข้าใจภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ภายในใช่ไหม?
เคยมีคนในสำนักพยากรณ์ผู้หนึ่ง วัยหนุ่มสาวประลองยุทธกับผู้คน แล้วถูกโจมตีบาดเจ็บถึงภายใน เวลานั้นอาศัยที่ยังอ่อนวัยร่างกายแข็งแรง ฝืนเอาชนะได้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในวัยสี่สิบปีของเขา อาการบาดเจ็บเก่าเกิดกำเริบกะทันหัน เลือดออกภายในจนถึงแก่ชีวิต
สถานการณ์ของเยี่ยเทียนตอนนี้คลับคล้ายคนผู้นั้นอยู่บ้าง หากตอนนี้ไม่ระวัง ไม่แน่ภายหลังอาจเจอเหตุกลับตาลปัตรก็เป็นได้
“น้องไหวจิ่น ฝีมือของเยี่ยเทียนไม่ด้อยไปกว่าพี่ มีหรือเขาจะไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องนี้?”
โก่วซินเจียยิ้มพลางส่ายหน้า มีค่ายกลเก้าตำหนักอยู่ มีพลังลมปราณฟ้าดินทะนุบํารุงไม่ขาดสาย คนอย่างพวกเขา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ย่อมสามารถฟื้นฟูกลับคืนมาได้
“หา?”
หนานไหวจิ่นมองเยี่ยเทียนอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้ว่าชั่วชีวิตของโก่วซินเจียไม่เคยพูดจาเหลวไหล เมื่อเขาพูดอย่างนี้ เกรงว่าวิชาของเยี่ยเทียนคงไม่ด้อยไปกว่าเขาจริง ๆ
“พอเข้าไปในบ้านหลังนี้ น้องก็จะเข้าใจเอง”
โก่วซินเจียเหลือบมองเถาซานอี้แวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “จอดรถไว้ตรงนั้นแหละ เธอเองก็เข้ามาด้วย!”
“ครับ ศิษย์ลุง!” เถาซานอี้รับคำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับไม่คล้อยตามเท่าไหร่นัก
เห็นท่าทีอย่างนั้นของโก่วซินเจีย ควรทำให้เขารู้สึกว่าได้เข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้ ก็เหมือนเป็นการให้เกียรติอย่างมากแล้วหรือ? เถาซานอี้ติดตามอาจารย์ไปยังมากมายหลากหลายแห่ง ทั้งเคยได้พบผู้อาวุโสมาพอสมควร ยังไม่เคยพบกับสถานที่ที่แม้ประตูก็ยังไม่อยากผ่านเข้าไปเช่นนี้
แต่ไหนเลยโก่วซินเจียจะใส่ใจความคิดเล็กคิดน้อยของเถาซานอี้ เขาสะบัดแขนเสื้อคลุมทันที หลีกทางให้แล้วเดินเคียงข้างหนานไหวจิ่นเข้าไปยังประตูเหล็กของคฤหาสถ์บานนั้น
“เอ๋? นี่……นี่มันอะไรกัน?”
ทันทีที่เดินผ่านประตูทางเข้าคฤหาสน์ ร่างกายของหนานไหวจิ่นราวกับถูกวิชาสะกดให้อยู่กับที่ คล้ายถูกตะปูตอกให้ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ตกตะลึง
พลังลมปราณฟ้าดินอันอุดมสมบูรณ์แทบถึงแก่นแท้ หลั่งไหลเข้าสู่ภายในร่างของหนานไหวจิ่นอย่างไม่ขาดสาย ในยุคปัจจุบันที่ขาดแคลนพลังลมปราณเช่นนี้ เขาเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหนกัน? ต่อให้เป็นสมัยปลีกวิเวกที่เขาชิงเฉิงเมื่อในอดีต พลังลมปราณในภูเขานั้นก็ยังห่างชั้นจากที่นี่
โดยไม่ถามให้มากความ หนานไหวจิ่นปลดปล่อยจิตใจโดยสัญชาตญาณ ดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินนี้เข้าไปอย่างเต็มที่ จนทั้งร่างดิ่งสู่สภาวะเข้าฌานชั่วขณะ
“เป็นผู้เปี่ยมพรสวรรค์อย่างที่คิด!”
เห็นหนานไหวจิ่นสามารถดูดซับการจู่โจมของพลังลมปราณฟ้าดินได้อย่างรวดเร็วอย่างนี้ อีกทั้งยังสามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้อย่างมั่นคง เยี่ยเทียนเองก็อดพยักหน้าน้อย ๆ ไม่ได้
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปครับ?”
จากปฏิกิริยาของหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียและเยี่ยเทียนเองก็พอเดาได้หลายส่วน แต่ว่าเถาซานอี้ที่ติดตามมาด้านหลัง กลับไม่เข้าใจสถานการณ์ ร้องเสียงเบาอยู่ด้านหลังพวกเขาห่างไปถึงสามก้าว
เสียงนี้ดึงหนานไหวจิ่นที่อยู่ในฌาณกลับเข้าสู่ความเป็นจริง หันกลับไปมองยังลูกศิษย์ที่มีสีหน้าสับสนมึนงง เอ่ยปากถาม “หือ? ซานอี้ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”
“รู้สึกอะไรครับ? อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป?”
เถาซานอี้งุนงงมากขึ้นทุกที วันนี้ท่าทางของอาจารย์ผิดปกติเกินไปแล้ว หรือว่าพวกโก่วซินเจียสองคนเรียกอาจารย์มาเพราะต้องการคิดบัญชีกับท่าน?
พอคิดถึงตรงนี้ เถาซานอี้ก็ถอยไปด้านหลังอีกสองก้าว ภาษิตว่าใจคนล้ำลึกยากหยั่งถึง พวกเขาคบหากันมาสี่ห้าสิบปี แต่ใครเลยจะรู้ว่าตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังคิดอะไรอยู่?
“เจ้าหนุ่ม พลังลมปราณฟ้าดินอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ เธอยังไม่รู้สึกเลยเรอะ?” สีหน้าของหนานไหวจิ่นแฝงด้วยความขุ่นเคือง ตำหนิว่า “ที่ฝึกฝนมาหลายต่อหลายปีนี่สูญเปล่าหรือไง?”
“พลังลมปราณ? พลังลมปราณที่ไหนกันครับ?”
เถาซานอี้มองซ้ายมองขวา แล้วยังปลุกเร้าเลือดลมเพื่อสัมผัสเล็กน้อย พลังลมปราณที่นี่เข้มข้นกว่าที่เมืองหลวงนิดหน่อย แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่า “อุดมสมบูรณ์” นี่นา?
“เอ๋? ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองหรือ?”
หนานไหวจิ่นเองก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม เห็นท่าทางของลูกศิษย์แล้วพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลก จึงลองถอยไปด้านหลังก้าวใหญ่ พลังวิญญาณที่ล้อมรอบตนเองอยู่นั้นก็สลายหายไปในทันใด
“พี่หยวนหยาง นี่……นี่คือค่ายกลรวมลมปราณงั้นหรือ?” หนานไหวจิ่นที่กระจ่างแจ้งในที่สุด คว้าจับชายเสื้อของโก่วซินเจียเอาไว้
สมัยที่หนานไหวจิ่นปลีกวิเวกอยู่บนเขาชิงเฉิง เคยพลิกค้นตำราโบราณ เพราะหวังอยากจะสร้างค่ายกลรวมลมปราณกลางภูเขาเพื่อฝึกวิชา
แต่ด้วยความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาขาดหายไป จวบจนปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ดั่งใจ ปัจจุบันเห็นที่นี่สงสัยว่าจะมีค่ายกลรวมลมปราณอยู่ จึงอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“ถูกต้องแล้ว น้องไหวจิ่น เข้าไปข้างในแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” เห็นหนานไหวจิ่นตกใจอย่างนั้น โก่วซินเจียก็อดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้
ในอดีตหลี่ซั่นหยวนยกยอคุณสมบัติของหนานไหวจิ่นว่าเลอเลิศมาตลอด นั่นทำให้โก่วซินเจียลูกศิษย์ใหญ่ของสำนักเสื้อป่านยากจะหลีกเลี่ยงความเศร้าในใจ
เห็นสหายเก่าตกตะลึงอย่างนี้ ใจของโก่วซินเจียราวกับได้กินรากโสมเข้าไป ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าโล่งอกแค่ไหน ความอึดอัดใจหลายปีที่ผ่านมาถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น
“ไม่ได้ พี่หยวนหยาง พี่ต้องอธิบายให้น้องเข้าใจให้ชัด”
เห็นโก่วซินเจียเดินไปยังข้างในคฤหาสน์ หนานไหวจิ่นก็รีบร้อนตามหลังไป ท่าทางราวกับเด็กเห็นของเล่นสุดรักอย่างไรอย่างนั้น ไม่เหลือท่าทีเคร่งขรึมอย่างเวลาปกติอีกต่อไป
“ท่านอาจารย์เป็นอะไรไปนี่?”
เถาซานอี้ที่ยืนอยู่ด้านนอกคฤหาสน์ออกจะสับสนงงงวย อาจารย์ที่ตลอดมาไม่พูดจาเล่นหัว ทำไมถึงแสดงท่าทีอย่างนี้ออกมา? แต่ไม่ทันได้คิดอะไรมาก เถาซานอี้ก็รีบร้อนตามหลังไป
เพียงทว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ร่างกายของเถาซานอี้ก็สั่นสะเทือนขึ้น ตกตะลึงอ้าปากกว้างมากพอจะสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปทั้งฟอง
“คุณเถา ไปเถอะ ไปคุยข้างในห้องโถงกัน”
เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่หลังประตูเห็นเถาซานอี้แทบหน้าเปลี่ยนรูปด้วยความตกอกตกใจ ในใจยังรู้สึกยินดีที่วางแผนกลั่นแกล้งคนได้สำเร็จ
“เอ่อ ครับ!”
คราวนี้เถาซานอี้ถึงกับสูญเสียพลังความคิดไปจนหมดสิ้น ตามหลังเยี่ยเทียนไปด้วยสัญชาตญาณราวกับหุ่นกระบอก ทำอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมด้านนอกกับด้านในประตูถึงแตกต่างกันได้มากมายขนาดนี้?
………………………………………………