“พี่หยวนหยาง หลายปีที่ผ่านมานี้เป็นอย่างไรแน่? ปิดบังเสียจนผมทุกข์ใจจริง ๆ!”
หลังจากเข้ามายังห้องรับแขกของคฤหาสน์แล้ว หนานไหวจิ่นก็สงวนท่าทีกลับดังเดิม สหายเก่าแกล้งตายแล้วยังมีชีวิตมาหลายต่อหลายปี ถ้าหากตนยังไต่ถามถึงค่ายกลรวมลมปราณอีก คงยากจะเลี่ยงแสดงออกว่าเป็นคนกลับกลอกไร้มนุษยธรรมแล้ว
นึกถึงความสัมพันธ์กว่าสิบปีของคนทั้งสอง หนานไหวจิ่นก็สะเทือนใจขึ้นมา ลุกขึ้นยืนจากโซฟาโบกไม้โบกมือกล่าวว่า “ในอดีตฉันอยากไปที่เกิดเหตุเพื่อเก็บกระดูกพี่ใหญ่ คนสำนักนั่นกลับปัดความรับผิดชอบไปทุกทิศทุกทาง ด้วยความโมโห ฉันจึงถอนตัวออกมาจากองค์กรเสียเลย!”
โก่วซินเจียประสบเหตุครั้งนั้น ทำให้หนานไหวจิ่นยากจะเลี่ยงความโศกเศร้าที่สหายจากไป หลังจากเกิดเรื่องได้ไม่นาน เขาจึงออกจากไต้หวันในนามนักศึกษาวิจัยมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
“ไหวจิ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสองเรา ฉันกลัวจะทำให้เธอลำบาก……”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวอันน่าหวาดหวั่นเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น โก่วซินเจียก็ถอนหายใจออกมา กล่าวว่า “ช่วงสองปีแรกฉันฝังเมล็ดพันธุ์ลับไว้ภายในสององค์กรนั่น เป็นพวกเขาที่ช่วยฉันหนีออกมาได้ ร่องรอยหลังจากนั้นก็เป็นพวกเขาจัดการให้”
สององค์กรที่โก่วซินเจียพูดถึง ก็คือสององค์กรหน่วยงานลับซึ่งมีชื่อเสียอันโด่งดังภายในพรรครัฐบาลนั่นเอง แต่ที่ผู้คนไม่รู้ก็คือ นอกจากสององค์กรนี้แล้ว ยังมีกองกำลังอื่นซึ่งสั่งการโดยโก่วซินเจียแยกออกมาอีกหนึ่งองค์กร
ในอดีตโก่วซินเจียได้รับความไว้ใจจากนายพลเจียงอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นจึงถูกสององค์กรนั้นมองว่าเป็นหนามตำตา หวังอยากจะกำจัดเขาโดยเร็วที่สุดมาตลอด
แต่ว่าโก่วซินเจียเป็นคนอย่างไร เขาจัดตำแหน่งลูกน้องภายในสององค์กรนั้นไว้แต่แรก เพื่อใช้ประโยชน์หากมีเหตุไม่คาดฝันในอนาคต และเรื่องที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์ว่าวิธีการของเขาถูกต้อง
“พี่หยวนหยาง งั้น……งั้นหลายปีมานี้พี่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในฮ่องกงมาตลอดเลยหรือ?”
หนานไหวจิ่นพอเข้าใจสถานการณ์ของโก่วซินเจียในตอนนั้น แต่ว่าหลายปีมานี้ไม่ติดต่อหาเขา จึงมีคำพูดอยากบ่นมากมาย “พี่หยวนหยาง หลายปีมานี้ผมมาฮ่องกงหลายต่อหลายครั้ง ทำไมพี่ถึงไม่ติดต่อมาหาผมบ้างล่ะ?”
ในฐานะปรมาจารย์ศาสตร์ประจำชาติยุคปัจจุบัน หนานไหวจิ่นจึงเคยบรรยายที่มหาวิทยาลัยในฮ่องกงหลายครั้ง ทั้งยังตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ เขาไม่เชื่อว่าโก่วซินเจียจะไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ใครบอกเธอว่าฉันอยู่ฮ่องกง?”
โก่วซินเจียมองหนานไหวจิ่นแล้วยิ้ม “หลายปีมานี้ฉันศึกษาค้นคว้าค่ายกลศาสตร์แห่งเต๋าอยู่ที่เขาฝอกว่างซานมาตลอด แทบไม่เคยลงจากเขาแม้สักก้าวตลอดห้าสิบปี
“อะไรนะ? พี่อยู่บนเขาฝอกว่างซานเองหรือ?”
หนานไหวจิ่นได้ยินเข้าก็ชะงัก แล้วพูดต่ออย่างโกรธแค้น “เจ้าอาวาสชิงหยุนคนนี้ อุตส่าห์คบหากันมากับผมหลายสิบปี แต่กลับปิดบังผมมาตลอด!”
หนานไหวจิ่นเชี่ยวชาญศาสตร์พุทธศาสนา ลัทธิเต๋าและหรู แล้วยังรู้จักมักคุ้นกับเจ้าอาวาสชิงหยุนแห่งเขาฝอกว่างซานเป็นอย่างดี จำต้องขึ้นเขาไปสนทนาแก่นธรรมะพุทธศาสนากันแทบจะทุกปี
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรหนานไหวจิ่นก็คาดไม่ถึงว่า พี่ชายร่วมสาบานที่แกล้งตายของตนเอง กลับหลบอยู่บนภูเขามาตลอดหลายสิบปี แล้วนักพรตชิงหยุนก็ไม่เคยแพร่งพรายออกไปแม้เพียงคำเดียว
“เจ้าอาวาสเป็นคนที่ฉันไว้ใจ เธออย่าไปโทษเขาเลย”
โก่วซินเจียโบกมือ เขาอยู่บนภูเขาไม่ติดต่อคนสนิท เพราะกังวลว่าอาจยังมีคนจดจำเรื่องราวเมื่อในอดีตได้
สาเหตุอีกอย่างก็คือโก่วซินเจียอยากพุ่งสมาธิไปที่การฝึกวิชาเต๋า ค้นคว้าค่ายกล หากไม่ได้ปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษสี่ถึงห้าสิบปี เกรงว่าคงยากที่เขาจะฝึกจนถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตได้
” ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หนาน เชิญดื่มชากันก่อนเถอะครับ แขกมาเยี่ยมเยียนไม่มีชา ไม่ใช่วิถีการต้อนรับแขกนะครับ!” เยี่ยเทียนยกชุดเครื่องชาวางลงกลางโต๊ะระหว่างทั้งสองคน ยิ้มพลางตัดบทสนทนาของทั้งคู่
“ได้ ๆ วันนี้จะใช้ชาแทนสุรา ผมขอดื่มคำนับพี่หยวนหยางหนึ่งจอก!”
หนานไหวจิ่นพยักหน้า ยกชาขึ้นมาหนึ่งถ้วยกล่าวว่า “ในอดีตผมเคยดูใบหน้าของพี่ รู้ว่าพี่มีชะตามากบุญวาสนา ไม่ใช่คนที่จะด่วนจากไป ตอนนี้ได้พบกับพี่ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในชีวิต มา ผมจะดื่มให้พี่หนึ่งจอก!”
” มิตรภาพของเธอลึกล้ำแน่นแฟ้น รู้ใจฉันแล้ว!”
โก่วซินเจียเอง ก็ยกถ้วยชาดื่มจนหมด หากไม่ใช่เพราะหลายวันก่อนเขาได้รับบาดเจ็บเพิ่งหายดี ไม่แน่ว่าวันนี้อาจเปลี่ยนชาเหล่านี้ให้กลายเป็นเหล้าแล้ว
ดื่มชาคารวะเสร็จแล้ว หนานไหวจิ่น ถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าละเลยเยี่ยเทียนไป จึงหันหน้าไปหาเยี่ยเทียน กล่าวว่า ” ท่านอาจารย์ซั่นหยวน มีพระคุณต่อฉันอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าผู้เฒ่ายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
เห็นเยี่ยเทียนยังอ่อนวัย เพียงอายุยี่สิบต้น ๆ อย่างนั้น จึงแปลว่าเขาจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่หลี่ซั่นหยวนรับมาในช่วงสิบปีกว่านี้ เมื่อคาดเดาอย่างนี้ความเป็นไปได้ที่หลี่ซั่นหยวนยังมีชีวิตอยู่จึงมีสูง
” ศิษย์พี่หนาน อาจารย์กลายร่างเป็นเซียนไปเมื่อสามปีก่อนแล้วครับ” เยี่ยเทียน ส่ายหน้ากล่าวว่า ” สมัยท่านอาจารย์ยังอยู่ พูดถึงศิษย์พี่หนานหลายต่อหลายครั้ง วันนี้ได้พบหน้า ศิษย์พี่มีฝีมือล้ำลึกสมอย่างที่คาดไว้”
นอกจากโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนเพิ่งจะได้พบคนที่ฝึกวิชาถึงขั้นปรมัตถ์เป็นครั้งแรก เลือดลมที่พลุ่งพล่านบนร่างหนานไหวจิ่น ด้อยกว่าศิษย์พี่ใหญ่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เฮ้อ ในอดีตชวนท่านผู้เฒ่าไปไต้หวัน แต่ท่านปฏิเสธไม่ยอมไป จากกันครั้งนั้นห่างกันถึงโลกมนุษย์ กับแดนสวรรค์แล้ว!”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้าด้วยความโศกเศร้า เขากลัวว่าจะดึงศิษย์น้องเยี่ยเทียนให้เศร้าโศกตามไปด้วย จึงรีบเบี่ยงประเด็น วันนั้นได้ยินว่า มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งก่อเหตุวุ่นวายพลิกฟ้าถล่มแผ่นดินไต้หวัน คิดว่าต้องเป็นศิษย์น้องเยี่ยสินะ?”
เดิมทีหนานไหวจิ่นยังคงตกตะลึงที่เยี่ยเทียนสามารถสังหารทหารรับจ้างนับสิบคนด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้ได้ยินว่าโก่วซินเจียหลบอยู่ในภูเขาฝอกว่างซานมาตลอด เขาจึงพอเข้าใจอะไรบางอย่าง
โก่วซินเจียเข้าใจความหมายของหนานไหวจิ่น ยิ้มกล่าวว่า “น้องไหวจิ่น เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันเพิ่งรู้จักศิษย์น้องเล็กคนนี้หลังจากเกิดเรื่อง ถ้าหากว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เธอก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน!”
“หา? ศิษย์น้องเยี่ยเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์แล้วหรือ?”
หนานไหวจิ่นตกใจเหมือนเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เขาศึกษาแก่นของสามสำนักร่วมกัน ยังใช้เวลาถึงหกสิบปีจึงย่างเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์ เข้าใจความยากลำบากระหว่างนั้นดี
หากพูดว่าโก่วซินเจียสามารถเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์ หนานไหวจิ่นยังพอเข้าใจ แต่เด็กหนุ่มอายุเพียงยี่สิบอย่างเยี่ยเทียนสามารถฝึกฝนจนเทียบเท่าพวกเขา กลับทำให้หนานไหวจิ่นตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
“แค่โชควาสนาดีเท่านั้นแหละครับ พื้นฐานไม่หนาแน่นเท่าศิษย์พี่ทั้งสอง”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม แต่ก็ยอมรับในความสามารถของตน หากกล่าวถึงความอาวุโสในวงการสำนักพยากรณ์ และยิ่งเมื่อพูดถึงด้านกำลัง เขาก็ไม่อยากให้ตำแหน่งเจ้าสำนักพยากรณ์เสื้อป่านเป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น
“ดี สำนักพยากรณ์เสื้อป่านในนามของศิษย์น้องเยี่ย จะต้องเฟื่องฟูรุ่งเรืองอย่างแน่นอน!”
ใบหน้าของหนานไหวจิ่นแสดงให้เห็นความปิติยินดี ในอดีตหลี่ซั่นหยวนมีบุญคุณต่อเขา ปัจจุบันได้เห็นสำนักพยากรณ์เสื้อป่านแตกแขนงมีลูกศิษย์ เขาเองก็รู้สึกเป็นสุขจากใจจริง
“ศิษย์อาเยี่ย ผม……ผมถามหน่อยได้ไหมว่า พลัง พลังลมปราณในคฤหาสน์นี้ ทำไมจึงได้อุดมสมบูรณ์นัก?”
ขณะที่บทสนทนาระหว่างหนานไหวจิ่นกับโก่วซินเจียและเยี่ยเทียนเงียบลง เสียงอ่อนเบาของเถาซานอี้ก็ดังขึ้นมา
ครั้งนี้เถาซานอี้สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันเข้มข้นภายในห้องโถงใหญ่ สภาพจิตใจราวกับแมวคันเนื้อคันตัว จนอยากหาที่ทางนั่งฝึกวิชาเสียเดี๋ยวนั้น
อันที่จริงเถาซานอี้เข้าสู่ระดับพลังแฝงได้หลายปีแล้ว แต่ความสามารถไม่คืบหน้ามาตลอด เพราะอาศัยอยู่ในเขตพลังลมปราณฟ้าดินบางเบา จึงไม่สามารถรวบรวมพลังลมปราณชีวิตแท้เข้ามารวมได้
แต่ว่าหลังจากเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ ปัญหาที่กวนใจเขามาตลอดก็พลันสลายหายไป ขอเพียงเยี่ยเทียนอนุญาตให้เขาฝึกฝนวิชาที่นี่ เถาซานอี้เชื่อมั่นว่าตนเองจะสามารถเข้าสู่ขั้นสุดยอดแห่งพลังแฝงได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งเวลานี้ เถาซานอี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดโก่วซินเจียจึงลังเลต่อการมาของอาจารย์และลูกศิษย์อย่างพวกเขา หากพวกเขาครอบครองสถานที่อันล้ำค่าเช่นนี้ คงไม่กล้าให้ใครมาเยี่ยมเยียนเช่นกัน
“ซานอี้ วิชาพลังหล่อเลี้ยงของเธอยังไม่ดีพออีกหรือ?”
หนานไหวจิ่นตำหนิลูกศิษย์ประโยคหนึ่ง แต่ว่าหลังจากหันไปมองเยี่ยเทียนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เอ่ยถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย คำถามของลูกศิษย์ตรงใจศิษย์พี่พอดี ไม่รู้ว่าศิษย์น้องเยี่ยจะให้ความกระจ่างหน่อยได้ไหม?”
ตั้งแต่ตนเองเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ หนานไหวจิ่นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเยี่ยเทียนถึงไม่ใส่ใจอาการบาดเจ็บบนร่างเลย มีพลังลมปราณฟ้าดินอันอุดมสมบูรณ์ให้ใช้อย่างเต็มที่เช่นนี้ อาการบาดเจ็บเล็กน้อยจึงไม่นับเป็นเรื่องสำคัญ
“หึ ๆ ศิษย์พี่หนานเกรงใจแล้ว แน่นอนว่านี่คือค่ายกลรวมลมปราณ เป็นท่านอาจารย์ได้มาเมื่อตอนรู้แจ้งในบั้นปลายของชีวิต ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องเลย……”
เรื่องวิชาที่เยี่ยเทียนรับสืบทอด นอกจากพูดกับอาจารย์ที่ลาโลกไปแล้ว ปัจจุบันก็ไม่มีใครล่วงรู้อีก ดังนั้นพอหนานไหวจิ่นถามขึ้น จึงผลักความดีความชอบไปทางตัวหลี่ซั่นหยวน
“หลี่ซั่นหยวนเป็นเซียนแห่งการศึกษาค้นคว้าโดยแท้ สามารถฟื้นค่ายกลโบราณคืนมาเช่นนี้ รุ่นเราเทียบไม่ติดเลย!”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หนานไหวจิ่นก็ถอนหายใจยาวออกมา แม้ไม่เชื่อสนิทใจในคำพูดของเยี่ยเทียน แต่ก็รู้ว่าค่ายกลนี้หลีกหนีความสัมพันธ์ต่อหลี่ซั่นหยวนไม่พ้น
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ลุง ศิษย์อาเยี่ย ท่านว่าผม……” ความจริงแล้วเถาซานอี้ไม่ได้สนใจที่มาที่ไปของค่ายกลนี้นัก เขาเพียงอยากรู้ว่าตัวเองจะสามารถอยู่ฝึกวิชาที่นี่ได้หรือไม่?
“เจ้าเด็กไร้ประโยชน์”
หนานไหวจิ่นยิ้มพลางตำหนิลูกศิษย์ มองยังเยี่ยเทียนแล้วกล่าวว่า “ลูกศิษย์ของพี่คนนี้ฝึกฝนมาเจ็ดแปดปียังไม่กระเตื้อง ศิษย์น้องเยี่ยจะอนุญาตให้เขาฝึกฝนวิชาอีกสักระยะได้ไหม?”
ด้วยความสัมพันธ์ของหนานไหวจิ่นและโก่วซินเจีย จึงไม่จำเป็นต้องไต่ถาม ขอเพียงเยี่ยเทียนตกลงก็เป็นอันใช้ได้
“ศิษย์พี่หนานเกรงใจเกินไปแล้ว ศิษย์หลานซานอี้ไปนั่งสมาธิที่ระเบียงชมวิวนั่นเถอะ!”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางพยักหน้า สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับค่ายกลรวมลมปราณที่ปักกิ่ง มีคลื่นพลังลมปราณเติมเต็มไม่ขาดสาย จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพลังลมปราณจะถูกสูบออกไปจนหมด
หลังจากขอบคุณเยี่ยเทียนแล้ว เถาซานอี้ก็พุ่งไปยังระเบียงชมวิวอย่างตื่นเต้น ขณะที่เขายืนอยู่ตรงระเบียงชมวิวมองไปยังเบื้องล่าง ก็หยุดชะงักงันในทันที
จากแสงไฟตรงเชิงเขานั้น มีเส้นทางคดเคี้ยวราวมังกรดิ่งตรงไปยังมหาสมุทร พลังลมปราณในห้วงอากาศทุกหนแห่งถูกดูดซับเข้าไปสู่ภายในเสาฮวงจุ้ย อีกทั้งพลังลมปราณบนระเบียงชมวิวเข้มข้นจนแทบกลายร่างเป็นกลุ่มหมอกควัน ที่แท้ก็ถูกสกัดออกมาจากเสาฮวงจุ้ยนั่นเอง
หากตัวอยู่ด้านนอก ย่อมไม่มีทางสืบรู้ความลับของเขตฮวงจุ้ยแห่งนี้ แต่พอยืนอยู่บนระเบียงชมวิว เขตฮวงจุ้ยทั้งหมดก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป เวลานี้เถาซานอี้จึงเข้าใจถึงคุณประโยชน์ของเขตฮวงจุ้ยอย่างแท้จริง เขาตกตะลึงจนลืมตาโตอ้าปากค้าง
เดิมทีด้วยฐานะลูกศิษย์ของหนานไหวจิ่น ในใจเขาจึงพอมีความทรนงตัวอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นวิธีการอันน่าตื่นตะลึงของสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน เขาจึงเข้าใจสุภาษิตที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนอย่างแท้จริง
………………………………………………………