ทำธุรกิจกับธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ยังแบ่งเป็นหลายระดับขั้น บางธุรกิจคุณไม่เพียงแค่ต้องมีเงินทุน แต่ยังต้องมีสิ่งอื่นด้วย เช่นยศและตำแหน่ง
ก็เหมือนกับรถยนต์รุ่นที่ผลิตจำนวนจำกัดของรถชื่อดังระดับนานาชาติบางแบรนด์ ใช่ว่ามีเงินแล้วคุณจะสามารถซื้อได้ หากไม่มีสถานะทางสังคมที่เหมาะสม ให้มีเงินมากสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสั่งจองสินค้าหรูหราเพื่อแย่งชิงฐานะกัน
ดังนั้นซ่งเวยหลันเห็นกุญแจดอกนี้แล้วจึงตกอกตกใจ เพราะด้วยสถานะมหาเศรษฐีอย่างเธอ ยังไม่อาจครอบครองกุญแจระดับนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกชายที่เคยไปไกลสุดแค่พม่าเลย
“ถือกุญแจดอกนี้ แล้วจะสามารถเปิดตู้นิรภัยได้เหรอครับ? หึ…ขนาดธนาคารนี่อยู่ไหนผมยังไม่รู้เลย?”
ในที่สุดก็เข้าใจเสียทีว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เยี่ยเทียนก็ยังงุนงงสับสน จากประสบการณ์ของเขา ไปถอนเงินจากธนาคารดูเหมือนจะต้องใช้สมุดบัญชีอะไรประเภทนั้น แต่ว่าเขาไม่มีอะไรเลย นอกจากกุญแจดอกนี้
“กุญแจนี่ถูกผลิตขึ้นโดยธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ตู้นิรภัยเองก็อยู่ภายในใจกลางธนาคาร”
ซ่งเวยหลันมองลูกชายอย่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ออก ในมือถือของล้ำค่าขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เห็นลูกชายมีทีท่ามึนงงอย่างนั้น ซ่งเวยหลันก็อธิบายต่อ “ลูกนำกุญแจดอกนี้ไปธนาคาร จะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารอะไรทั้งนั้น กุญแจดอกนี้เป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว”
เพื่อเป็นการรักษาความลับขั้นสูงสุด ทันทีที่ตู้นิรภัยและกุญแจนี้ถูกผลิตออกมา เอกสารทุกอย่างจึงถูกทำลายจนหมด รูปใบนั้นที่ซ่งเวยหลันเห็น ก็เป็นรูปที่พนักงานรักษาความปลอดภัยผู้ชราเก็บไว้กับตัวเอง
นอกจากข้อมูลของกุญแจแล้ว ธนาคารเกรงว่าข้อมูลของลูกค้าจะถูกคนนำไปเผยแพร่ หลังจากทำการติดต่อกับลูกค้า ข้อมูลของลูกค้าระดับ3Sปึกแรก จึงไม่เก็บต้นขั้วเอาไว้ทั้งหมด
หากพูดอีกอย่างก็คือ ธนาคารจดจำเพียงกุญแจแต่ไม่จำผู้ถือ ไม่ว่าจะเป็นใครถือกุญแจเข้าไปภายในธนาคาร ล้วนสามารถเปิดตู้นิรภัยได้อย่างง่ายดาย
ส่วนผู้ครอบครองกุญแจจะสามารถเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ธนาคารเก็บมาใส่ใจ หากของล้ำค่าอย่างนี้ยังสามารถทำหาย ก็นับว่าสมควรแล้ว
“เยี่ยเทียน ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลย ว่าของชิ้นนี้มาจากไหนกันแน่”
เรื่องบนโลกที่สามารถทำให้ซ่งเวยหลันสงสัยมีไม่มาก และกุญแจดอกนี้ก็สามารถกระตุ้นความสงสัยในใจเธอขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าผมบอกว่าชิงมาจากมือคนอื่น คุณจะเชื่อไหมล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ กล่าวว่า “รอแต่งงานกับอวี๋ชิงหย่าแล้ว พวกเราไปสวิตเซอร์แลนด์กัน ถึงเวลานั้นเห็นของภายในตู้นิรภัยนั่น คุณก็รู้เองแหละว่ากุญแจดอกนี้ได้มาจากไหน”
นึกถึงเอกสารและกล่องนิรภัยภายในรถหุ้มเกราะที่ถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะทำลายแล้ว เยี่ยเทียนก็อดเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้ หากกุญแจดอกนี้ยังมีที่มาอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กล่องนิรภัยและเอกสารนั่นคงจะยิ่งมีมูลค่ามากกว่าเสียอีก
เพียงแต่เอกสารกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว กล่องนิรภัยถึงแม้ไม่บุบเสียหาย แต่ก็ถูกหลอมละลายไปพร้อมกับรถหุ้มเกราะซึ่งกลายเป็นโลหะเหลว สิ่งที่เป็นตัวแทนความมั่งคั่งเบื้องหลังสิ่งของเหล่านั้น จะไม่มีวันปรากฏสู่โลกใบนี้อีกตลอดกาล
“ลูกคนนี้ คราวหลังอย่าได้ทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีกเชียว”
แม้ว่าซ่งเวยหลันจะรู้ว่าเยี่ยเทียนได้ทรัพย์สินทองคำมาจำนวนหนึ่งจากพม่า แต่ก็ไม่รู้รายละเอียด พอเจอกุญแจดอกนี้เธอพลันนึกถึงอันตรายภายในนั้นได้ในทันที จึงอดตักเตือนลูกไม่ได้
“ผมรู้แล้วล่ะครับ คุณวางใจเถอะ ออกเดินทางครั้งนี้ต้องรีบกลับมาให้เร็วที่สุดนะ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า อยู่กับแม่มาครึ่งปีกว่า เขาเป็นสุขกับชีวิตอันเปี่ยมความรักจากแม่อย่างนี้มากขึ้นทุกวัน แม้จะถูกแม่หยิกหูดุว่า แต่รสชาติแบบนั้นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ?
สองวันให้หลัง ซ่งเวยหลันจึงพาแอนนาออกจากเมืองหลวงไปยังสหรัฐอเมริกา แล้วเยี่ยเทียนก็เริ่มงานยุ่งขึ้นมา
ก่อนอื่นให้อวี๋ชิงหย่าลาหยุด ทั้งสองคนบินไปยังชายทะเลมัลดีฟ ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งหนึ่งชุด จากนั้นไปจดทะเบียนสมรส กันตามกฎหมาย ทั้งสองคนก็นับว่าเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ใช่ธุระของเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าอีก ที่เหลือล้วนเป็นหน้าที่ของเยี่ยตงผิงกับอาสาวอีกสองสามคนจัดการ เยี่ยเทียนเพียงต้องพาอวี๋ชิงหย่าไปยังเหมาซานเพื่อกราบไหว้อาจารย์
อวี๋ชิงหย่าลาหยุดยาวถึงครึ่งปี แล้วเยี่ยเทียนก็จะอยู่กับเธอภายในอารามเต๋า ไปอยู่ครั้งนี้กินเวลาสองเดือนกว่า ถ้าหากเยี่ยตงผิงไม่คอยโทรศัพท์ตามอยู่ตลอด เยี่ยเทียนก็หวังจะอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์ให้นานกว่านี้
กว่าทั้งสองคนจะกลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง ก็เป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนว้าวุ่นใจเล็กน้อยคือ แม่ยังไม่กลับมาจากอเมริกา
หากไม่ใช่เพราะยังสามารถคุยโทรศัพท์ติดต่อซ่งเวยหลันได้ เยี่ยเทียนก็มีความคิดกระทั่งจะบินไปยังอเมริกา หนึ่งเพราะกังวลเรื่องภัยร้ายของแม่ สองเพราะไม่อยากต้องมาเสียใจภายหลังกับงานแต่งงานของตน
ยังดีที่พอถึงกลางเดือนธันวาคม ซ่งเวยหลันก็กระหืดกระหอบกลับมายังบ้านที่เมืองหลวงได้ในที่สุด จึงทำให้เยี่ยเทียนคลายใจลงได้
เยี่ยเทียนพาโจวเซี่ยวเทียนขับรถสองคัน ถึงจะขนสัมภาระของซ่งเวยหลันกลับมายังบ้านหมด หลังจากจัดวางของเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็อดบ่นไม่ได้ “ถ้าคุณยังไม่กลับมา ผมจะไปตามคุณที่อเมริกาแล้วนะ!”
“แม่สั่งตัดชุดสูทกับชุดแต่งงานตัวนี้ให้ลูกกับอวี๋ชิงหย่าไงล่ะ ช้าไปไม่กี่วันเอง ทำไมต้องถึงขนาดนั้น?”
รู้สึกถึงความเป็นห่วงจากใจลูก ความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นมาในใจของซ่งเวยหลัน เธอถอดเหรียญทองแดงโบราณชิ้นนั้นที่คอออกมา กล่าวว่า “ของชิ้นนี้แม่คืนให้ แม่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาเลย”
“ไว้ผมจะหาของดีให้คุณอีก”
เหรียญทองแดงชิ้นนี้หลี่ซั่นหยวนมอบให้ เป็นเครื่องรางภายในสำนัก เยี่ยเทียนจึงไม่อาจมอบให้กับแม่ได้ ยื่นมือไปรับกลับมา
“ธุระที่แม่ไปอเมริกาคราวนี้จัดการเรียบร้อยดีไหมครับ?”
เห็นสีหน้าอ่อนเพลียของแม่ เยี่ยเทียนก็ปวดใจเล็กน้อย ผู้หญิงเพียงคนเดียวสามารถก่อสร้างธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ พอจะจินตนาการออกเลยว่าเธอต้องทุ่มเทกำลังใจกายมากน้อยเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเสร็จงานแต่งงานลูก แม่ยังต้องกลับไปอีกรอบ”
ซ่งเวยหลันส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึงเรื่องธุรกิจ ผลักเยี่ยเทียนออกไปข้างนอก กล่าวว่า “ ลูกกับอวี๋ชิงหย่าไปเปลี่ยนชุดสูทกับชุดแต่งงานให้แม่ดูหน่อย!”
……………………
แล้ววันเวลาก็ผ่านไป หลังจากผู้คนเฉลิมฉลองค่ำคืนอันรื่นเริงแห่งสหัสวรรษ วันปีใหม่ของปีคริสต์ศักราช 2000 ก็มาถึงตามกำหนด
เดิมทีงานเลี้ยงแต่งงานจะถูกจัดขึ้นที่โรงแรมห้าดาวตามความตั้งใจซ่งเวยหลัน
แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งเขายังคิดถึงความครื้นเครงของงานมงคลที่จัดในบ้านตามชนบท ภายใต้การยืนกรานของเขา สุดท้ายจึงตัดสินใจจัดเลี้ยงโต๊ะจีนหกตัวภายในเรือนสี่ประสาน เรียกโชคลาภให้ราบรื่นในทุกสิ่ง
จากข้อเสนอนี้ของเยี่ยเทียน อวี๋เฮ่าหรานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้การแต่งเจ้าสาวเข้าบ้านครั้งนี้จะไม่ได้บรรยากาศนัก แต่เมื่อเยี่ยเทียนตกลงไปจัดงานเลี้ยงที่เซี่ยงไฮ้อีกครั้งหลังงานแต่งงานจบลง ฝ่ายพ่อตาจึงไม่มีอะไรจะพูดอีก
เช้าตรู่วันหนึ่ง เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็อุดมไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง ประตูทางเข้าเรือนสี่ประสานเต็มไปด้วยอักษรมงคล กระทั่งกำแพงโดยรอบก็ถูกซ่อมแซมใหม่ แขวนด้วยโคมไฟสีแดงทุก ๆ สองสามเมตร
เยี่ยเทียนพาลูกศิษย์ขับรถไปยังเขตบ้านเดี่ยวชานเมืองหลวงแต่เช้า ที่นี่เป็นที่อยู่ของอวี๋เฮ่าหรานในเมืองหลวง แต่เวลานี้ใช้เป็นบ้านเจ้าสาว
ตอนรับเจ้าสาวก็ได้รับความลำบากจากเว่ยหรงหรงและหูเสี่ยวเซียนที่เร่งรีบมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่น้อย ต้องใส่อั่งเปาไปถึง 5888 หยวน จึงจะรับตัวอวี๋ชิงหย่ามาได้
พอขับรถมาถึงถนนทางเข้าเรือนสี่ประสาน เสียงประทัดก็ดังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในทันที เยี่ยเทียนในชุดสูทอันองอาจกับอวี๋ชิงหย่าลงมาจากรถ เป็นผลให้หนุ่ม ๆ โห่ร้องกันเสียงดัง
ถูกฝูงชนล้อมรอบเข้าไปยังเรือนสี่ประสาน เรือนกลางเรือนสี่ประสานซึ่งทำความสะอาดตกแต่งใหม่ แขวนไว้ด้วยผ้าม่านแพรไหมสีแดงที่ด้านหน้าปักลายคู่นกเป็ดน้ำ ด้านหน้ายังมีโต๊ะวางเต็มไปด้วยของหวาน สองฝั่งข้างโต๊ะวางเก้าอี้แปดเซียนเอาไว้
งานแต่งงานของเยี่ยเทียนครั้งนี้ ไม่ได้ป่าวประกาศออกไป
ที่สามารถยืนอยู่ภายในเรือนสี่ประสาน นอกจากศิษย์พี่ของเขาทั้งสองและหนานไหวจิ่นกับลูกศิษย์แล้ว ก็มีเพียงสหายเก่าอย่างเว่ยหงจวินเท่านั้น กระทั่งถังเหวินหย่วนเยี่ยเทียนยังไม่เชิญมาร่วมงาน
ส่วนทางด้านเครือญาติ มีเพียงอาสาวของเยี่ยเทียนสามคน และทางซ่งเวยหลันก็มีเพียงซ่งอิงหลันน้าเล็กของเยี่ยเทียนมาร่วมงาน
ความจริงเดิมทีซ่งจือเจี้ยนอยากมาร่วมงานแต่งงานนี้ แต่ถูกซ่งเวยหลันปฏิเสธไป ในอดีตเขาเคยคัดค้านการแต่งงานของตนกับเยี่ยตงผิงอย่างรุนแรง ซ่งเวยหลันจึงไม่อยากให้พี่ชายคนโตของตนมารบกวนงานแต่งงานของลูกชาย
อีกอย่างแขกภายในงานยังมีหูหงเต๋อที่เร่งรีบมาจากตะวันออกเฉียงเหนือ มีสมาชิกครอบครัวเฟิงค่วงสามคน ล้วนเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมของเยี่ยเทียน จึงเลี่ยงการต้อนรับแขกหน้าประตูงานแต่งงานอันวุ่นวายไปได้
เวลามงคลโก่วซินเจียเป็นคนเลือก คือเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาที ตอนนี้ยังมีเวลาอีกชั่วโมงกว่า จึงทำพิธีอย่างไม่รีบร้อน สมาชิกในครอบครัวต่างนั่งคุยกันในลานบ้าน
เยี่ยเทียนเป็นคนในสำนักพยากรณ์ ไม่เคร่งครัดทำพิธีอย่างประณีตเต็มรูปแบบ ไม่ทำอะไรอย่างการคลุมศรีษะด้วยผ้าแดง อวี๋ชิงหย่าจึงนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเปิดเผย
“เยี่ยเทียน ฉันขุดรากราชาโสมนั่นออกมาแล้ว ใช้เป็นของขวัญแต่งงานให้เธอก็แล้วกัน!” หูหงเต๋อเดินมาข้างกายเยี่ยเทียน ยื่นกล่องผ้าไหมสีแดงส่งให้
“เหล่าหู ขอบคุณครับ นี่นับว่าเป็นของดีทีเดียว!”
เยี่ยเทียนเปิดกล่องผ้าไหม ทันใดนั้นกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นก็โชยออกมา โสมรากหนึ่งพันยุ่งเหยิงอยู่ภายในกล่อง เป็นโสมคนซึ่งมีรากยาวถึงสามสิบเซนติเมตร ดูอายุขัยของมันแล้วคงถึงห้าร้อยปีขึ้นไป
นึกถึงมังกรดำที่ซ่อนตัวอยู่บนเขาฉางป๋าน เยี่ยเทียนพูดขึ้นมาด้วยความคิดถึง “เหล่าหู ไว้รอมีวันหยุด ผมกับคุณไปเที่ยวเขาฉางไป๋ซานกันอีกนะครับ ที่นั่นมีของดีไม่น้อยเลย”
“พอเถอะ เธอไปทีก็เหมือนผีเข้าหมู่บ้าน ของดีอะไรไม่เหลือไว้สักอย่าง” หูหงเต๋อเบะปาก ไม่ไว้หน้าเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย ทำเอาทุกคนหัวเราะเฮฮากันขึ้นมา
พอเสียงหัวเราะผ่านไป โก่วซินเจียก็เดินมาข้างตัวเยี่ยเทียน หยิบของม้วนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ส่งให้เยี่ยเทียนแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์พี่ใหญ่อย่างพี่เป็นผู้สมถะ อักษรม้วนนี้ถือเป็นของที่พี่และน้องไหวจิ่นให้เธอก็แล้วกัน”
“เอ๋ มันคืออะไรครับ?”
เยี่ยเทียนรับม้วนกระดาษนั่นมา มองดูการใส่กรอบกลับไม่ใช่ของโบราณ พอใช้มือคลี่ออก ก็ร้องขึ้นอย่างตกอกตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หนาน ของ…ของชิ้นนี้มีมูลค่าเหลือเกินครับ!”
…………………………………………………………