“เอาชีวิตฉันคืนมา…”
เสียงหลอนๆ เปล่งออกมาจากปากของเจ้าตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งผีที่อยู่ตรงหน้า แล้วโฉมหน้าของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กำลังจะร่วงหล่นเหมือนกับตัวต่อจิ๊กซอว์นั้น ได้ฟื้นฟูสภาพกลับมาเหมือนคนแล้ว
“แก…แกเองรึ? อาจารย์เป็นคนสั่งให้ฉันฆ่าแกนะ ใครเป็นหนี้คนนั้นก็ต้องจ่าย ใครเป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม แกอย่ามาหาเรื่องฉันสิ!” หลังจากเห็นโฉมหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายของหวังชุ่นก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
คนผู้นี้ชื่อเอ้อร์หู่ เป็นโจรปล้นสุสานเพื่อแสวงหาผลกำไรคนหนึ่งในมณฑลเหอหนาน หวังชุ่นได้รู้จักกับเอ้อร์หู่ในระหว่างการทำธุรกิจค้าของโจรครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งปี เอ้อร์หู่ก็เชื้อเชิญหวังชุ่นไปขุดค้นสุสานใหญ่แห่งหนึ่งที่มณฑลเหอหนาน
ตอนนั้นเดิมทีพวกตี๋วั่งนึกว่า ที่นั่นเป็นสุสานของนายพลผู้หนึ่ง แต่หลังจากที่เข้าไปในนั้น กลับพบว่าแท้จริงแล้วเป็นสุสานของจักรพรรดิ ภายในมีวัตถุที่ถูกฝังไปพร้อมกับผู้ตายนับหมื่นชิ้น ตอนนั้นพวกเขาจึงหน้ามืดตามัวไปทันที
ตามที่เจรจากันไว้คราวก่อน เอ้อร์หู่จะได้ครอบครองสามสิบเปอร์เซ็นต์ของวัตถุทั้งหมด โบราณว่า ทรัพย์สินเงินทองทำให้ใจคนหวั่นไหวได้ ตี๋วั่งจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากได้รับสัญญาณจากตี๋วั่ง ขณะที่วัตถุทั้งหมดกำลังลำเลียงออกมา และคนงานก็ทยอยกันมุดออกมาจากสุสานนั้น หวังชุ่นก็สาดกรดอย่างแรงจานหนึ่งใส่หน้าของเอ้อร์หู่ที่กำลังคลานออกมาจากโพรง
เสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชและใบหน้าเปื่อยเละที่เผยกระดูกสีขาวออกมาอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้หวังชุ่นไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต
“เอาชีวิตฉันคืนมา…” เสียงหลอนๆ น่าสะพรึงดังก้องอยู่ในหูของหวังชุ่นตลอดเวลา และมือทั้งสองข้างของเอ้อร์หู่ก็กลายเป็นโครงกระดูกอันแห้งกรัง กำลังยกขึ้นมาหมายจะตะปบไปที่ใบหน้าของหวังชุ่น
“ฉัน…ฉันจะสู้ตายกับแกละวะ!”
“ปัง! ปังๆ!!!”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขัน หวังชุ่นคว้าปืนพกที่เหน็บอยู่ที่เอวด้านหลังออกมา แล้วยิงไปที่เอ้อร์หู่ติดๆ กัน เสียงปืนดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณธารน้ำแข็ง
แต่หวังชุ่นกลับพบว่า ปืนพกนั้นไม่มีผลอะไรต่อวิญญาณพยาบาทของเอ้อร์หู่เลยแม้แต่น้อย หลังจากยิงกระสุนออกไปหนึ่งนัด เขาก็รู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งบีบกำลังคอของเขาไว้อย่างแรง ทำให้หายใจถี่กระชั้นขึ้นมาทันที
เงามรณะเข้าปกคลุมหัวใจของหวังชุ่นในฉับพลัน และก็ไม่รู้ว่าหวังชุ่นไปได้พลังมาจากไหน จึงออกแรงดิ้นจนหลุดพ้นจากเงื้อมือปีศาจคู่นั้น แล้ววิ่งไปข้างหลังอย่างโซซัดโซเซ
“อ๋า!”
หวังชุ่นวิ่งตะบึงโดยไม่หยุดเหลียวหลังเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าว่างเปล่า ทั้งร่างลอยอยู่กลางอากาศ ผีร้ายที่ไล่ตามเขาอยู่ก็อันตรธานหายไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงธารน้ำแข็งอันงดงามตระการตาและแสนพิสดารนั้น
จากนั้นภาพสุดท้ายที่ปรากฏอยู่ในหัวของเขา ก็คือรอยยิ้มอันเย็นเยียบบนใบหน้าของตี๋วั่งที่ยืนอยู่ห่างๆ
ในวินาทีนั้น หวังชุ่นเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาพยายามเหยียดมือออกไปอยากจะคว้าจับตี๋วั่งไว้ แต่กลับพบว่าร่างกายได้ตกลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลกแล้ว
“ลูกพี่ น่าจะกำจัดมันไปตั้งนานแล้วนะ พวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา!”
เปียวจึกำลังเพลิดเพลินกับการฟังเสียงกรีดร้องของหวังชุ่นที่ตกลงไปในรอยแยกของธารน้ำแข็ง จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไปแล้ว เขาจึงแสยะยิ้มขึ้นมา การตายในลักษณะนี้ เขาก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“การค้าในสามปีที่ผ่านมานี่น่ะ ไอ้หวังชุ่นฮุบไว้คนเดียวไปหกแสนหยวน แล้วก็เอาไปเลี้ยงผู้หญิงหมด พวกแกดูเอาเถอะ!”
หลังจากได้ยินเปียวจึพูดขึ้น ตี๋วั่งก็โยนสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้คนอื่นอีกสองคนดู “น้องห้า น้องหก ที่ฉันกำจัดคนในกลุ่มเราไปนี่น่ะ พวกแกคงไม่ว่าอะไรนะ?”
“ลูกพี่ ไอ้ชุ่นจึถึงตายก็ยังไม่สาสมเลยครับ!”
น้องห้ากับน้องหกย่อมเข้าใจความหมายของตี๋วั่ง ไม่ว่าหวังชุ่นจะเคยทำเรื่องเหล่านั้นจริงหรือไม่ พวกเขาก็ไม่กล้าผิดใจกับตี๋วั่งเพื่อคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่งหรอก ไม่อย่างนั้นก็พวกเขาเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นหวังชุ่นคนถัดไป
“เอาละ เก็บข้าวของแล้วรีบทำงานนี้ให้เสร็จไปเสีย พวกเราจะได้ไปเสพสุขที่ต่างประเทศกัน!” ตี๋วั่งหัวเราะฮ่าๆ พลางเดินไปสำรวจเต็นท์ของหวังชุ่นอย่างละเอียด
เมื่อเห็นว่าป้ายหยกทั้งสี่ป้ายแตกละเอียดไปแล้ว ตี๋วั่งก็ส่ายหน้าพลางคิดว่า ความสามารถของเขายังตื้นเกินไป ถ้าทำตามที่บรรยายไว้ในหนังสือ หวังชุ่นก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปจากค่ายกลของเขาได้อยู่แล้ว และจะต้องถูกพลังหยินพิฆาตฆ่าตายอย่างไม่ทันตั้งตัว
ตี๋วั่งมองดูรูกระสุนบนเสาน้ำแข็งที่อยู่ตรงกันข้ามเต็นท์ของหวังชุ่น แล้วเก็บปืนพกที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มเก็บเต็นท์ของหวังชุ่น เพราะบนภูเขาหิมะที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเล็กน้อยอะไรก็มีความสำคัญทั้งนั้น
……………………
“น่าจะเป็นที่นี่แหละ…” ตี๋วั่งมองดูแผนที่และภาพถ่ายใบหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ ขณะที่กำลังยืนหอบอย่างแรงอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
หลังจากเดินทางอย่างยากลำบากมาหนึ่งวัน ตี๋วั่งและคนอื่นๆ ก็ปีนขึ้นไปถึงบนไหล่เขาของยอดเขาลูกที่สองแล้ว พวกเขาไม่ได้ขึ้นภูเขาไปตามเส้นทางหลัก แต่ไปตามเส้นทางที่ระบุไว้บนแผนที่ฉบับนั้น จนมาถึงจุดหนึ่งบนไหล่เขาที่น้ำแข็งเกิดการแยกตัวออกจากกัน
การแยกตัวของธารน้ำแข็งนั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวของธารน้ำแข็ง โดยจะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันไป และเบื้องล่างก็มีความตื้นลึกไม่เท่ากัน บางครั้งรอยแยกจะถูกกองหิมะทับถมกลบไว้ ถ้าหากเดินไม่ระวัง ก็จะเกิดผลตามมาอย่างร้ายแรง ตอนที่หวังชุ่นก้าวพลาดตกลงไปในรอยแยกนั้นก็มีความลึกถึงหลายร้อยเมตร
แต่รอยแยกของธารน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าตี๋วั่งนี้ไม่ได้ลึกมากนัก มีความลึกเพียงหกเจ็ดเมตรเท่านั้น แต่กลับแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ ข้างบนปกคลุมไปด้วยกองหิมะที่แข็งตัวไปแล้ว ราวกับเป็นโพรงถ้ำบนภูเขาที่ก่อขึ้นจากชั้นน้ำแข็งทับถมกัน
“ลูกพี่ ผมจะลงไปก่อนนะ”
พวกเขาสมคบคิดทำเรื่องปล้นสุสานมาด้วยกันสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่ต้องรอให้ตี๋วั่งออกคำสั่งเลย หลังจากน้องห้าซึ่งมีรูปร่างเตี้ยเล็กผูกเชือกเกาะยึดไว้กับชั้นน้ำแข็งอย่างคล่องแคล่วแล้ว ก็เหน็บไฟฉายแรงสูงกระบอกหนึ่งไว้ที่ไหล่แล้วไถลลื่นลงไปตามชั้นน้ำแข็ง
“ลูกพี่ ในนี้มีคนแข็งตายด้วย แม่ง ทำไมบนตัวเจ้านี่ยังมีขนงอกออกมาอยู่ล่ะเนี่ย?” หลังจากผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดนาที เสียงของน้องห้าก็ดังออกมาจากในโพรงน้ำแข็ง
“ไป ลงไปข้างล่างกัน!”
หลังจากได้ยินน้องห้าบอก ใบหน้าของตี๋วั่งก็ฉายความยินดีออกมา เขาอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดก็ไม่เสียแรงเปล่าแล้ว
พื้นที่ด้านล่างรอยแยกนั้นมีความกว้างประมาณสี่ห้าเมตร ถึงพวกตี๋วั่งสี่คนจะไปยืนอยู่ในนั้นพร้อมกันก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลย หลังจากเปิดไฟฉายแรงสูงทั้งสี่กระบอกขึ้นพร้อมกัน สภาพภายในถ้ำน้ำแข็งก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคนทันที
แสงไฟสาดส่องลงไปบนชั้นน้ำแข็งโปร่งใสพร่างพราวที่ไม่เคยละลายมานานนับพันปี ทำให้เห็นเป็นประกายหลากหลายสีสัน แต่สายตาของพวกตี๋วั่งกลับถูกตรึงไปที่ภาพบางอย่างที่อยู่กลางถ้ำน้ำแข็ง
ถ้าไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อน คนที่ลงมาข้างในถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เป็นครั้งแรกก็จะต้องสะดุ้งตกใจอย่างแน่นอน เพราะเบื้องหลังชั้นน้ำแข็งนั้น กลับมี ‘มนุษย์ผู้ชาย’ คนหนึ่งยืนอยู่
‘มนุษย์’ ผู้นี้มีความสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร กระดูกโหนกแก้มยื่นนูนออกมา บนศีรษะมีเส้นผมสีแดงรกรุงรัง ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ราวกับกำลังซักถามพวกตี๋วั่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไร้สุ้มเสียง
และดูเหมือนว่า ‘มนุษย์’ คนนี้จะไม่กลัวความหนาวเลย บนร่างสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่ทำจากหนังสัตว์ โดยเพียงแต่พันไว้รอบเอวอย่างเรียบง่ายเท่านั้น เผยให้เห็นร่างกายช่วงบนทั้งหมดและต้นขาที่เปลือยเปล่า
แต่บนผิวหนังของเขาที่อยู่นอกร่มผ้านั้น กลับมีขนสีขาวเส้นเล็กละเอียดงอกออกมาปกคลุมจนทั่วร่างกายของเขาราวกับขนสัตว์ก็ไม่ปาน บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่กลัวความหนาวเหน็บก็เป็นได้
มือซ้ายของเขายังถือไม้กระบองที่ทำจากไม้เบิร์ชอยู่ด้วย ปลายด้านหนึ่งถูกเหลาจนแหลมคม กระทั่งยังสามารถมองเห็นคราบโลหิตสีแดงที่ติดอยู่บนปลายนั้นได้อีกด้วย
“ลูก…ลูกพี่ นี่…นี่มันศพตัวอะไรกันเนี่ย?”
น้องหกที่ตามหลังตี๋วั่งลงมาในถ้ำน้ำแข็งถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในทีมนี้เขาทำแต่งานด้านเทคนิคมาตลอด พวกงานถอดเสื้อผ้าของคนตายและเก็บทรัพย์สมบัตินี่ปกติเขาได้ทำน้อยมาก จึงเป็นคนที่เห็นศพน้อยที่สุด
ตี๋วั่งไม่ได้ตอบน้องหก แต่กำลังสำรวจศพที่ดูราวกับมีชีวิตร่างนี้อย่างละเอียด หลังจากผ่านไปนานสองนานจึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้น่ะยังไม่รู้หรอก บนภูเขาหิมะนี่เคยมีตำนานเกี่ยวกับมนุษย์หิมะมาก่อน บางทีมันอาจจะเป็นเจ้าตัวนี้นี่แหละ!”
เมื่อเห็นศพอันแปลกประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และสัตว์นี้ ตี๋วั่งจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมชาวอังกฤษคนนั้นถึงได้เสนอราคามาสูงขนาดนั้น
ตามตำนานเล่าว่า ที่เขตเทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาลมีมนุษย์หิมะขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งลักษณะคล้ายครึ่งคนครึ่งวานร ว่ากันว่ามันมีพละกำลังมหาศาล วิ่งได้เร็วเป็นลมกรดทั้งในป่าและบนพื้นหิมะ ปกติจะเดินตัวตรง แต่เวลาถูกโจมตีจะคลานหนีไปอย่างรวดเร็ว
กลุ่มชาวอินเดียที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัยเคยกล่าวว่า พวกตนเคยเห็นมนุษย์หิมะในตำนาน และยังเก็บเส้นขนของมนุษย์หิมะนี้ได้อีกด้วย
หลังจากผ่านการเปรียบเทียบโดยนักวิทยาศาสตร์ พบว่าเส้นขนลักษณะนี้ไม่มีปรากฏอยู่บนตัวของสัตว์ที่เป็นที่รู้จักในท้องถิ่นนั้นเลย แนวโน้มที่สิ่งมีชีวิตอันลึกลับนี้จะมีอยู่จริงจึงยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
แต่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีตัวอย่างมนุษย์หิมะของจริงให้ผู้คนได้ศึกษาวิจัยเลย ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์หิมะที่เป็นเพียงตำนานจึงมีมากกว่าข้อมูลที่เป็นหลักฐานข้อเท็จจริงมากนัก
หลังจากเปียวจึถือไฟฉายแรงสูงส่องไปที่ศพร่างนั้นอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ลูกพี่ ที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ก็คือไอ้นี่น่ะนะ? ของพรรค์นี้คงเอาไปให้ใครจัดงานแต่งผีไม่ได้หรอกมั้ง?”
เปียวจึไม่ได้รู้สึกว่าการที่คนรวยจะเสียเงินเพื่อซื้อศพนั้นเป็นเรื่องแปลกเลย เพราะตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เขาก็เคยติดตามตี๋วั่งไปขายศพให้คนนำไปใช้จัดพิธีแต่งงานผีมาแล้ว
การแต่งงานผี (อินฮุน หรือหมิงฮุน) ก็คือการหาคู่ครองให้กับคนที่ตายไปแล้ว หนุ่มสาวบางคู่หลังจากหมั้นหมายกันแล้ว ทั้งที่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็กลับเสียชีวิตไปทั้งคู่ด้วยสาเหตุบางประการ พวกผู้ใหญ่จึงคิดว่า หากไม่จัดพิธีแต่งงานให้เรียบร้อย วิญญาณของทั้งสองฝ่ายก็จะมาหลอกหลอน ทำให้ครอบครัวไม่สงบสุข
เพราะฉะนั้น จึงต้องจัดพิธีแต่งงานผีให้แก่ทั้งสองคน สุดท้ายก็ฝังร่างของทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างคู่สามีภรรยา เพื่อไม่ให้สุสานของทั้งสองตระกูลมีสุสานของสมาชิกที่โดดเดี่ยวไร้คู่ครอง
แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่สองฝ่ายที่หมั้นกันจะเสียชีวิตพร้อมกันเสมอไป และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝังคนเป็นไปพร้อมกับคนตาย จึงจำเป็นต้องนำร่างศพที่เพิ่งเสียชีวิตไม่นานมาจัดพิธีแต่งงานให้เสร็จ
ตอนนั้นตี๋วั่งเพิ่งจะหนีจากประเทศไทยกลับมาประเทศจีน และไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว หลังจากรู้ว่ามีผู้เสนอค่าตอบแทนราคาสูงเพื่อให้ได้ศพของหญิงสาวหรือชายหนุ่มมา เขาจึงเคยไปขุดสุสานของคนที่เพิ่งเสียชีวิตในมณฑลใกล้เคียงอย่างบ้าคลั่งอยู่ช่วงหนึ่ง
ตอนนั้นเปียวจึเป็นเด็กขอทานคนหนึ่ง อายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหกปี แต่มีนิสัยกล้าหาญมาก ครั้งหนึ่งขณะที่เขากำลังนอนอยู่ที่สุสานในป่าก็พบตี๋วั่งกำลังขุดศพอยู่ จึงถูกดึงเข้าไปเป็นพวก
“แกก็รู้อยู่อย่างเดียวเนี่ยว่าคนตายเอาไปทำพิธีแต่งผีได้ ไอ้นี่น่ะมีมูลค่าทางการวิจัยสูงลิ่วเลยเชียวแหละ ถ้าขนย้ายมันออกไปได้ละก็ ต่อให้คนอังกฤษนั่นไม่เอา พวกเราก็ยังเอาไปขายได้เงินก้อนโตเลยละ…”
หลังจากผ่านความยากลำบากนานัปการ ในที่สุดก็หาเจ้าสิ่งนี้พบแล้ว ตี๋วั่งจึงกำลังอารมณ์ดีมาก หลังจากอธิบายให้เปียวจึฟังแล้ว เขาก็หันไปพูดว่า “น้องหก เตรียมระเบิดซิ ต้องระเบิดเอาชั้นน้ำแข็งที่คลุมอยู่ด้านนอกให้กระจายออกไป ระวังอย่าทำให้ศพที่อยู่ข้างในเสียหายเด็ดขาดเลยนะ!”
เมื่อครู่ตี๋วั่งลองใช้สิ่วเจาะไปที่ชั้นน้ำแข็งดูแล้ว เจาะไปตั้งหลายทีก็ยังไม่เห็นจะถลอกเป็นรอยเลยสักนิด สงสัยต่อให้ใช้วิธีสาดน้ำร้อนใส่ก็คงไม่ได้ผล จึงต้องใช้แรงระเบิดทำให้น้ำแข็งแตกออกจากกัน