มีซ่งเฮ่าเทียนอยู่ บรรยากาศในงานดูกดดันเล็กน้อย แขกที่มาร่วมงานแต่ละคนระวังตัวไม่ให้ชายชราผู้มีอำนาจเกิดความตะขิดตะขวงใจ
ดีที่หลังจากเยี่ยเทียนดื่มคารวะจบแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็เดินทางกลับ เพียงครู่เดียวทุกคนก็คึกคักขึ้น บรรยากาศกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนถึงบ่ายสี่โมงเย็นแขกก็ค่อยๆทยอยกลับกัน
เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ายืนส่งแขกอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แต่วันนี้ผู้ที่มางานมีแต่มิตรสหายที่สนิทคุ้นเคยซึ่งส่วนใหญ่จะพักที่บ้านทั้งสองหลังของเยี่ยเทียน จึงมีแต่พวกชิวเหวินตงเท่านั้นที่กลับไป
“นี่ ประธานจู้ คุณกลับดีๆนะครับ ผมให้เซี่ยวเทียนไปส่งดีไหม?”
เมื่อครู่เพิ่งส่งเหวินหลวนสงกับหวาเซิ่งออกไป เยี่ยเทียนหันกลับมาเห็นจู้เหวยเฟิงที่ดื่มหนักจนหน้าแดงก่ำ
ไม่รู้ว่าวันนี้จู้เหวยเฟิงคิดอย่างไร บังคับให้เยี่ยเทียนดื่มกับเขาติดต่อกันสามแก้ว สุราครึ่งค่อนกิโลกรัมเต็มๆ แต่เขาคอไม่แข็งเท่าเยี่ยเทียน ตอนนี้เดินโซซัดโซเซแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร น้องเยี่ย ข้างนอกมีคนมารับฉันอยู่!”
จู้เหวยเฟิงพูดอ้อแอ้เสียงดัง “น้องเยี่ย รถคันนั้นมีป้ายทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เลขทะเบียนสามตัวหลังเป็นแปด ฉันให้คนเอามาจอดไว้ที่หน้าบ้านใหม่ของนายแล้วนะ เดี๋ยวนายขับกลับไปได้เลย”
“ครับ ถ้างั้นขอบคุณประธานจู้มาก”
เยี่ยเทียนหันกลับไปดูทีหนึ่ง ตอนแรกจะให้โจวเซี่ยวเทียนพาจู้เหวยเฟิงออกไปรอที่ตรอก แต่ไม่รู้ตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนไปดูแลใครที่ไหนแล้ว ได้แต่มองดูคุณชายจู้เดินเซไปเซมาจากไป แล้วตัวเองก็เดินกลับเข้าบ้าน
จู้เหวยเฟิงถูกลมหนาวพัดกระทบใบหน้า ก็สูดปากด้วยความหนาว หดคอกลับเข้าไปในเสื้อ ทำให้สร่างเมาไปได้บ้าง
จู้เหวยเฟิงหันหน้ากลับมามองดูเยี่ยเทียนอีกครั้ง เอ่ยด้วยความกังขาว่า “น้อง…น้องเยี่ย มีเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่านายสนใจไหม?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ประธานจู้ ถ้าเป็นเรื่องค่ายมวยใต้ดินนั่น ไม่ต้องพูดหรอก ผมไม่ค่อยสนใจธุรกิจพวกนี้เท่าไหร่”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น…” จู้เหวยเฟิงใช้ความพยายามในการส่ายศีรษะเพื่อดึงสติกลับคืนมา
“เรื่องเป็นอย่างนี้ น้องเยี่ย ประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน ที่อเมริการมีการจัดงานมวยใต้ดินระดับโลก
ถึงตอนนั้นจะมีการเชิญนักมวยใต้ดินจากนานาประเทศเข้าร่วม ยังมีการแข่งขันชิงแชมป์ ฉัน….ฉันอยากจะถามนายว่าพอจะมีเวลาว่างไหม สนใจจะไปเที่ยวอเมริกากับฉันไหม?”
จู้เหวยเฟิงเกรงว่าเยี่ยเทียนจะเข้าใจผิด พอพูดจบก็รีบอธิบายต่อ “น้องเยี่ย ฉันไม่ได้จะให้นายไปเข้าร่วมการแข่งขันนะ นายถือว่าไปเที่ยวก็แล้วกัน เรื่องระหว่างการเดินทางฉันจัดการให้เอง จะพาน้องสะใภ้ไปด้วยก็ยังได้”
ตอนแรกที่ได้รับเชิญไปร่วมงานแข่งมวยใต้ดินที่อเมริกานั้น จู้เหวยเฟิงเคยคิดจะให้เยี่ยเทียนไปลงแข่ง แต่วันนี้เห็นท่าทีของชายชราประมุขแห่งตระกูลซ่งแล้ว เขารีบดับความคิดนั้นไปแทบไม่ทัน
การให้ของขวัญเป็นอักษรภาพของซ่งเฮ่าเทียนนั้น เป็นการส่งสัญญาณถึงผู้มีอิทธิพลในประเทศว่าถ้าใครกล้ามายุ่งกับเยี่ยเทียน ต้องคิดดูดีๆว่าตนสามารถรับมือกับไฟแห่งโทสะของซ่งเฮ่าเทียนและผู้มีอำนาจท่านนั้นได้หรือไม่
หรือจะกล่าวได้อีกอย่างว่า ตอนนี้เยี่ยเทียนนั้นสูงส่งมาก เกรงว่าถ้าเขาได้ไปเยือนพื้นที่ระดับมณฑลอื่น ยังจะต้องมีคนแอบจับตามอง ถ้าเยี่ยเทียนเกิดเรื่องในพื้นที่เหล่านั้น พวกเขาต้องหนีไม่พ้นเรื่องเดือดร้อนแน่
ดังนั้นความคิดของจู้เหวยเฟิงไม่มีทางได้นำเสนอออกมา อย่าว่าแต่เขาเลย ถึงเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัวก็คงไม่มีใครกล้าเชิญเยี่ยเทียนไปต่อยมวยใต้ดิน
“งานประชุมมวยใต้ดินระดับโลก?”
ได้ยินคำชวนของจู้เหวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนยังไม่ได้ปฏิเสธในทันที หยุดคิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วถามต่อว่า “คนที่ฝีมืออย่างอันเดรวิช อยู่ในวงการมวยใต้ดินระดับโลกนี่ เป็นอันดับที่เท่าไหร่?”
วิชามวยจีนแม้จะยอดเยี่ยมเหนือชั้น แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าอยากจะฝึกกังฟูให้ดี เวลาแค่แปดปีสิบปีนั้นยังไม่พอจะไปต่อกรกับใครได้
แต่ถ้ารอจนฝึกสำเร็จนั้นคงต้องรอถึงอายุเท่าโก่วซินเจียแล้ว ดังนั้น ตามความเป็นจริง วิชายุทธที่สืบทอดกันมานั้นยังสู้เทคนิคการต่อสู้ของต่างชาติไม่ได้
นี่ยังเป็นวิชาการต่อสู้ของจีนที่ผ่านการกำจัดจุดด้อยและเลือกแต่จุดเด่นมาแล้ว จากนั้นนำไปผสมผสานกับเทคนิคการต่อสู้ของต่างชาติแล้ว ออกแบบเป็นเทคนิคการต่อสู้แบบประชิดตัว อย่างเช่นพวกทหารยศพันโทที่คุ้มกันซ่งเฮ่าเทียบกลุ่มนั้น ก็เป็นยอดฝีมือด้านนี้เช่นกัน
ด้วยฝีมือของอันเดรวิชที่เป็นผู้แตกฉานด้านมวยใต้ดินนั้นเทียบเท่าหรืออาจจะดีกว่าผู้เยี่ยมยุทธในประเทศจีนเสียอีก
แม้ว่ามันจะเป็นการใช้พลังงานชีวิตเข้าแลก แต่การบีบคั้นพลังมหาศาลออกมาเพียงในช่วงเวลาสั้นๆนั้นทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจ เยี่ยเทียนรู้ดีว่าในสนามมวยใต้ดินนานาชาตินั้นอาจจะปรากฎยอดฝีมือที่เทียบเท่าผู้ฝึกวิชาจนบรรลุขั้นสูงสุดก็เป็นได้
“อันเดรวิชติดอันดับนักมวยใต้ดินระดับโลกเมื่อปีที่แล้ว อยู่อันดับที่สิบสอง แต่เขาได้พ่ายแพ้ครั้งหนึ่งในประเทศจีนแล้วก็ตกอันดับไปอยู่ที่ยี่สิบกว่า”
ในวงการมวยใต้ดินนานาชาติทุกปีจะใช้ระบบคำนวณคะแนนตามความสามารถในการต่อสู้ของนักมวยแต่ละคนเทียบกับคู่ต่อสู้เพื่อจัดอันดับยอดฝีมือออกมา ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับกันในวงการ
แต่บนโลกมีตั้งสองร้อยกว่าประเทศ ค่ายมวยใต้ดินมีนับไม่ถ้วน หากอยากจะเข้าติดอันดับใดอันดับหนึ่งในนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยกตัวอย่างที่ประเทศจีน แม้ว่าในยุคแห่งการใช้อาวุธนั้นเป็นประเทศที่มีการใช้อาวุธและการต่อสู้ที่รุ่งเรืองที่สุด แต่ตอนนี้นักมวยในค่ายมวยใต้ดินของจู้เหวยเฟิง กลับไม่มีสักคนที่ติดอันดับหนึ่งในร้อย
เป็นเพราะมวยใต้ดินไม่ได้รุ่งเรืองในประเทศจีน แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง มวยจีนดั้งเดิมก็ไม่ได้อยู่ในมวยใต้ดินนานาชาติเช่นกัน
“อันเดรวิชอยู่อันดับที่สิบสองเองหรือ?”
พอฟังจู้เหวยเฟิงจบ เยี่ยเทียนกระดกลิ้น ถามต่อว่า “คุณเคยบอกว่าอันเดรวิชเคยได้แชมป์ที่อเมริกาติดต่อกันสิบสองสมัยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยู่อันดับล่างขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของจู้เหวยเฟิงนัก
ตอนนั้นหากเยี่ยเทียนไม่ได้ใช้พลังเชิญดวงจิตเพื่อส่งพลังให้หูหงเต๋อยืนหยัดสู้ต่อ หูหงเต๋ออาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอันเดรวิชก็เป็นได้
อยู่อันดับที่สิบสองฝีมือยังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วยอดฝีมืออีกสิบคนที่อันดับสูงขึ้นไป ตนกับศิษย์พี่ทั้งสองจะต้านทานไหวหรือ คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนส่ายหัว
“ไม่ใช่อย่างนั้น มวยใต้ดินของต่างประเทศไม่เหมือนของที่นี่”
จู้เหวยเฟิงเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่เข้าใจกฎของมวยใต้ดินนัก จึงอธิบายต่อว่า “น้องเยี่ย ทั้งอเมริกามีค่ายมวยใต้ดินตั้งร้อยกว่าแห่ง อันเดรวิชเป็นเพียงแชมป์ของเมืองๆหนึ่งเท่านั้น ยังมีบางคนที่เป็นแชมป์ของเมืองตัวเองและเมืองอื่นใกล้เคียงด้วย!”
“นั่นทำให้ผมอยากจะรอดูต่อไป…..”
ผู้ที่ฝึกวิชาการต่อสู้นั้นมักมีความต้องการจะประลองฝีมือกับคนอื่นอยู่ในสายเลือด ตั้งแต่เยี่ยเทียนออกจากลัทธิเต๋าตอนอายุสิบกว่าขวบ นอกจากตอนที่พ่ายแพ้ให้กับอาจารย์ของเฝิงเหิงหยู่เพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครอีกเลยจนโตป่านนี้
ดังนั้นเมื่อได้ฟังที่จู้เหวยเฟิงเล่าแล้ว เขาเกิดความคิดอยู่ในใจ ถึงแม้ไม่ได้ลงสนามแข่งจริง แต่ถ้าได้ไปดูการแข่งขันสักครั้งหาประสบการณ์ก็ดีเหมือนกัน
“เยี่ยเทียน นายทำอะไรอยู่น่ะ? แม่เรียกนายแหนะ!”
ระหว่างที่ใช้ความคิดมีเสียงชิงหย่าลอยมาจากในบ้าน หันกลับไปเห็นภรรยายืนอยู่หน้าประตูบ้านกวักมือเรียกเขา รีบตอบจู้เหวยเฟิงว่า “ประธานจู้ เรื่องนี้ขอผมคิดดูก่อน ถ้าอยากจะไปจริงๆ ผมค่อยโทรศัพท์ติดต่อคุณ”
จู้เหวยเฟิงหัวเราะเสียงดัง “ได้สิ น้องเยี่ย ฉันแค่เอ่ยปากชวนไปเรื่อย นายจะไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับนาย ความสุขในชีวิตมันสั้นนะ นายต้องรีบเข้าหน่อย!”
“นายนี่ ทุกคนกำลังรอนายอยู่นะ มายืนคุยอยู่ตรงนี้เสียนานเชียว” อวี๋ชิงหย่ามองดูเยี่ยเทียนเดินกลับเข้ามาก็อดบ่นไม่ได้
“อิอิ เมื่อกี้ฉันได้ยินมีคนเรียกแม่ได้คุ้นปากกว่าที่ฉันเรียกเสียอีก?” เยี่ยเทียนยิ้มขบขันเอ่ยต่อว่า “เพราะของขวัญที่แม่ให้มันแพงมากใช่ไหมเลยซื้อเธอไปได้แล้ว?”
เครื่องประดับชุดที่ซ่งเวยหลันมอบให้นั้น ในพิธีไม่เหมาะจะเปิดออกดู อวี๋ชิงหย่าจึงค่อยนำออกมาใส่ในภายหลัง แสงเพชรส่องประกายล้อแสงวิบวับ ดูงดงามที่สุด
“นายนี่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้ว” อวี๋ชิงหย่าถูกเยี่ยเทียนแหย่จนโมโหเดินกระทืบเท้ากลับเข้าบ้านไป
แขกกลับกันไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนในบ้าน งานเลี้ยงสุรามื้อค่ำยิ่งครึกครื้นกว่าตอนเที่ยงเสียอีก เยี่ยเทียนถูกพวกลูกพี่ลูกน้องรั้งไว้มอมเหล้า
เห็นคนหนุ่มสาวสนุกสนานกัน คนสูงวัยอย่างพวกโก่วซินเจียจึงรื่นเริงตามไปด้วย ดื่มสุรากันอย่างเมามัน จนเวลาล่วงไปเกือบเที่ยงคืนที่พระจันทร์ลอยสูงสุดฟ้า เสียงครึกครื้นในบ้านจึงค่อยๆสงบลง
ตามประเพณีแล้วห้องหอของเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าต้องอยู่บ้านเก่าร้อยปีตระกูลเยี่ย หลังจากส่งพวกศิษย์พี่ที่เมาแอ๋กลับไปพักผ่อนกันแล้ว เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าก็เข้าห้องหอ
“ดูนายสิ กลิ่นเหล้าหึ่งไปทั้งตัวเลย เหม็นจะตาย!”
อวี๋ชิงหย่าประคองเยี่ยเทียนที่เมามายโซเซเข้าห้องไป อดไม่ได้ใช้มือโบกไล่กลิ่นเหล้าใกล้จมูก เธอไม่ชอบกลิ่นสุราคละคลุ้งเช่นนี้
หลังจากดื่มเหล้ามื้อค่ำไป เยี่ยเทียนไม่ได้เดินลมปราณขับฤทธิ์สุรา หัวสมองมึนงง จ้องดูอวี๋ชิงหย่าที่สวมชุดแต่งงานสีแดง ดูอ้อนแอ้นสวยงามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ก็แค่กลิ่นเหล้าเอง? เธอรอฉันเดี๋ยวหนึ่ง!”
เยี่ยเทียนยังพอมีสติอยู่บ้าง ได้ยินคำติเตียนของชิงหย่าแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป ไม่ถึงห้านาทีฤทธิ์เหล้าก็ถูกขับออกจากร่างกายจนหมด แล้วอาบน้ำร้อนตาม
“เมียจ๋า วันนี้เธอยอมให้ฉันแล้วใช่ไหมจ้ะ?”
มองดูชิงหย่าที่นั่งอยู่ บนโต๊ะด้านข้างมีเทียนคู่สีแดงอันใหญ่ แสงเทียนช่วยขับส่องให้ดวงหน้าเจ้าสาวหวานละมุน เยี่ยเทียนทนไม่ไหวแล้ว พุ่งตัวเข้าไปกอดอวี๋ชิงหย่าเอาไว้ สะบัดมือเบาๆเพียงครั้งเดียวทั้งห้องมืดลงทันใด
“อยู่ตรงไหน? ทำไมใส่ไม่เข้าล่ะ?”
“เบาๆ หน่อยสิ….”
“ข้างล่าง ลงไปอีกหน่อย”
“โอ๊ย เจ็บ!”
เสียงเสื้อผ้าสวบสาบในความมืด บทสนทนาของคู่สามีภรรยาที่เข้าหอคืนแรก หลังจากนั้นเจ็ดแปดนาที เสียงครางด้วยความเจ็บปวดจากลำคอ ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจหนักๆที่สอดประสานกัน
………………………………………………