ในช่วงแรก ทั้งบริษัทนิลวารีจะมีพนักงานแค่หกคน แต่ทั้งหกคนนี้ถือเป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งแต่ละคนต่างก็เป็นทหารจากหน่วยต่างๆของอเมริกาบางคนเป็นครูฝึกทหารด้วย เริ่มจากให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยแก่เหล่าเศรษฐีทั้งหลาย และค่อยๆพัฒนาขึ้น
หลังจากนั้นสองปี บริษัทนิลวารี เริ่มกิจการใหม่คือการเป็นทหารมืออาชีพ รับทำภารกิจต่างๆตามแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาค เป็นหน่วยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการอาชีพสายนี้ กว่าร้อยละห้าสิบของอภิมหาเศรษฐีระดับโลกต่างเคยใช้บริการบริษัทแห่งนี้ทั้งนั้น
เช่นที่ซ่งเวยหลันส่งมาลาไกย์มาคอยคุ้มครองเยี่ยเทียน เขาก็เป็นหนึ่งในนายทหารชั้นแนวหน้าของบริษัทนิลวารี ซ่งเวยหลันออกคำสั่งให้ทหารเหล่านี้ออกไปในนามของบริษัท
การเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้น ซ่งเวยหลันแม้จะไม่ได้เข้าร่วมการบริหารบริษัท แต่กลับได้รับการรักษาความปลอดภัยส่วนตัวจากเหล่าทหาร
ทีมรักษาความปลอดภัยของซ่งเวยหลันมีทั้งนายทหารปลดประจำการดีเด่น แม้จะมีจำนวนเพียงยี่สิบกว่าคนแต่ประสบการณ์การรบมากมาย ทั้งปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวด จึงแตกต่างจากกลุ่มสมาคมหงเหมินอย่างชนิดที่สมาคมหงเหมินไม่สามารถเปรียบเทียบได้
ดังนั้นที่ซ่งเวยหลันบอกว่าเหล่าทหารสามารถพาพวกเธอออกจากซานฟรานซิสโกได้ไม่ใช่การคุยโม้ คนของสมาคมหงเหมินนั้นมีมากมาย แต่ในเมืองที่วุ่นวายอย่างเมืองนี้ พวกทหารยังคงสามารถพาซ่งเวยหลันออกไปได้อย่างปลอดภัย
ช่วงก่อนซ่งเวยหลันกลับประเทศจีนไป ด้วยกลัวว่าจะชักนำสายตาของผู้คนจำนวนมาก เธอจึงสั่งให้พวกเขาไปเก็บตัวที่ยุโรปกันก่อน โดยคิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมาถึงอเมริกาวันแรกจะต้องเรียกใช้พวกเขาทันที
ฟังที่มารดาอธิบายถึงพวกลูกน้องแล้ว เยี่ยเทียนเงียบไปครู่ใหญ่ ตอบว่า “แม่ รอให้พวกเขามาแล้ว แม่ไปนิวยอร์คกับพวกเขาก่อน”
การมีคนในครอบครัวอยู่ข้างกายนั้นเยี่ยเทียนจะทำการอันใดก็ไม่คล่องตัว อีกทั้งการเข้าร่วมสมาคมหงเหมินของเขาจะถูกพวกผู้อาวุโสในสมาคมหงเหมินใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ และแน่นอนว่าพิธีต้องไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น การที่ให้มารดาหลบไปอยู่ที่ปลอดภัยก่อน เยี่ยเทียนถึงจะลงมือได้อย่างวางใจ
ซ่งเวยหลันส่ายหัว ตอบว่า “เสี่ยวเทียน ถ้าจะไปต้องไปด้วยกัน แม่ไม่ทางทิ้งลูกไว้ที่นี่คนเดียว”
แม้เยี่ยเทียนจะไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามในสายตาเธอ แต่ซ่งเวยหลันรู้ดีว่าบุตรชายของเธอไม่ใช่คนที่ใครจะรับมือได้ง่ายๆ ถ้าทิ้งเขาไว้ในซานฟรานซิสโกคนเดียว ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเรื่องได้มากมายขนาดไหน?
“แม่ ถ้าแม่อยู่ที่นี่ต่อ จะทำให้ผมพะวงใจ เรื่องนี้วางใจให้ผมจัดการเองเถอะ แม่ไปรอฟังข่าวดีที่นิวยอร์คก็แล้วกัน!”
เห็นท่าทางส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วยของมารดา เยี่ยเทียนส่งสายตาให้แอนนาทีหนึ่งแล้วบอกว่า “แม่วางใจเถอะ ในสมาคมหงเหมินนั่นผมมีตำแหน่งสูงอยู่ พวกตาแก่หงำเหงือกพวกนั้นน่ะ ไม่กล้าทำอะไรผมหรอก แม่กับแอนนาไม่ใช่คนในสมาคมหงเหมิน อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์
“ใช่แล้วค่ะ เจ้านาย เยี่ยเทียนเก่งขนาดนี้ เขาอยู่ที่นี่ต่อได้โดยที่ไม่เกิดเรื่องแน่นอน” ถ้าเทียบกับเยี่ยเทียนแล้วแอนนาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของซ่งเวยหลันมากกว่า ครั้งนี้แอนนาแปลความหมายทางสายตาของเยี่ยเทียนออก จึงออกโรงช่วยพูดอีกแรง
“ถ้างั้น?” ซ่งเวยหลันรู้สึกลังเล ความจริงไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในนิยาย ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงก็ยังไม่ยอมจากไปแต่โดยดี คงกลัวว่าตัวเอกจะตายช้าเกินไป
เยี่ยเทียนเห็นท่าทีลังเลของมารดาก็เอ่ยว่า “แม่ วางใจเถอะครับ อย่างช้าที่สุดประมาณเดือนครึ่ง อย่างเร็วสิบวัน พวกเราจะได้กลับเมืองจีนด้วยกัน”
“เอาเถอะ แม่ไปนิวยอร์คก่อน ลูกต้องระวังตัวให้มากนะ!” ซ่งเวยหลันคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอมตกลง การอยู่ที่นี่ต่อของเธอมีแต่จะทำให้บุตรชายกังวลใจ สู้ยอมไปยังจะดีเสียกว่า
“ครับ ผมหิวจังเลย แม่ เราสั่งอาหารขึ้นมาทานที่นี่เถอะครับ”
พอมารดายอมตกปากรับคำ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกวางใจลง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพวกนักพรตนักบวชจะฝึกญาณวิชาให้สำเร็จได้ ต้องตัดขาดจากอารมณ์และกิเลสด้วยเหตุนี้นี่เอง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาและอารมณ์ความคิดละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกับคนรักคนในครอบครัว ไม่มีทางจะตัดกันให้ขาด การมีคนที่ห่วงอยู่ข้างหลัง จะทำการใดก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ไม่มีทางที่ทำการใดได้อย่างเต็มที่
หลังรับประทานอาหารเป็นเพื่อนมารดาแล้ว เยี่ยเทียนออกไปเดินเล่นรอบโรงแรมเพียงลำพัง เขารู้สึกว่ามีสายตาคอยจับจ้องเขาอยู่เรื่อยๆ คงจะเป็นพวกลูกน้องของตู้เฟย
แม้ว่าในใจอยากจะออกไปเดินเที่ยวตามตลาดที่มีชื่อเสียงของคนเชื้อสายจีน แต่ความปลอดภัยของมารดามาเป็นอันดับแรก หลังจากเดินเล่นรอบๆแล้วเยี่ยเทียนจึงกลับเข้าห้องพัก
คืนแรกในซานฟรานซิสโกผ่านไป เช้าวันต่อมาโทรศัพท์ในห้องเยี่ยเทียนดังขึ้น เสียงของตู้เฟยดังมาตามสาย “คุณชายน้อย มีคนบางกลุ่มกำลังมีปัญหากับคนของผม พวกเขาน่าจะเป็นพวกทหารมืออาชีพ จะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปไหมครับ?”
“เป็นคนของแม่ผมครับ ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ตู้เฟย เกรงว่าคนของคุณจะห้ามพวกเขาไม่อยู่น่ะสิ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดากำลังเข้ามาใกล้ห้องพักของเขา ต้องเป็นพวกลูกน้องของแม่ที่มาถึงแล้วแน่เลย
“คุณชายน้อย ผมจะส่งคนไปเพิ่ม”
ที่ปลายสายสีหน้าของตู้เฟยแดงก่ำไปหมด ความจริงเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนพูด ลูกน้องของเขาสิบกว่าคนไม่สามารถต่อต้านชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่สี่คนนั้นได้ ลูกน้องทั้งหมดถูกโยนเกลื่อนอยู่บนพื้นในตรอกหลังโรงแรม
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ไม่ต้องเพิ่มคนแล้ว วันนี้แม่ของผมจะไปนิวยอร์ค คุณให้ลูกน้องช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่อย”
“เอ๋? เขาจะไปนิวยอร์คก่อน?” ตู้เฟยได้ยินก็ตะลึง รีบพูดต่อว่า “อย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นหากเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น เกรงว่าเธอจะถูกทำร้ายเอาได้”
เรื่องที่มีชาวต่างชาติสี่คนบุกเข้ามาในโรงแรม ตู้เฟยเองก็ไม่ได้เชื่อในกำลังรบของลูกน้องตนสักเท่าไหร่ หากคนที่บุกเข้ามาเป็นคนของเหลยหู่ละก็ คำโอ้อวดที่เขาเคยคุยไว้กับเยี่ยเทียนคงจะกลายเป็นเรื่องตลก
“แอนนา เดี๋ยวก่อน โทรศัพท์ยืนยันอีกทีหนึ่งก่อน!”
พอวางสายแล้วกริ่งหน้าประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงเปิดประตูห้องนอนของแอนนา เยี่ยเทียนรีบตะโกนห้ามเธอไว้ เพราะเยี่ยเทียนรู้สึกว่าพลังจิตสังหารจากคนเบื้องหลังประตูช่างรุนแรงอันตรายเกินไป พวกเขายังมีอาวุธด้วย
แอนนาต่อสายคุยแล้วก็พยักหน้า “ถูกต้อง เป็นคนของเราเอง!”
“โอ้ แอนนาที่รัก เธอนับวันยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นทุกที โอ้ ไม่ไหวแล้ว ฉันอยากได้จะตายอยู่แล้ว!”
พอประตูเปิดออก ชายชาวต่างชาติรูปร่างสันทัดพุ่งตัวเข้าใส่แอนนา กางแขนออกทั้งสองข้าง ต้องการจะรวบกอดตัวเธอไว้
แต่การต้อนรับของแอนนาคือลูกเตะรองเท้าส้นสูงที่พุ่งตรงเข้าใส่เป้ากลางขา คนๆนั้นตกใจจนหุบขาแทบไม่ทัน ร้องตะโกนว่า “แอนนา ฉันยังไม่มีแฟนเลยนะ เธอคงไม่ใจร้ายหรอกใช่ไหม?”
แอนนาถลึงตาใส่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างหงุดหงิด “เฟร็ด ในประเทศจีนมีคนจำพวกหนึ่งเรียกว่าขันที ฉันว่า นายคง อยากจะกลายเป็นขันทีซะแล้ว!”
“ขันที ขันทีคืออะไร?” เฟร็ดไม่เข้าใจคำศัพท์ใหม่ ร้องถามอย่างงุนงง
“แล้วเธอเคยได้ยินคำว่ากระเทยของประเทศไทยไหม?”
เยี่ยเทียนก้าวออกมาจากเบื้องหลังของแอนนา “ขันทีน่าจะเป็นไปได้มากกว่ากระเทยนะ หรืออาจจะใช้คำว่าคนแปลงเพศยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นอีก”
“คุณเป็นใคร?”
เฟร็ดที่กำลังคุยเล่นหยอกล้อสนุกสนาน พอได้ยินเสียงเยี่ยเทียน ร่างทั้งร่างก็แข็งเกร็งขึ้น ถอยหลังเยื้องไปทางด้านขวาสองก้าวใหญ่ แผ่นหลังติดผนังแล้วใช้มือขวาดึงด้ามปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา
คนอื่นๆต่างมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน พวกเขากระจายตัวเป็นวงล้อมเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“ปฏิกริยาเร็วใช้ได้นี่”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แม้รูปร่างของทหารในกลุ่มนี้ไม่สูงใหญ่เท่ากลุ่มของมาลาไกย์ แต่หากจะใช้พวกเขาต่อกรกับคนของสมาคมหงเหมินนั้นถือว่าเพียงพอแล้ว การให้มารดาไปกับพวกเขา เยี่ยเทียนสามารถวางใจได้
“หยุดนะ เฟร็ด เขาเป็นลูกชายของเจ้านาย” ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย แอนนารีบตะโกนห้ามทัพ แม้ว่าอยากจะให้เยี่ยเทียนสั่งสอนเจ้าเฟร็ดเสียหน่อย แต่มันยังไม่ถึงเวลา
“ลูกชายของเจ้านาย?”
ฟังที่แอนนาพูดแล้ว พวกเขาต่างผ่อนคลายลง โดยเฉพาะเฟร็ด ตอนที่เขาชักปืนออกมานั้น ชายหนุ่มตรงหน้าได้แผ่คลื่นรังสีอำมหิตที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
พลังงานแบบนี้เมื่อก่อนตอนที่เฟร็ดฝึกทหารอยู่ที่ไซบีเรีย แล้วเกิดตกอยู่ในวงล้อมหมาป่า ก็เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นเช่นกัน เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจนขนหัวลุก เกือบจะชักปืนออกมา
“เข้ามาให้หมดเถอะ” เยี่ยเทียนมองดูคนทั้งสี่แล้วเดินเข้าไปในห้อง
“อรุณสวัสดิ์ครับเจ้านาย!”
เข้าไปถึงห้องรับแขกแล้ว ซ่งเวยหลันเดินออกมา พวกเฟร็ดเอ่ยคำทักทายนายหญิง ตั้งแต่เป็นทหารปลดประจำการที่ไม่มีอะไรติดตัว ตอนนี้มีชีวิตที่หรูหราได้ก็เพราะนายหญิงผู้นี้มอบให้
“เฟร็ด ทำไมมีแค่พวกเธอสี่คนเองเล่า?” ซ่งเวยหลันขมวดคิ้วถาม
“เจ้านายครับ ถ้าทั้งยี่สิบแปดคนมากันหมด คนมันจะเยอะเกินไป ดังนั้นมีแค่พวกเราสี่คนที่มารับท่านครับ!” ต่อหน้าซ่งเวยหลัน เฟร็ดเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาทั้งสุขุมเยือกเย็นดูต่างกับเฟร็ดคนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
ซ่งเวยหลันพยักหน้าเห็นด้วย “ดี รอฉันไปแล้ว พวกนายทั้งสี่คนก็ไปติดตามเยี่ยเทียน!”
“ครับ!” พวกเฟร็ดรับคำแข็งขัน ใช้สายตาสงสัยประเมินเยี่ยเทียนดูคราวหนึ่ง พวกเขาไม่ค่อยเชื่อว่ากระแสอันตรายที่รู้สึกนั้นจะถูกส่งมาจากตัวเยี่ยเทียน
“แอนนา เก็บของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง? ฉันจะลงไปส่งพวกเธอก่อน!”
งานประชุมสมาคมหงเหมินใกล้เข้ามา ตอนนี้ในซานฟรานซิสโกทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนอยู่ในถังระเบิด ซ่งเวยหลันอยู่ต่ออีกวันก็ยิ่งเพิ่มความอันตรายมากขึ้น ขอแค่มารดาออกจากที่นี่ไปแล้ว เยี่ยเทียนจะได้ตั้งใจลงมือต่อกรกับเหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกเสียที
………………………………………………….