ย่านไชน่าทาวน์ในซานฟรานซิสโกมีบ้านที่สร้างคล้ายเรือนสี่ประสานเรียงกันอยู่เป็นแถว พื้นที่โดยรวมทั้งหมดหลายพันตารางเมตร บ้านเก่าเหล่านี้ถูกห้อมล้อมด้วยร้านค้าแผงลอยมากมาย
เสียงโหวกเหวกซื้อขายต่อรองราคาดังขึ้นจากภายนอก ในเรือนสี่ประสานกลับเงียบสงบ บรรดาผู้เฒ่าผมขาวออกมานั่งสุมหัวกันโขกหมากรุก
มุมด้านตะวันออกมีบ้านหลังใหญ่ มีคนหนุ่มจำนวนเกือบร้อยกำลังฝึกฝนกันอย่างแข็งขัน ส่งเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันดัง “ฮ่า…ฮ่า” ที่นี่เป็นตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมิน
ชายวัยสี่สิบเศษรูปร่างสูงใหญ่กำลังเดินเข้าไปใกล้กลุ่มคนหนุ่มเหล่านั้น ดูท่าทางของบางคนที่ออกท่าทางไม่ถูกต้องแล้วเข้าไปสั่งสอนโดยใช้เท้าเตะหรือใช้มือดัน พอมีคนล้มคนหนึ่งจะมีเสียงหัวเราะตามมา
“ท่านหู่ โทรศัพท์ครับ คุณชายซ่งโทรมา!” ลูกน้องหนุ่มสวมชุดสูทหนังที่ดูแตกต่างจากคนอื่น ค่อยๆเดินเข้ามาหาชายวัยกลางคน
“เหวินกวง เจ้านั่นไม่ได้กลัวว่าการทรยศหักหลังของเขาจะถูกคนตระกูลซ่งจับได้ใช่ไหม?”
เหลยหู่ยิ้มเย็น พูดว่า “ตอนจะไปก็รีบๆร้อนๆ เหมือนกลัวว่าจะถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับสมาคมหงเหมินของเรา ทำไมอยู่ๆถึงโทรมาอีก?”
เหลยหู่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนผู้เป็นบิดา ความสูงน่าจะประมาณ190เซนติเมตร แต่หน้าตาคมคายด้วยจมูกโด่งงองุ้มเหมือนเหยี่ยว ทำให้ไม่รับกับท่าทางหยากร้านของเขาเลย มองดูแล้วให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นอำมหิต
แต่ ณ ตอนนี้เหลยหู่กำลังอยู่ในช่วงวัยที่แข็งแรง มีชีวิตมั่นคงและหวังถึงความเจริญรุ่งเรือง เนินข้างขมับทั้งสองนูนเด่น แววตามีประกายเข้มแข็ง ทำให้คนอื่นๆมักหลบสายตา อิริยาบถการเคลื่อนไหวแสดงว่าเคยฝึกกำลังภายใน
เขายืนอยู่ต่อหน้าคนในสำนักนับร้อย ให้ความรู้สึกราวกับเขาเป็นพญาอินทรีย์ในฝูงนกกา เรือนอันโอ่โถงแห่งนี้ดูไม่เพียงพอจะรองรับต่อความทะเยอทะยานของเขาได้เลย
“ท่านหู่ เจ้านั่นมันสารเลวขนาดนี้ยังอยากจะตั้งตัวเป็นใหญ่อีก เขาไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง”
ลูกน้องหนุ่มข้างกายเหลยหู่แต่งตัวด้วยชุดสากล แต่เมื่อเอ่ยปากพูดล้วนเป็นถ้อยคำหยาบช้าทั้งนั้น ดูราวกับคนที่ไม่มีการศึกษา
“ฮ่าฮ่า เหวินกวง ฉันชอบคำพูดแกนะ…”
เหลยหู่ฟังจบก็หัวเราะออกมา ตบบ่าลูกน้องเบาๆ ตอบว่า “แกนี่ต่างกับพวกคนมีการศึกษามากจริงๆ สมแล้วที่เป็นศิษย์ของสำนักเรา”
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อเผิงเหวินกวง พ่อของเขาเคยเป็นนักรบแนวหน้าของตำหนักอาญา สิบกว่าปีก่อนได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่จนถูกแทงทั่วร่างมากถึงสิบแปดแผลจนเสียชีวิต เผิงเหวินกวงจึงเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของคนในสมาคมหงเหมิน
เขาต่างจากสมาชิกคนอื่นๆที่ชอบฝึกดาบฝึกกระบอง เผิงเหวินกวงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่เด็ก ต่อมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขากฎหมายได้ เมื่อเรียนจบแล้วก็ติดตามเหลยหู่ จนกลายเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูงคนหนึ่ง
แต่ด้วยความที่โตมาในสังคมชั้นล่าง เผิงเหวินกวงแม้ภายนอกจะดูเหมือนบัณฑิตทรงภูมิ หากแต่เวลาเอ่ยถ้อยคำออกมานั้นกลับฟังดูเหมือนคนชั้นล่างที่ไม่เคยเรียนหนังสือ เขาเป็นที่ชื่นชอบของเหลยหู่มาก
เมื่อเดินเข้าไปในโถงด้านในแล้วเหลยหู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย “เสี่ยวหลง ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ไม่ให้ติดต่อกันหรอกหรือ? ทำไมนายถึงโทรมาหาลุงหู่ได้เล่า?”
แม้เลือกที่จะร่วมมือกับซ่งเสี่ยวหลง แต่กับคนที่มีใจคิดทรยศอย่างซ่งเสี่ยวหลงแล้ว เหลยหู่ยังรู้สึกดูถูกดูแคลน เพราะการกระทำเยี่ยงนี้เป็นกฎข้อห้ามของสมาคมหงเหมิน
“ลุงหู่ ได้ยินว่าอาหญิงของผมไปถึงซานฟรานซิสโกแล้วหรือ?”
เสียงของซ่งเสี่ยวหลงแหบต่ำ ดูท่าเขาน่าจะไปถึงที่แอฟริกาที่อากาศร้อนระอุแล้ว ตอนกลางคืนเขาเปิดเครื่องปรับ อากาศเย็นเกินไปจึงเป็นหวัดเล็กน้อย
“เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว พี่หลันพักอยู่ที่โรงแรมฮิลตัน”
ในซานฟรานซิสโกไม่มีเรื่องไหนจะรอดพ้นสายตาของคนในสมาคมหงเหมินไปได้ ตั้งแต่ซ่งเวยหลันลงจากเครื่องบิน เหลยหู่ก็ทราบข่าวทันที แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตู้เฟยจะไปรับซ่งเวยหลันด้วยตัวเอง ทำให้แผนการของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย
ความจริงแล้วซ่งเวยหลันและเหลยหู่รู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว เขาอ่อนวัยกว่าเธอไม่กี่ปี จึงเรียกว่าพี่หลันจนชินแล้ว
“ลุงหู่ แล้ว…ถ้างั้นทำไมลุงไม่รับอาหญิงไปที่สมาคมหงเหมินเสียเลย?”
เสียงของซ่งเสี่ยวหลงฟังดูสั่นคลอน เขารู้ดีว่าซ่งเวยหลันมีอำนาจในหมู่ตระกูลซ่งที่อยู่ต่างประเทศ ถ้าเธอไปที่นิวยอร์คได้ การก่อความวุ่นวายครั้งนี้ก็จะถูกเธอกำราบลง
แม้เงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์จะอยู่ในมือ แต่เขายังต้องแบ่งให้เหลยหู่ครึ่งหนึ่ง? อีกทั้งในมือของซ่งเวยหลัน ยังกุมทรัพย์สินเอาไว้อีกหลายแสนล้าน
ซ่งเสี่ยวหลงตระเตรียมคนเอาไว้แล้ว พร้อมที่จะเข้าควบคุมกิจการที่ซ่งเวยหลันสร้างมาทั้งหมดได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าต้องให้เหลยหู่ควบคุมตัวซ่งเวยหลันเอาไว้และบีบบังคับให้เธอลงชื่อในเอกสารโอนหุ้นทั้งหมดให้ได้เสียก่อน
“ฉันจะทำอะไร ต้องให้นายสอนด้วยเหรอ?”
ฟังซ่งเสี่ยวหลงพูดจบเหลยหู่หัวเราะเสียงเย็น “เสี่ยวหลง เรื่องบางเรื่องน่ะใจร้อนไม่ได้ พี่หลันเป็นใคร? ถ้าเรื่องที่ฉันไปกักตัวเธอแพร่งกระจายออกไปละก็ จะต้องส่งผลต่อสังคมชั้นสูงในอเมริกาแน่นอน”
“แต่ว่าลุงหู่ โอกาสหาได้ยากนะ ถ้าอาหญิงไปถึงนิวยอร์คแล้ว เรื่องที่พวกเราลงทุนลงแรงไปตอนแรกก็จะเสียเปล่านะ อีกอย่าง อีกอย่างเงินก้อนนั้นผมก็โอนไปให้ลุงไม่ได้ด้วย”
ซ่งเสี่ยวหลงร้อนใจ จึงหลุดปากพูดคำข่มขู่ออกไป เงินก้อนที่ว่าเป็นเงินทุนมูลค่าสูงถึงเกือบหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจะตกอยู่ในมือเขาทั้งหมด คนแซ่เหลยจะไม่ได้ส่วนแบ่งสักบาท
“เอ๋? เสี่ยวหลง นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ?” เหลยหู่หน้าหักลง น้ำเสียงเรียบเย็นกว่าตอนแรก
ซ่งเสี่ยวหลงรู้ตัวว่าเขากำลังพูดจาล่วงเกิน จึงรีบอธิบาย “ผมมีหรือจะกล้า? ลุงเหลย ถ้าอาหญิงพูดให้คนในสำนักงานให้ความร่วมมือในการสืบสวนได้สำเร็จ เป็นไปได้จะทำการแช่แข็งเงินก้อนนั้นไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วผมจะเอาเงินที่ไหนส่งให้ลุงละครับ?”
สิ่งที่ซ่งเสี่ยวหลงพูดเป็นความจริง ถึงแม้การกระทำของเขาในครั้งนี้เกือบจะไม่มีช่องโหว่ แต่เงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านนั่นไม่ได้อยู่ๆก็หายไปเฉยๆ แต่ผ่านการค่อยๆโอนออกไปทีละไม่มากจนหมด
แต่ด้วยเวลาอันสั้น เงินก้อนนี้ยังสามารถสืบหาเบาะแสได้ ด้วยชื่อเสียงและเส้นสายของซ่งเวยหลันในอเมริกา ไม่แน่ว่าอาจจะตามเงินคืนมาได้ทั้งหมด
“ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
เหลยหู่ชะงักไป หันไปมองเผิงเหวินกวงทีหนึ่ง เห็นเผิงเหวินกวงพยักหน้าให้ สีหน้าจึงดูผ่อนคลายลงบ้าง ตอบกลับว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว นายวางใจเถอะ พี่หลันออกไปจากซานฟรานซิสโกไม่ได้แน่นอน!”
“เหวินกวง เจ้านั่นมันพูดจริงหรือ?” ในสมาคมหงเหมินมักจะใช้โทรศัพท์แบบนี้คือ เสียงจากปลายสายฝ่ายตรงข้ามจะดังอย่างชัดเจน เหลยหู่รู้ว่าเผิงเหวินกวงต้องได้ยิน
“ก็อาจมีความเป็นไปได้”
เผิงเหวินกวงพยักหน้า ถามต่ออย่างกังขาว่า “ท่านหู่ ทำไมท่านถึงไม่ควบคุมตัวซ่งเวยหลันไว้ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินเสียเลยเล่า? ท่านตู้คงจะไม่กล้าหาเรื่องท่านหรอกครับ?”
เหลยหู่ส่ายหัวตอบว่า “พี่เฟยกับฉันครอบครัวเราสนิทกันมาก ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้ขัดแย้งกับเขา”
แม้ว่าตู้เฟยจะออกจากสมาคมหงเหมินไปสิบกว่าปี แต่พวกลูกน้องสมัยตอนที่บิดาของตู้เฟยนั่งตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ ตอนนี้ต่างมีอิทธิพลเข้มแข็งในสมาคมหงเหมินกันเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกำลังที่ไม่อาจประมาทได้
แม้เหลยหู่จะไม่ได้เกรงกลัวตู้เฟย การต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ การผลักดันให้ตู้ เฟยกลายจากมิตรเป็นศัตรูหรือยิ่งไปกว่านั้นคือการทำให้เรื่องราวใหญ่โต อาจจะหนีไม่พ้นหูพ้นตาของเหลยเจิ้นเยว่
“ท่านหู่ แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี?” เผิงเหวินกวงถาม
“ทำยังไง? ยังต้องถามอีกเหรอ?”
เหลยหู่หรี่ตาลงพูดต่อว่า “ให้อาหงพาคนห้าสิบคนไป ยับยั้งพี่หลันเอาไว้ให้ได้…”
ปกติเหลยหู่เป็นคนไม่ค่อยมีน้ำใจอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ปิดบังบิดาของตนกับซ่งเสี่ยวหลงถึงแผนการกักตัวซ่งเวยหลันเอาไว้
ตอนแรกเพราะเห็นแก่หน้าของตู้เฟย เหลยหู่ไม่อยากทำเรื่องเกินเลย แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินจำนวนมหาศาลนั้น เขาก็จะไม่สนใจคนอื่นแล้ว ถ้าไม่มีเงิน คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเหล่าสมาชิกในสมาคมหงเหมินที่ตนเคยให้ไว้จะกลายเป็นแค่เรื่องน่าขันในสายตาของคนอื่น
เห็นเผิงเหวินกวงรับคำแล้วหันหลังจะเดินออกไป แต่ถูกเหลยหู่เรียกเอาไว้พูดว่า “ใช่แล้ว ให้อาหงพาคนไป ขอแค่อย่าทำร้ายคนในสมาคมหงเหมิน ส่วนคนอื่นที่อยู่กับพี่หลันนั้นไม่ต้องเกรงใจ”
หลังจากเรื่องนี้จบลง สมาคมหงเหมินกับตระกูลซ่งจะไม่ได้ญาติดีกันอีก เหลยหู่ไม่สนใจว่าจะลงมือเหี้ยมโหดเกินไป
คำโบราณว่าไว้ บัณฑิตได้พบกับทหารแล้วหลักการต่างๆจะอธิบายไม่ออก เหลยหู่เดิมเป็นนักเลงเก่า เขาไม่ได้คิดถึงผลกรรมที่จะได้รับจากสิ่งที่ทำกับซ่งเวยหลัน บนโลกนี้มีคนอยากให้เขาตายอีกมาก แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตเสพสุขอย่างดีอยู่ไม่ใช่หรือ?
………………-
“เจ้านาย ข้างนอกปลอดภัยดีครับ!”
ขณะที่เหลยหู่กำลังออกคำสั่ง ทางกลุ่มของซ่งเวยหลันก็กำลังออกจากห้องสูทของโรงแรม แต่พวกเขาไม่ได้ลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่างเหมือนเคย แต่ไปที่ชั้นสี่ แล้วเปลี่ยนไปใช้ลิฟท์พนักงาน และออกจากโรงแรมไปทางประตูด้านหลัง
รถเบนซ์ที่ดูธรรมดาคันหนึ่ง แต่ติดตั้งกระจกกันกระสุนและตัวถังรถเป็นเหล็กกล้าหนาจอดเทียบท่ารอยู่ที่ประตูหลังของโรงแรม ห่างจากรถคันนั้นไปสิบกว่าเมตรมีกลุ่มชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนที่ใบหน้าบวมแดงยืนดูอยู่
ภายใต้การคุ้มครองของพวกเฟร็ด ซ่งเวยหลันและแอนนาขึ้นไปนั่งบนรถเบนซ์แล้ว
“คุณชายน้อย…” เสียงที่เรียกทำเอาเยี่ยเทียนที่กำลังจะก้าวขาขึ้นรถรีบหดขากลับแทบไม่ทัน
“คุณชายน้อย ผมเป็นคนไม่เอาไหน คนของเหลยหู่กำลังมาที่นี่ คุณหนีไปหลบที่นิวยอร์คก่อนก็ดี”
ต่อหน้าเยี่ยเทียนตู้เฟยแสดงสีหน้าละอายใจอย่างสุดซึ้ง ในดวงตาปรากฏแววของความผิดหวัง เขาคิดว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนใจติดตามซ่งเวยหลันไปด้วย
แม้ตู้เฟยจะไม่ได้ตั้งความหวังเรื่องตำแหน่งหัวหน้าสมาคมหงเหมินมากนัก แต่คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้เขาเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา แต่ถ้าตอนนี้เยี่ยเทียนจากไป เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“ผมไม่ไปหรอก รอให้ผมส่งแม่เสร็จก่อน แล้วผมจะกลับมา”
เยี่ยเทียนมองดูตู้เฟย แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ที่นี่อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว คุณช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้ผมที คืนนี้ผมค่อยโทรหาคุณ”
………………………………………………..