ตู้เฟยฟังที่เยี่ยเทียนพูดจบ เขาชี้ไปที่รอบนอกของเรือนสี่ประสานบอกว่า “ตรงนั้นไว้สำหรับให้เพื่อนชาวต่างชาติพัก พวกเฟร็ดไปอยู่ที่นั่นได้”
แม้ว่าสมาคมหงเหมินจะเป็นองค์กรของคนจีนโดยแท้ แต่เมื่ออยู่ในต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่สามารถกีดกันคนต่างชาติอย่างสิ้นเชิงได้
ที่นี่เป็นศูนย์กลางของฐานบัญชาการใหญ่ไม่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้าออก แม้แต่สมาชิกทั่วไปก็ยังไม่มีสิทธิ์ ศูนย์บัญชาการมีการคุ้มกันแน่นหนา
“คุณชาย พวกเราพักอยู่ด้านนอก ถ้าคุณมีเรื่องอะไรโทรศัพท์หาพวกเราได้เลย!”
เฟร็ดเรียกเยี่ยเทียนตามที่แอนนาเรียก เขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่ๆมีแต่คนจีนเข้าออกมากนัก เพราะรู้สึกคล้ายกับว่ามีสายตาที่คอยสอดส่องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
“ได้ พวกนายอย่าก่อเรื่องแล้วกัน” เยี่ยเทียนพยักหน้า โบกมือไล่ให้พวกเฟร็ดไปได้
“คุณชายน้อย คุณไปพักอยู่กับผมเถอะ”
พวกเฟร็ดแยกไปแล้ว ตู้เฟยเดินนำทางต่อไป เยี่ยเทียนพบว่าเรือนสี่ประสานนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนเฝ้ายาม แต่รอบด้านติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ตลอดทาง แม้แต่แมลงวันสักตัวบินผ่านคงหนีไม่พ้นกล้องพวกนี้
“คุณชายน้อย ข้างหน้าก็ถึงแล้ว ที่นี่ไม่สู้ที่ปักกิ่ง คุณพักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
เรือนสี่ประสานเหล่านี้สร้างขึ้นมาครึ่งศตวรรษแล้ว ใช้เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของสมาคมหงเหมินและเป็นที่พักอาศัยของคนสำคัญในองค์กร จึงเป็นศูนย์กลางฐานอำนาจที่สำคัญที่สุด
“เอ๋? ตู้เฟย คุณมีความขัดแย้งกับคนภายในด้วยเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองไปตามทิศที่ตู้เฟยชี้ ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพราะเขารู้สึกว่ามีคนอยู่สิบกว่าคนที่ขวางทางอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของตู้เฟย
“ไม่มีนะ?”
ตู้เฟยสั่นหัวตอบอย่างประหลาดใจ พอดีกับช่วงที่เดินเลี้ยวมุม มองเห็นภาพประตูตรงหน้า แล้วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“เหลยหู่ พวกนายมาทำอะไร?” ตู้เฟยก้าวออกไปข้างหน้า แม้รูปร่างเขาจะไม่สูงใหญ่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหลยหู่แล้วเขาไม่ได้ดูด้อยกว่าเลย
“พี่เฟย ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร ขอแค่ให้พี่ส่งคนให้ผม!” เหลยหู่ชี้นิ้วไปที่เยี่ยเทียน น้ำเสียงฟังดูเด็ดขาด
“นายอยากได้ตัวเขา?”
ตู้เฟยยิ้มเยาะตอบว่า “หู่จื่อ ความสัมพันธ์ของครอบครัวเราทั้งสองไม่เลวเลยทีเดียว ฉันเองก็เห็นเธอเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ฟังคำเตือนของพี่เฟยเถิด คนบางคนน่ะ นายอย่าไปหาเรื่องเขาดีกว่า!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นลูกน้องเก่าของบิดาตู้เฟย ทั้งสองตระกูลจึงสนิทสนมกัน แต่เมื่อบิดาของตู้เฟยเสียชีวิตไป ด้วยเพราะทายาทมีน้อยจึงทำให้ตระกูลตู้เสื่อมลง อำนาจชื่อเสียงไม่ได้มีมากเท่าเมื่อก่อน นี่เป็นเหตุผลที่ตู้เฟยตัดสินใจบินกลับประเทศจีน
กลับกลายเป็นตระกูลเหลยที่มีอำนาจขึ้นมา โดยเฉพาะสามพ่อลูกตระกูลเหลยซึ่งต่างรับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญของสมาคมหงเหมิน จึงไม่ได้ให้ความเคารพตู้เฟยเท่าที่ควร ทำให้ทั้งสองตระกูลเกิดความห่างเหิน
อีกทั้งเหลยหู่จัดอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มไฟแรงของสมาคมหงเหมิน ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสจะทำท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในใจนั้นแอบก่นด่าพวกเขาอย่างเสียหาย มีคำพูดบางคำที่ลอยมาถึงหูตู้เฟย ทำให้ตู้เฟยไม่ค่อยพึงใจในตัวเหลยหู่นัก
“พี่เฟย พี่เป็นคนที่ผมเคารพ ผมไม่อยากมีปัญหากับพี่หรอก แต่เรื่องนี้พ่อของผมสั่งเอาไว้ ถ้าพี่ขัดขวาง ผมต้องลำบากใจมาก!”
เหลยหู่ฟังคำเตือนของตู้เฟยจบก็เปลี่ยนสีหน้า เขารู้ว่าตู้เฟยไม่พอใจเขา อีกทั้งตำแหน่งยังสูงกว่าเขาอีก จึงเอ่ยอ้างบิดาขึ้นมาข่ม
ความจริงแล้วเหลยหู่คิดไม่ถึงว่าจะได้เผชิญหน้ากับตู้เฟยเร็วอย่างนี้ แต่เพราะลูกน้องที่เขาส่งไปไปถึงไม่ทัน ไม่อาจรั้งตัวซ่งเวยหลันไว้ได้ พอได้ยินว่าบุตรชายของซ่งเวยหลันยังอยู่ที่นี่ เขาถึงจัดคนมาดักรออยู่หน้าประตูบ้านตู้เฟย
“ลุงเหลยคงจะไม่รู้เรื่องนี้ล่ะสิ?”
ตู้เฟยหัวเราะเสียงเย็น ตอบว่า “หู่จื่อ เรื่องบางเรื่องนายอย่าทำจนหมดหนทางเลย รับเงินหลายหมื่นล้านของคนอื่นแล้ว ยังอยากจะเอาให้ถึงชีวิตอีกเหรอ? เยี่ยเทียนเป็นแขกคนสำคัญของฉัน ในสมาคมหงเหมินนี่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้!”
ตู้เฟยโกรธจริงแล้ว เขาพาเยี่ยเทียนเข้าสมาคมหงเหมินด้วยตัวเอง แต่เมื่อถูกคนขัดขวางและต้องการมาพาตัวเยี่ยเทียนไป ถ้าเรื่องนี่ถูกเผยแพร่ออกไป เขาคงเสียหน้าแย่เลย
“พี่เฟย จะไม่ไว้หน้าฉันจริงๆเหรอ?”
สีหน้าของเหลยหู่เคร่งขรึม เขาคิดว่าถ้าอ้างถึงชื่อบิดาตู้เฟยน่าจะให้เกียรติกันบ้าง คิดไม่ถึงว่าตู้เฟยจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“เหลยหู่ นายกลับไปเถอะ ไว้ฉันค่อยไปหาลุงเหลยอีกที” ตู้เฟยโบกมือไล่ เดินเข้าไปใกล้เหล่าสมาชิกที่เป็นลูกน้องของเหลยหู่ แล้วออกเสียงขู่ “จะทำไม พวกแกกล้าลามปามฉันเหรอ?”
“ท่านหู่ ใจเย็น!”
เผิงเหวินกวงที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลยหู่รั้งเสื้อเขาไว้เบาๆ ตอนนี้ในศูนย์บัญชาการสมาคมหงเหมิน ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกคนจำนวนมากจับตามอง
“มิกล้า พี่เฟย ขอให้พี่คุ้มครองเขาไปให้ตลอดแล้วกัน!”
เหลยหู่กัดฟันกรอด หันหลังเดินลิ่วๆออกไป ลูกน้องที่พามาก็แยกย้ายทางใครทางมัน กฎของสมาคมหงเหมินเข้มงวดมาก เหลยหู่ไม่กล้าลงมือกับตู้เฟย เพราะหากลงมือจริงแม้แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยผู้เป็นบิดาก็ไม่มีทางช่วยเขาได้
“มันไม่เคยตายจริงๆ!”
เยี่ยเทียนเห็นตอนที่เหลยหู่เดินจากไปได้ส่งสายตาอาฆาตมาที่ตน เยี่ยเทียนส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย ถ้าปลดเอาภาพภายนอกออก คนในยุทธภพอย่างไรก็เป็นคนในยุทธภพ
สมาคมหงเหมินได้มีการเข้าร่วมในธุรกิจการค้าที่ถูกกฎหมาย แต่เนื้อในแล้วยังยึดหลักปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่ ในสายตาของเหลยหู่ เยี่ยเทียนเป็นแค่แพะที่เป็นเหยื่อสังเวยตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่เหลยหู่ไม่รู้ว่า แพะอย่างเยี่ยเทียนตัวนี้หากเกิดใจอำมหิตขึ้นมาแล้วก็สามารถกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
“คุณชายน้อย เหลยหู่เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม คุณต้องระวังตัวให้มาก!”
เบื้องหลังเหลยหู่มีเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นที่พึ่งพิง ยังมีอำนาจเป็นหัวหน้าตำหนักอาญา ตู้เฟยเองก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เยี่ยเทียนส่ายหน้าตอบว่า “คุณรีบไปจัดการเรื่องงานเข้าสมาคมหงเหมินเถอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ความสามารถเฉพาะบุคคลทำให้พวกเขาเลือกวิธีการที่รวดเร็วง่ายดายที่สุดจัดการกับปัญหา ดังคำโบราณที่กล่าวว่า “จอมยุทธใช้การต่อสู้บุกเข้าไปในที่ต้องห้าม” อย่างน้อยเยี่ยเทียนตอนนี้เป็นคนชอบใช้กำลังในการจัดการปัญหาไปแล้ว
“ครับ คุณชายน้อย ผมจะเร่งจัดการให้เร็วที่สุด” ตู้เฟยรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของเยี่ยเทียนรีบเปิดประตูบ้านให้เยี่ยเทียนเข้าไป
ตู้เฟยกลับประเทศจีนไปหลายปี รับคนในครอบครัวกลับไปด้วย ภรรยาและลูกๆยังอยู่ในจีน ครั้งนี้ที่เขากลับเข้าสมาคมหงเหมินอีกครั้ง เขาก็ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ดังเดิม
บ้านพักของผู้อาวุโสในสมาคมหงเหมินแน่นอนว่าต้องมีคนรับใช้ คนงานเตรียมห้องพักให้เยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว การได้พักในบ้านที่มีกลิ่นไอของความโบราณอยู่นั้นช่างต่างกับบรรยากาศในประเทศจีนมากทีเดียว
…………
ระหว่างทางที่กลับไปตำหนักอาญา เหลยหู่เอาแต่เงียบขรึม ซ่งเวยหลันออกเดินทางอย่างกะทันหัน ทำให้แผนการของเขาเสียหมด ยิ่งกว่านั้นเงินที่ซ่งเสี่ยวหลงตกลงไว้ก็ไม่ได้โอนมาเช่นกัน
“ท่านหู่ เรื่องมันยุ่งยากขึ้นแล้ว!” เมื่อกลับมาถึงตำหนักอาญา เผิงเหวินกวงรีบไล่คนอื่นออกไปให้หมด ตอนนี้เป็นจังหวะเหมาะที่เขาจะได้แสดงสติปัญญาของตนเพื่อเอาใจเจ้านาย
“เหลวไหล ใครจะคิดว่าตู้เฟยจะสอดมือเข้ามา เจ้าคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาแท้ๆ!”
เหลยหู่ฟาดผ่ามือลงบนโต๊ะแปดเซียนตรงหน้าอย่างแรง รอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏขึ้นลางๆบนพื้นโต๊ะ แสดงถึงไฟโทสะที่กำลังพิโรธ
ตู้เฟยเป็นอีกคนหนึ่งที่มีเส้นสายในสมาคมหงเหมินกว้างขวาง อีกทั้งยังควบตำแหน่งผู้อาวุโสที่เป็นคนจัดการเรื่องสำคัญ ถ้าเขาต้องการจะปกป้องใครสักคน เหลยหู่ก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้
เผิงเหวินกวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านหู่ เรื่องนี้คงต้องให้นายท่านออกโรงแล้ว ตู้เฟยยังไงก็ต้องไว้หน้านายท่านบ้าง!”
“ไม่ได้”
เหลยหู่โบกมือ ตวัดเสียงอย่างหงุดหงิดว่า “เรื่องที่ฉันทำกับพี่หลันนั้น คุณพ่อไม่รู้ แกอยากให้ฉันถูกโบยหรือไง?”
แม้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะมีส่วนรู้เห็นในเรื่องเงินทุนก้อนนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเหลยหู่จัดการกับซ่งเวยหลันอย่างไร อย่างน้อยเขากับซ่งเฮ่าเทียนรู้จักกันมาหลายปี คงไม่ถึงกับลดตัวลงมาจัดการกับคนรุ่นลูกหลานหรอก
เผิงเหวินกวงเอ่ยเตือน “ท่านหู่ ถ้าเงินก้อนนั้นถูกซ่งเวยหลันอายัดไว้ ถ้างั้นสิ่งที่เราทำมาเป็นปีจะสูญเปล่า”
“ให้ตายสิ รอให้ฉันขึ้นตำแหน่งก่อนเถอะ ค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าแก่นั่น!”
เหลยหู่กระทืบเท้าลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป เขาได้ให้คำสัญญากับพวกผู้อาวุโสโดยส่วนตัวไป แค่รอให้เงินของซ่งเสี่ยวหลงโอนมาถึงก็พอแล้ว
ใจกลางศูนย์บัญชาการของสมาคมหงเหมินมีเรือนใหญ่สามหลังที่มีพื้นที่มากที่สุด แบ่งเป็นที่พักอาศัยของเหล่าผู้นำและหัวหน้าใหญ่ และเป็นฐานอำนาจทั้งหมดของสมาชิกที่มีมากถึงหลายแสนคน
บ้านพักของเหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่ทางด้านขวา ตัวเรือนถึงขนาดเล็กกว่าเรือนอีกสองหลังเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นเรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่าอยู่ดี สวนด้านหลังมีภูเขาจำลองและสวนดอกไม้ที่สร้างเลียนแบบการจัดสวนของเจียงหนาน
เมื่อเหลยหู่เข้าไปในสวน เหลยเจิ้นเยวี่ยกำลังยืนฝึกกำลังภายในอยู่ แต่ที่บริเวณหน้าอกกับช่วงท้องของเขามีก้อนนูนขึ้นมาเหมือนมีหนูตัวเล็กๆมุดอยู่ด้านใน พร้อมกับวิ่งไปทั่วทั้งร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ย
วิชากังฟูฝึกจนถึงขั้นสูง เมื่อหายใจเข้าเอาอากาศเข้าไปทีหนึ่งสามารถควบคุมให้พลังลมปราณเคลื่อนที่ได้ตามใจชอบ ทั้งแขนขาหรือตามกระดูกข้อต่างๆไม่มีที่ไหนที่ลมปราณไปไม่ถึง
“คุณพ่อครับ เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย…”
เหลยหู่ยืนอยู่นานแล้ว รอจนเหลยเจิ้นเยวี่ยผ่อนลมหายใจออก ถึงกล้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา แล้วอธิบายเรื่องราวให้ผู้เป็นบิดาฟัง
“แผนการอยู่ที่คน ส่วนสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ฟ้า เสี่ยวหู่ เดินผิดก้าวหนึ่งก็จะผิดทั้งหมดนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยส่ายหัว ใบหน้าดูแก่ชรา ตลอดชีวิตของเขาทำเรื่องอะไรต้องชัดเจนแจ้มแจ้ง แต่พอมาถึงบั้นปลายชีวิต กลับเลือกทางเดินผิด โดยการทำร้ายบุตรสาวของสหายเก่า
เรื่องบางเรื่องแม้ไม่ต้องพูดออกไป แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกได้ ช่วงก่อนเขานัดดื่มน้ำชากับสหายเก่า ท่าทีของพวกเขาดูจะไม่สนิทคุ้นแคยเหมือนก่อนแล้ว
เหลยเจิ้นเยวี่ยถือเอาเรื่องหน้าตาเกียรติยศมาเป็นอันดับแรก เพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหายเก่า ทำให้เขาไม่ออกไปดื่มน้ำชาข้างนอกมานานแล้ว
“แต่เรื่องมัน…”
“เอาเถอะ แกกลับไปได้แล้ว ฉันจะไปคุยกับเสี่ยวเฟยเอง เรื่องนี้จบแล้ว แกควรจะถอยออกมาเสีย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยพูดตัดบทบุตรชาย แล้วหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน โครงร่างสูงใหญ่และบ่าที่ผึ่งผายตอนนี้ดูแก่ค่อมลง
……………………………………………