“แม่ บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ทางนู้นเป็นไงบ้าง?”
เยี่ยเทียนพักอยู่ที่ศูนย์บัญชาการหลักสำนักหงเหมินของตู้เฟยมากว่าหนึ่งสัปดาห์ อย่าว่าแต่ประตูหลักแม้แต่ประตูรองก็ยังไม่ก้าวออกไป แม้ว่าเหลยหู่คิดจะทำอะไร เขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องเยี่ยเทียนถึงถิ่นของตู้เฟยแน่ ๆ
เพื่อไม่ให้ซ่งเวยหลันเป็นห่วง เยี่ยเทียนจะโทรหาแม่ทุกวัน ส่วนบทสนทนาจะเป็นการย้ำว่าตนเองนั้นปลอดภัยมาก ส่วนซ่งเวยหลันก็มักจะถามแต่คำถามแบบนี้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
“เพื่อนเก่าของแม่คนนึงเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เงินทุนก้อนนั้นถูกบล็อกเอาไว้แล้ว เมื่อกองทุนเอสโครว์ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย แม่เชื่อว่ายังไงก็เอาเงินก้อนนั้นกลับมาได้”
น้ำเสียงของซ่งเวยหลันไม่ได้แสดงความดีใจเท่าไหร่ หลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจที่เธอสร้างมากับมือ เพื่อนร่วมสร้างธุรกิจด้วยกันหลายคนเริ่มส่งใบลาออกกันแล้ว
การสร้างธุรกิจว่ายากแล้ว แต่การดูแลธุรกิจนั้นยากยิ่งกว่า ซ่งเวยหลันเพิ่งสัมผัสได้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำนี้ก็วันนี้ เธอใช้เวลากว่า 20 ปีในการสร้างความร่ำรวยทีมีอยู่ทุกวันนี้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน สิ่งที่สร้างมาก็สูญสิ้นทั้งหมด
การหักหลังของหลานชายกับเพื่อนเก่า ยิ่งทำให้ซ่งเวยหลันรู้สึกด้านชา เธออยากจะปล่อยวางและกลับประเทศซะเดี๋ยวนี้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของแม่ เยี่ยเทียนนิ่งไปครู่นึงและพูดต่อว่า“แม่ครับ ดูแลตัวเองด้วย อย่าให้เหลยหู่และคนอื่น ๆ กลายเป็นพวกสุนัขจนตรอก!”
ก่อนหน้านี้เหลยหู่กับซ่งเสี่ยวหลงวางแผนหลอกลวงกองทุนเอสโครว์ด้วยความพยายามมาก แต่ถูกจัดการด้วยซ่งเวยหลันตั้งแต่เพิ่งกลับมาถึงอเมริกา เยี่ยเทียนจึงกลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรไม่ดีกับแม่ของตนเอง
“อำนาจของของลุงเหลยยังมาไม่ถึงที่นิวยอร์ก ลูกไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ตัวลูกนั่นแหละที่ต้องดูแลตัวเองให้มาก ๆ ”
เสียงของซ่งเวยหลันลึก ๆ แล้วแอบแฝงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย หนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ ที่ผ่านมา เธอใช้เวลาจัดการเรื่องที่บริษัทตลอดเวลา มันทำให้เธอเหน็ดเหนื่อยจนแทบหมดแรง
“แม่ครับ ผมทราบแล้ว แม่พักผ่อนนะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาดังขึ้น เขาจึงวางสายไป
“คุณชายน้อย ผมเข้าไปได้มั้ย?”เพิ่งวางโทรศัพท์ลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาสิ!” เยี่ยเทียนกลับไปที่นั่งที่เก้าอี้
“ว่าไง มีข่าวดีอะไรรึเปล่า?” มองดูหน้าของตู้เฟยที่มีชีวิตชีวา เยี่ยเทียนก็อดยิ้มไม่ได้
“คุณชายน้อย ผมได้เชิญผู้อาวุโสหงเหมินจำนวน 38 ประเทศมาร่วมงาน พิธีรับศิษย์กำหนดไว้เป็นวันมะรืนช่วงเช้า งานนี้เป็นการเชิญคุณชายน้อยเข้าร่วมสำนักหงเหมินอย่างเป็นทางการ!”
ตั้งแต่พ่อเสียชีวิต ตู้เฟยก็ไม่เคยมีสถานะของตัวเองในหงเหมินเลย
ความเคารพที่ได้รับจากคนอื่นเป็นเพราะตำแหน่งเดิมของคุณพ่อทั้งนั้น มันจึงทำให้ตู้เฟยรู้สึกเป็นทุกข์มาโดยตลอด ฉะนั้นเขาจึงตอบรับภารกิจปกป้องซ่งอิงหลันกับตระกูลซ่ง
แม้ว่าครั้งนี้จะกลับมารับตำแหน่งเจ้าตำหนักธงแดงของสมาคมหงเหมิน แต่เขาก็ไม่สามารถเข้ากับสำนักหงเหมินได้ อย่างแท้จริง เรื่องของเยี่ยเทียนจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา
ห้องพิธีของสำนักหงเหมินเปิดทุกปี แต่ไม่มีปีไหนจัดยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน ผู้อาวุโสจาก 38 ประเทศทั่วโลกจะมารวมตัวกันที่ซานฟรานซิสโก
แม้คนเหล่านี้มาเพราะอยากรู้ว่ามีอาวุโส “รุ่นต้า” เพิ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ส่วนมากที่มาร่วมงานก็เพราะเห็นแก่หน้าของตู้เฟย ถ้าลองเปลี่ยนคนส่งคำเชิญ คนเหล่านี้จะคิดแค่ว่าเป็นการเชิญแบบส่งเดช
หลายวันมานี้ ตู้เฟยยุ่งกับเรื่องต้อนรับเพื่อนเก่าแก่ที่ไม่พบเจอมานาน สภาพจิตใจจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และเขายังพบว่าคนที่มาในครั้งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งรู้สึกไม่ชอบใจเหลยหู่
สิ่งนี้ทำให้ตู้เฟยนึกถึงคำพูดของเยี่ยเทียน ถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสเหล่านี้ เขาเองก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด!
เยี่ยเทียนทำท่ามือเพื่อส่งสัญญาณให้ตู้เฟยนั่งลง และเอ่ยปากถามว่า “ทางตระกูลเหลยมีวี่แววอะไรบ้างมั้ย?”
ตู้เฟยมีสีหน้าตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนและตอบกลับไปว่า“คุณลุงเหลยถูกผมปฏิเสธไปแล้ว หลายวันนี้เขาไม่ออกจากบ้านเลย ส่วนเหลยหู่กลับเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจเขาเท่าไหร่ พวกเขาไม่สามารถขัดขวางงานรับศิษย์ครั้งนี้ได้แน่นอน! ”
คืนที่เยี่ยเพิ่งมาถึงศูนย์บัญชาการหลักสำนักหงเหมิน เหลยเจิ้นเยวี่ย ก็เอ่ยปากขอให้ตู้เฟยส่งมอบเยี่ยเทียนให้เขา แต่ตู้เฟยปฏิเสธ
แม้จะเป็นการขอทางโทรศัพท์ แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกเสียหน้ามาก ตอนนั้นลมหายใจภายในเกิดผิดจังหวะจึงทำให้เขาเกือบเสียสติ หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงต้องอยู่ปรับสภาพร่างกายและไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องของตู้เฟย
หากไม่มีการสนับสนุนจากเหลยเจิ้นเยวี่ย เหลยหู่ก็เป็นได้แค่คนตบมือข้างเดียว และในสภาตุลาการเองเป็นที่ที่เขาขัดใจผู้คนต่าง ๆ นานา จนถึงเวลานี้ เหลยหู่เพิ่งพบว่าคนที่สนับสนุนเขาด้วยใจจริงมีน้อยจนนับจำนวนคนได้
โดยเฉพาะคำมั่นสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ตั้งแต่ต้น จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เคยทำตามสัญญาจริง ๆ มันจึงทำให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นรู้สึกสงสัยในตัวของเขา คำพูดที่แสดงการสนับสนุนให้เขารับตำแหน่งต่อก็คงไม่พูดออกมาแน่นอน
หลังจากเรื่องที่เยี่ยเทียนเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหลี่ซั่นหยวนที่มีลำดับรุ่นเป็น “หลี่” ถูกเล่าต่อกันออกไป เหลยหู่ยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม
หลายวันที่ผ่านมาเขาอยากจะนัดคนของหงเหมินเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่จะขัดขวางงานรับศิษย์ แต่คนที่เข้าร่วมกลับมีอยู่3-5คนเท่านั้น ส่วนอาวุโสท่านอื่นใช้ท่าทีในการสนับสนุนแทน
“อืม เหล่าถังมาแล้ว” เยี่ยเทียนที่กำลังพูดคุยอยู่กับตู้เฟย ได้ยินเสียงการก้าวขาที่คุ้นเคย ประตูห้องถูกผลักออก มีคนสามคนกำลังเดินเข้ามา
“เยี่ยเทียน ผมขอแนะนำให้คุณรู้จัก”
ถังเหวินหย่วนมาที่นี่ได้สองวันแล้ว และเข้าออกที่เยี่ยเทียนพักอยู่เป็นประจำ เขาจึงไม่เกรงใจและชี้ไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างเขาและพูดว่า “ท่านนี้คือหลู่เฮ่าชิ่ง ผู้อาวุโสสมาคมหงเหมินจากเมืองโฮโนลูลู ท่านนี้คือหนิงผู่ตงจากไต้หวัน ทุกคนเป็นเพื่อนเก่าแก่ของฉันหมด”
“ครับ ท่านทั้งสองเชิญนั่งครับ ตู้เฟย เสิร์ฟน้ำชา!”
หลังจากได้ยินคำแนะนำจากถังเหวินหย่วนเสร็จ เยี่ยเทียนจึงลุกขึ้นยืน หลายวันนี้ถังเหวินหย่วนพาแขกมาทักทายเขามากมาย แต่สองท่านที่อยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้กลับเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงที่สุด
ต้องเข้าใจว่า การประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินสมัยก่อนมักจัดขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโก แต่สมัชชาของสมาคม หงเหมินโลกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 92 กลับจัดตั้งขึ้นที่เมืองฮูโนลูลู โดยใช้การประชุมใหญ่ครั้งแรกที่นั่น
เพียงแต่ว่าสมาคมหงเหมินมีรากฐานอยู่ซานฟรานซิสโกมายาวนาน หลายปีมานี้ศูนย์บัญชาการหลักก็ยังไม่ได้ย้ายไปไหน แต่อำนาจของการประชุมใหญ่ที่ฮูโนลูลูก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
นอกจากนี้คนในสมาคมประจำไต้หวันมีความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศมายาวนาน แม้กระทั่งบุคลากรในรัฐก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมหงเหมิน หากพูดถึงแถบตะวันออกเฉียงใต้แล้ว อิทธิพลของสมาคมหงเหมินประจำไต้หวันรองลงมาจากยุโรปและอเมริกา
ฉะนั้นการมาของสองท่านนี้ ทำให้เยี่ยเทียนที่มีลำดับรุ่นสูงก็จริง ก็ยังไม่กล้าประมาท เขาจึงต้องเชิญให้ทั้งสองท่านนั่งลง
“คุณเยี่ย ยังหนุ่มและมีความสามารถจริง ๆ ผมเคยเจอนักพรตซั่นหยวนครั้งนึงเมื่อนานมาแล้ว วันนี้คุณเยี่ยมาเข้าร่วมสมาคมหงเหมิน นับว่าเป็นเกียรติของสมาคมหงเหมิน!”
หลังจากนั่งลง หลู่เฮ่าชิ่งผู้มาจากฮูโนลูลูยกมือคารวะแบบจีนให้กับเยี่ยเทียน และคำพูดที่พูดออกมาทำให้เยี่ยเทียนตะลึงไปเลยทีเดียว เขาจึงต้องรีบลุกขึ้นและถามกลับว่า “ท่านรู้จักอาจารย์?”
หลู่เฮ่าชิ่งพยักหน้าตอบรับ และตอบว่า “เป็นเรื่องเมื่อ 60-70 ปีก่อนแล้วล่ะ ตอนนั้นน่าจะเป็นปี 1932 ผมเพิ่งอายุ 16 ติดตามคุณปู่ไปถึงประเทศจีน และมีโอกาสได้พบนักพรตคนหนึ่ง……”
ที่แท้ คุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่งเคยติดตามท่านซุนมาก่อน ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญเก่าแก่ในพรรคก๊กมินตั๋ง เพียงแต่ว่าหลังจากการปฏิวัติสำเร็จ เขาจึงเกษียณและกลับไปยังเมืองฮูโนลูลู
ในปี 1932 คุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่งเคยได้รับคำเชิญจากพรรคก๊กมินตั๋ง และพักอาศัยอยู่ในประเทศเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี หลู่เฮ่าชิ่งจึงได้พบกับหลี่ซั่นหยวนที่เซี่ยงไฮ้ในช่วงนั้น
ด้วยสถานะของคุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่ง ตอนที่อยู่เซี่ยงไฮ้จึงคบค้ากับเหล่าอาวุโส อาทิเช่น ตู้เยว่เซิง หวงจินหรงเป็นต้น
แต่ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง หลู่เฮ่าชิ่งพบว่ามีคนใส่ชุดเต๋าอยู่คนหนึ่ง คนทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเขา และคุณปู่ของเขาเองก็แสดงความเคารพต่อคนนั้นเหมือนกัน เรียกขานกันด้วยคำว่านักพรตซั่นหยวน มันจึงทำให้เป็นภาพติดตาหลู่เฮ่าชิ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นคุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่งเริ่มสืบหาประวัติของหลี่ซั่นหยวน และพบว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่มีลำดับศักดิ์สูงมากในสำนักหงเหมิน ชุดนักพรตเต๋าของหลี่ซั่นหยวนเป็นภาพติดตาและอยู่ในความทรงจำของหลู่เฮ่าชิ่งมาเป็นเวลาสิบ ๆ ปี
ฉะนั้นหลังจากที่ได้ข่าวว่าศิษย์ของหลี่ซั่นหยวนจะเข้ามาอยู่ในสำนักหงเหมิน หลู่เฮ่าชิ่งจึงเดินทางมาอย่างเร่งรีบ น่าจะมีแค่เขาคนเดียวที่ทราบประวัติของหลี่ซั่นหยวน “ความลับเรื่องนี้ของอาจารย์ ยังมีคนจำได้อยู่เหรอครับ……”
หลังจากได้ยินหลู่เฮ่าชิ่งเล่าเรื่องตอนนั้นให้ฟัง เยี่ยเทียนก็อดสะอื้นไม่ได้ หนึ่งร้อยปีของความโชกโชนกับการเปลี่ยนแปลงของโลก การที่หลู่เฮ่าชิ่งเคยรู้จักอาจารย์ นับว่าเป็นพรหมลิขิต
“คุณเยี่ย อาจารย์หนานไหวจิ่นมีบุญคุณต่อผม คุณสบายใจได้เลย งานรับศิษย์ครั้งนี้พวกเราสนับสนุนอย่างเต็มที่!”
หนิงผู่ตงที่กำลังฟังอยุ่อายุมากกว่าตู้เฟยนิดหน่อย เป็นคนที่เข้าร่วมสมาคมหงเหมินของไต้หวันก่อนเปิดประเทศ แต่สถานะสูงกว่าเฉินเซี่ยวหลี่ผู้ก่อตั้งแก๊งไผ่เขียวเสียอีก เพียงแต่ว่าเคยถูกหนานไหวจิ่นชี้นำจนรู้ซึ้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจวางมือจากยุทธจักร
ถึงแม้จะปล่อยมือจากยุทธจักรแล้ว แต่ตำแหน่งและชื่อเสียงของหนิงผู่ตงที่อยู่ในสมาคมหงเหมินยังคงอยู่ รวมถึงแก๊งซื่อไห่และแก๊งเทียนเต้าเหมิง ล้วนแต่ให้ความเคารพเขาไม่เปลี่ยน
“ขอบคุณทั้งสองท่านครับ ในภายภาคหน้าผมจะตอบแทนบุญคุณทุกคนครับ!”
ความช่วยเหลือที่ส่งมาด้วยตนเอง ยังไงเสีย เยี่ยเทียนก็ต้องรับเอาไว้ อีกอย่างสองคนนี้มีความสัมพันธ์กับเขาอยู่บ้าง จึงสั่งให้ตู้เฟยเสิร์ฟอาหารและเหล้า จากนั้นก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องของยุทธจักร
……
หากเทียบกับสถานกาณ์ที่ครึกครื้นของฝั่งเยี่ยเทียนแล้ว ตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมินที่เคยเสียงดัง หลายวันนี้กลับเงียบสงัด ลำดับรุ่น “ต้า” ปรากฏสู่ยุทธจักรอีกครั้ง ที่สำคัญยังเป็นลูกชายของซ่งเวยหลันอีก มันเลยทำให้เหลยหู่กระวนกระวายใจ
และด้วยความตั้งใจป่าวประกาศของตู้เฟย เรื่องราวต่าง ๆ มากมายของหลี่ซั่นหยวนถูกประกาศสู่ภายนอกแล้ว แม้เหลยหู่จะรวบรวมคนไว้บ้างแล้ว แต่ในใจของเขาเข้าใจดีว่า ไม่มีประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป
มันทำให้เหลยหู่หวาดกลัว เขากลัวว่าหลังจากที่เยี่ยเทียนกลายเป็นผู้อาวุโสในสมาคมแล้ว จะรื้อคดีที่เขากับพ่อของเขาทำกับซ่งเวยหลัน และถ้าเรื่องนี้ประกาศออกไป ชื่อเสียงของสองพ่อลูกก็จะจบสิ้นทั้งหมด
“ไม่ได้ ให้เข้าร่วมสมาคมหงเหมินไม่ได้เด็ดขาด!”
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว เหลยหู่แสดงความไม่พอใจออกมา ตระกูลเหลยของเขากว่าจะมีตำแหน่งและอำนาจเท่าวันนี้ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งร้อยปี ยังไงก็ไม่ยอมให้จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน
…………………………………………………………….