อย่างเช่นพิธีการภูเขาดาบป่าหอกแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่แต่งขึ้นมาในละคร แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในสมาคมต่างๆ ของยุทธจักร
พิธีการนี้จะถูกจัดขึ้นก็ต่อเมื่อสมาคมที่เป็นศัตรูเข้ามากราบไหว้บรรพชนของสมาคม เป็นการแสดงอิทธิพลและอำนาจแก่ฝ่ายตรงข้าม ไม่เคยมีสมาคมไหนประกอบพิธีนี้ในตอนรับศิษย์
ฉะนั้นตอนที่ชายร่างใหญ่จับดาบจับหอกขึ้นมา ไม่เพียงแต่หลี่ซงชิวกับถังเหวินหย่วนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป คนที่มาชมพิธีคนอื่นๆ ก็รู้สึกประหลาดใจกันถ้วนหน้า
“ฉางหลง ใครสั่งให้ทำแบบนี้?”
หลี่ซงชิวรู้สึกเลือดพลุ่งพล่านอยู่กลางหน้าอก เขายังไม่ตาย แต่มีคนในหงเหมินกล้าขัดคำสั่งของเขาถึงเพียงนี้ สองตาของคนแก่คนนี้มีลำแสงส่องตรงไปยังเจ้าตำหนักคุ้มกฎที่ยืนอยู่ตรงประตู
“ประธานใหญ่ แม้หงเหมินกับชิงปังจะเป็นสมาคมเดียวกันแล้ว แต่เยี่ยเทียนอายุยังน้อย พริบตาเดียวก็ได้ลำดับศักดิ์สูงขนาดนี้ ผมกลัวว่าลูกน้องในสมาคมจะไม่พอใจเอานะครับ……”
ฉางหลงที่กำลังพูดอยู่ อายุ 50 กว่า ส่วนสูงประมาณ 1.7 เมตร สองแขนยาวมาก เวลาวางแขนแนบไปกับลำตัวเหมือนจะยาวไปถึงหัวเข่า และมีไหล่ที่กว้างมาก ศิลปะการต่อสู้ที่เขาฝึกน่าจะเป็นประเภทมวยทงปี้(ส่งพลังตามแขน)
สถานะของฉางหลงอยู่ต่ำกว่าตู้เฟยแค่ขั้นเดียว นับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากทีเดียวในสมาคมหงเหมิน แม้ฉางหลงจะอยู่ต่อหน้าหลี่ซงชิว เขาก็ไม่แสดงความอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
สิ่งที่ฉางหลงพูดออกมา ทำให้บรรยากาศภายในแปลกไปเล็กน้อย
เยี่ยเทียนเข้าสมาคมหงเหมินด้วยสถานะผู้อาวุโสของชิงปังด้วยการเสนอของตู้เฟย แม้จะได้รับการยินยอมจากหลี่ซงชิวแล้วก็ตาม แต่สำหรับคนอื่นๆ ในสมาคมหงเหมินแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องกระทันหันเกินไปจริง ๆ
การที่เยี่ยเทียนจะเข้ามาร่วมสมาคมหงเหมิน ไม่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเหล่าอาวุโส แต่เพราะจะมี “เจ้าตำหนัก” เพิ่มขึ้นมาอีกคน ยังไงก็ต้องรู้สึกไม่พอใจแน่นอน
“เจ้าตำหนักฉางพูดถูก ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็จะเข้าสมาคมหงเหมินก็ได้!”
“นั่นนะสิ นักพรตหลี่ซั่นหยวนเป็นผู้อาวุโสของชิงปังก็จริง แต่ลูกศิษย์ของเขาเป็นคนแบบไหน ไม่มีใครรู้เลย?”
“สมาคมหงเหมินไม่ต้องการคนขี้ขลาด ถ้าแน่จริงก็ข้ามภูเขาดาบป่าหอกให้ได้สิ ถ้าข้ามได้ พวกเราจะยอมรับในตัววีรบุรุษผู้นี้แน่นอน!”
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเกี่ยวกับอำนาจของหลี่ซงชิว แต่พอมีคนเริ่ม พวกเขากลับไม่สนใจสิ่งใด และเริ่มแสดงความคิดเห็นกันต่างๆ นานา
บางคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหลยหู่ สิ่งที่พูดออกมาจึงค่อนข้างไม่น่าฟัง สถานที่ประกอบพิธีที่ศักดิ์สิทธิ ตอนนี้กลับ
เหมือนตลาดนัด เสียงดังวุ่นวายไม่มีสิ่งใดอาจเทียบได้
เหลยหู่ที่กำลังมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เขาถึงกับยิ้มที่มุมปาก แต่หลังจากที่สบตากับเจ้าตำหนักคุ้มกฎแล้ว เขาก็เก็บรอยยิ้มนั้นไว้
พิธีการนี้จัดขึ้นโดยเผิงเหวินกวง ส่วนเจ้าตำหนักคุ้มกฎเป็นลูกศิษย์รองของเหลยเจิ้นเยวี่ย เป็นศิษย์พี่ของเหลยหู่ ถือว่าเป็นคนที่จะโรจน์และร่วงไปพร้อมกับตระกูลเหลย ฉะนั้นเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายงานรับเยี่ยเทียนเข้าสมาคม
“ฉางหลง งานประชุมในปี 92 ก็บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าสมาคมหงเหมินกับชิงปังเป็นครอบครัวเดียวกัน เยี่ยเทียนเป็นลูกศิษย์ชิงปังที่เคยเข้ารับการรับศิษย์แบบเล็กมาแล้ว 3 ปี เขามีสิทธิเข้าสมาคมหงเหมินของพวกเราอยู่แล้ว ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วย?”
หลี่ซงชิวที่ฟังเสียงวิพากย์วิจารณ์ไปพร้อมกับรู้สึกโกรธ ในฐานะที่เป็นประธานใหญ่ของสมาคม ๆ หนึ่ง เขาได้ข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ และถามฉางหลงถึงเหตุผล
เสียงของหลี่ซงชิวยังไม่สิ้น ตู้เฟยรีบแทรกเข้ามา “นั่นนะสิฉางหลง โบราณเคยกล่าวไว้ว่า จากชิงไปหง ยินดีปรีดา จากหงไปชิง ถลกหนังเลาะเส้นเอ็น นี่แกกำลังทำให้สมาคมหงเหมินเราเสียหน้านะ? หงเหมินไม่มีน้ำใจกันขนาดนี้เลยรึ? ”
สิ่งที่ตู้เฟยกำลังพูด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยที่ชิงปังยังไม่ได้เข้าร่วมการต้านชิงอย่างจริง ๆ จัง ๆ ดังนั้นสมาคม หงเหมินจึงถูกมองว่าเป็นกบฏมาโดยตลอด จึงสั่งห้ามสมาชิกสมาคมหงเหมินย้ายไปชิงปังโดยเด็ดขาด
แต่เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาท สองพรรคจึงมักพูดว่า “ชิงหงเป็นครอบครัวเดียวกัน” สิ่งที่เรียกว่า “ดอกแดงใบเขียวรากบัวขาว (หมายถึง หงเหมิน ชิงปัง ลัทธิบัวขาว) ทั้งสามสมาคมนี้เดิมเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“เอ่อ…..เอ่อคือ….”
ฉางหลงไม่คิดว่าหลี่ซงชิวกับตู้เฟยจะสนับสนุนเยี่ยเทียนถึงเพียงนี้ ถูกสองคนถามพร้อมกันจนพูดไม่ออก หน้าผากก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ท่านประธานใหญ่ เจ้าตำหนักตู้ ภูเขาดาบป่าหอก เป็นเพียงการเดินผ่านเท่านั้น เยี่ยเทียนจะเข้ามาเป็นผู้อาวุโสของสมาคมหงเหมิน ถ้าไม่กล้าเดินข้าม สมาชิกในสมาคมหงเหมินไม่น่าจะพอใจเท่าไหร่นะ?”
ตอนที่เห็นฉางหลงถูกหลี่ซงชิวสองคนนั้นถามจนตอบไม่ได้ เหลยหู่ลุกขึ้นมาพูด ทันใดนั้น คนในงานก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
คนในสมาคมหงเหมินส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าเหลยหู่มีใจอยากจะแย่งตำแหน่งประธานสมาคม แต่บางคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเหลยหู่ถึงสนใจเรื่องที่เยี่ยเทียนจะเข้าสมาคมหงเหมินขนาดนี้?
ตอนนี้เหลยหู่ก็เองก็ถอยไม่ได้แล้ว เขาเคยคิดร้ายต่อเยี่ยเทียนและกลัวว่าถ้าเยี่ยเทียนเข้ามาเป็นสมาชิกในสมาคมหงเหมินแล้ว จะใช้กฏของสมาคมหงเหมินมาสอบสวนเขา
เหลยหู่เลยยืนยันว่าจะให้เยี่ยเทียนข้ามภูเขาดาบป่าหอกให้ได้ อยากจะแกล้งคนหนุ่มอายุยี่สิบต้นคนนี้ เพื่อบีบบังคับให้เขาจะถอยก็ถอยไม่ได้ จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้จะทำยังไง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หนึ่งเขาสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการถูกถาม สองเขาสามาถใช้เรื่องนี้หักหน้าตู้เฟยกับหลี่ซงชิว ให้ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่มีอำนาจของตระกูลเหลยสนับสนุนสมาคมหงเหมิน สมาคมหงเหมินจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“เจ้าตำหนักเหลยก็พูดถูก พี่น้องสมาคมหงเหมินไม่มีใครไม่ฝ่าอันตรายมาด้วยกัน แค่เดินข้ามภูเขาดาบป่าหอกแค่นี้จะเป็นอะไรไป”
“ใช่ ถ้าแค่นี้ยังไม่กล้า ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมิน!”
ตระกูลเหลยมีรากฐานที่มั่นคงในสมาคมหงเหมิน และคนที่สนับสนุนเหลยหู่ก็พอมีอยู่บ้าง เสียงพูดของเหลยหู่เพิ่งสิ้นไป ผู้อาวุโสหลายท่านทั้งจากแปดตำหนักส่วนนอกและส่วนในต่างก็เริ่มแสดงความคิดเห็นกันต่าง ๆ นานา
“เอ่อ?” หลี่ซงชิวรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มสูญเสียการควบคุม ก็เริ่มลังเลขึ้นมา
จริง ๆ แล้วหลี่ซงชิวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเยี่ยเทียนเลย เขาแค่อยากใช้โอกาสนี้ ช่วยให้ตู้เฟยได้ดำรงตำแหน่งก็เท่านั้น แต่เขาไม่คิดว่าเหลยหู่จะแทรกเข้ามาแบบนี้
“ท่านประธานใหญ่ พิธีการแค่นี้เยี่ยเทียนไม่สะทกสะท้านหรอก!”
ตู้เฟยกระซิบข้างหูหลี่ซงชิวคำหนึ่ง ลุกขึ้นยืน และพูดด้วยเสียงสูงว่า “เยี่ยเทียน ห้องพิธีอยู่ตรงนี้ กล้าเดินข้ามมามั้ย?!”
ในเมื่อพิธีการภูเขาดาบป่าหอกถูกจัดขึ้นแล้ว และทุก ๆ คนก็อยากให้เยี่ยเทียนก้าวข้ามให้ได้ ถ้าตู้เฟยยังยืนหยัดอยู่ละก็ จะมีแต่ทำให้พวกเขาสงสัยในจุดประสงค์อันแท้จริงของเขา
“ใจร้อนมากเกินไปแล้ว เหลยหู่เป็นคนดีที่ไหนล่ะ? ” หลังจากเห็นการกระทำของตู้เฟย หลี่ซงชิวถึงกับส่ายหัว จากนั้นจึงส่งสายตาให้กับผู้ช่วยประธาน
ผู้ช่วยประธานตอบรับพยักหน้าให้แล้วเอนตัวไปด้านหลัง สั่งการอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็หายไปจากงานอย่างไร้ร่องรอย
“ข้ามภูเขาดาบป่าหอก เรื่องเล็กแค่นี้ ผมจะไม่กล้าได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนที่ได้ยินคำตะโกนของตู้เฟยเสร็จ เขายิ้มออกมาและพูดว่า “ปีนั้นอาจารย์ของผมนักพรตหลี่ซั่นหยวนมุ่งสู่ชวนจง(เสฉวน)เพียงลำพัง พรรคเจียงเซียงก็จัดตั้งภูเขาดาบป่าหอก ไม่คิดเลยว่าวันนี้ผมจะมีโอกาสได้สัมผัสเหมือนกัน? ”
พอเยี่ยเทียนพูดออกไป สีหน้าของคนในงานคนหนึ่งก็เปลี่ยนไป คน ๆ นั้นก็คือหลัวจื้อปิ่ง รองเจ้าตำหนักส่วนนอก และเป็นปรมาจารย์หลัวที่เยี่ยเทียนรู้จักตอนอยู่ที่ปักกิ่ง
หลัวจื้อปิ่งเกิดในพรรคเจียงเซียง การมีเล่ห์เลี่ยมจึงเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว การได้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าตำหนักดูแลกำลังพล มีหน้าที่คิดวางแผนกลยุทธ์ ก็เหมาะสมกับสถานะของเขาเป็นอย่างดี
แต่ในเวลานี้ พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องสมัยก่อน หลัวจื้อปิ่งก็รู้สึกสับสนเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่ซั่นหยวนเดินทางไปชวนจงในครั้งนั้น ฉินไป่ชวนอาจารย์ของเขาก็คงไม่พาเขาหนีออกนอกประเทศหรอก
แน่นอนว่า เรื่องนี้ผ่านมาแล้วกว่าเกือบครึ่งศตวรรษ หลัวจื้อปิ่งจึงไม่มีกระจิตกระใจจะแก้แค้นอีกต่อไป เพราะรู้ดีว่าคนหนุ่มคนนี้น่ากลัวมากแค่ไหน เขาได้ไปเยี่ยมเยี่ยเทียนตั้งแต่หลายวันก่อนมาแล้วด้วย
พอเห็นเยี่ยนเทียนจะข้ามจริง ๆ สีหน้าของเหลยหู่กลับแย่กว่าเดิม พูดอย่างติดขัดว่า “ผู้อาวุโสเยี่ย ดาบและหอกไม่มีตา ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา คนที่จะได้รับบาดเจ็บคือท่านนะครับ”
เดิมทีเหลยหู่ต้องการใช้วิธีนี้เพื่อให้เยี่ยเทียนทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่คิดว่าคนหนุ่มคนนี้จะกล้าทำจริง มันทำให้เขารู้สึกพลาดท่าจนต้องหงายหลังและอึดอัดมากที่สุด
“เหอะ ๆ ขอบคุณที่เป็นห่วง แค่ข้ามพิธีการแค่นี้เอง ผมต้องกลัวอะไรเหรอ”
ปากพูดขอบคุณ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา จนถึงเวลานี้ แม้แต่คนตาบอดก็มองออกว่าเหลยหู่คิดยังไง เขาเพียงต้องการใช้วิธีนี้ทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจก็เท่านั้น
“ตกลง ผู้อาวุโสเยี่ย เก่งมาก!”
“สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของนักพรตหลี่ซั่นหยวน เยี่ยมจริง ๆ !”
ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะผ่านพิธีการภูเขาดาบป่าหอกได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาดูเหมือนจะมีความมั่นใจมาก จนคนรอบข้างยังต้องรู้สึกเห็นชอบ
“บ้าเอ้ย เตือนแล้วไม่ฟัง คิดจะลองเองนะ อย่าหาว่าคนอย่างฉันใจร้ายก็แล้วกัน?”
เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียนก้าวขา เหลยหู่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก จึงสบตากับเผิงเหวินกวงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เหลยหู่จะไม่มีวันให้เยี่ยเทียนเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมินอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เขารวมหัวกับซ่งเสี่ยวหลงยึดครองทรัพย์สินของซ่งเหวยหลัน อาจทำให้ตระกูลเหลยสูญเสียทุกอย่างในสมาคมหงเหมินได้
มองดูสายตาของเหลยหู่ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เผิงเหวินกวงถึงกับอึ้ง เพราะเรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก ถ้าหากจะให้เยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บจากพิธีการนี้จริง เรื่องคงจะไปกันใหญ่
แต่เผิงเหวินกวงรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขาขี่บนหลังเสือแล้วจึงลงไม่ได้ สู้ให้เยี่ยเทียนจบชีวิตลงใต้คมดาบดีกว่าเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมิน เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่มีใครกล้าประจันหน้ากับตระกูลเหลยเพราะคนตายหรอก
คำสั่งเงียบๆ ถูกส่งออกไปผ่านสัญญานมือของเผิงเหวินกวง มีลูกศิษย์บางคนที่อยู่ในพิธี แสดงอาการรับรู้ออกมาในทันใด สองมือยังคงถือดาบใหญ่เอาไว้
“หืม? สุนัขจนตรอกจริงๆ เหรอ?”
เยี่ยเทียนที่เตรียมเดินเข้าไปในนั้น ในใจเหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ สายตามองไปที่ภูเขาดาบป่าหอกตรงนั้น
บนโลกนี้ สิ่งที่มองเห็นยากที่สุดก็คือใจคน และในขณะเดียวกันสิ่งที่ปิดบังยากที่สุดก็คือใจคนเช่นกัน เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ด้วยการใช้การเคลื่อนที่ของพลังลมปราณชีวิต และสัมผัสได้กับความอาฆาตที่ออกมาจากใจลึกๆ
มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยและยิ้มออกมาเป็นเส้นโค้ง เยี่ยเทียนอกผายไหล่ผึ่งเดินเข้าไปยังภูเขาดาบป่าหอก
แสงระยิบของมีดและหอกที่อยู่บนหัว ดูเหมือนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ ส่วนคนที่ดูอยู่ต่างก็ตื่นเต้นแทนเยี่ยเทียนจนเหงื่อออกกันถ้วนหน้า
…………………………………………………………….