“ใจกล้าดีนี่ เจ้าหนุ่ม!”
แม้จะเป็นยุคศตวรรษที่ 21แล้ว แต่ในสมาคมหงเหมินไม่เคยขาดแคลนคนหนุ่มเลือดร้อน เยี่ยเทียนมีสีหน้านิ่งเฉยเดินเข้าสู่ภูเขาดาบป่าหอก เรียกเสียงตะโกนโห่ร้องจากผู้ชมโดยรอบ
“เสี่ยวเฟย เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลย!”
หลี่ซงชิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นหรี่ตามองเยี่ยเทียน คิดอะไรบางอย่างแล้วก็พยักหน้า ตอนแรกเขายังคิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ตู้เฟยหามา แต่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะใช่
ตู้เฟยเข้าใจความนัยของหลี่ซงชิว ยิ้มแล้วตอบว่า “ท่านประธานใหญ่ ผมเคยพลาดท่าเสียทีให้เยี่ยเทียนแล้วคราวหนึ่ง ถ้าเขาไม่เมตตาปล่อยผม ป่านนี้ผมคงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว”
“เธอยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกเหรอ?”
หลี่ซงชิวตกตะลึง เขารู้ว่าวิทยายุทธของตู้เฟยไม่เป็นสองรองใครในสมาคมหงเหมิน ไม่เช่นนั้น แม้แต่เขาเองยังไม่มีทางผลักดันให้ตู้เฟยขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้นอย่างง่ายดายได้หรอก
“ท่านประธานสมาคม ท่านเยี่ยเป็นคนในสำนักวิชา ไม่เห็นคนในยุทธภพอย่างพวกเราอยู่ในสายตา” ครั้งนี้เหลยหู่เขาหาเรื่องเอาหินมาทับเท้าตัวเอง
ถ้อยคำของตู้เฟยเจือปนด้วยความสาแก่ใจ ความจริงแล้วในความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหลยกับตระกูลซ่ง หากพวกเขาขอรับการสนับสนุนจากซ่งเวยหลัน เหลยหู่มีโอกาสที่จะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเป็นไปได้มาก
แต่ซ่งเสี่ยวหลงวางแผนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลแล้ว เรื่องราวกลับตาลปัตร โดยเฉพาะการกระทำของเหลยหู่ที่ต้องการจะกักบริเวณซ่งเวยหลันยิ่งไปกระตุ้นต่อมความบ้าคลั่งของเยี่ยเทียน
ตู้เฟยผู้รู้ซึ้งถึงความสามารถของเยี่ยเทียน ครั้งนี้จึงจะได้เห็นความพินาศของตระกูลเหลย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานตระกูลเหลยที่กุมอำนาจใหญ่ในสมาคมหงเหมินอาจจะจบสิ้นลง
“เหล่าเหลย ซื่อตรงมาตลอดชีวิต ใครจะคิดว่ากลับต้องมาพ่ายแพ้ย่อยยับ เสี่ยวเฟย ถ้าเธอได้นั่งบนตำแหน่งของฉันก็ควรจะให้ทางรอดกับตระกูลเหลยไว้ด้วย”
หลี่ซงชิว ผงกหัวอย่างมีเลศนัย อย่าคิดว่าเขาป่วยจนต้องนอนติดเตียง แต่ในใจกลับเข้าใจเรื่องราวได้ดีอย่างแจ่มแจ้งเหลยหู่เหิมเกริมใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีคนตั้งมากมายที่มาร้องทุกข์เพราะถูกเหลยหู่รังแก
กว่าจะเป็นประธานใหญ่ของสมาคมหงเหมินได้ หลี่ซงชิวจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?
การที่เขาเรียกตัวตู้เฟยให้กลับมาจากประเทศจีนเป็นเพียงแผนการหนึ่งของหลี่ซงชิว เขายังมีอีกหลายแผนการ ในเมื่อเหลยหู่ใช้เงินซื้อตัวผู้อาวุโสหลายคน สุดท้ายแล้วเกรงว่าจะเป็นเพียงเงาจันทร์ในน้ำ ที่ได้ชื่นชมแต่ไม่มีวันจับต้องได้
ไม่เพียงแต่เรื่องเยี่ยเทียนเท่านั้นที่ตู้เฟยกับหลี่ซงชิวปรึกษากัน ผู้อาวุโสคนอื่นๆในที่นั้นก็แอบกระซิบกระซาบกันเบาๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา อาจจะไม่มีความกล้าเท่าเยี่ยเทียน
ตั้งแต่หน้าประตูจนถึงโถงหน้ามีระยะห่างประมาณหกเจ็ดสิบเมตร เยี่ยเทียนเดินสบายๆ มาถึงกึ่งกลางภูเขาดาบป่าหอกได้อย่างรวดเร็ว
“น่าจะต้องลงมือได้แล้วนะ?”
เยี่ยเทียนดูเหมือนจะเดินอย่างมั่นใจ แต่ในใจกลับระมัดระวังทุกฝีก้าว การฝึกฝนวิชาของเขาแม้จะสูงส่ง แต่ก็มีเลือดเนื้อร่างกาย อีกทั้งไม่เคยฝึกวิชากังฟูนอกรีต ถ้าถูกหอกแทงเข้าที่ตัว แน่นอนว่าต้องเกิดแผลฉกรรจ์
รับรู้ได้ถึงพลังจิตสังหารของคนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าห่างไปสามสี่เมตร เยี่ยเทียนค่อยๆเคลื่อนเข้าไปใกล้ จนถึงระยะห่างหนึ่งช่วงตัว จู่ๆหูของเยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงสิ่งของบางอย่างตัดผ่านลมเข้ามา
“เป็นแผนที่ดีมาก!”
เสียงเซ็งแซ่ในที่นั้นดังขึ้นอีก แต่เสียงลูกหินตัดผ่านลมนั้นไม่อาจเล็ดรอดหูอันว่องไวของเยี่ยเทียนไปได้ ในภาพสมองของเขาคำนวณได้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในจังหวะต่อไปด้วยซ้ำ
“โอ๊ย!”
สมาชิกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเยี่ยเทียน จู่ๆก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าจนร่างกายไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ล้มลงไปกองกับพื้น
แต่เขาลืมเสียสนิทว่าเหนือศีรษะของเขาได้ชูดาบใหญ่ไว้อันหนึ่งอยู่ ตอนที่ร่างกายของเขาล้มฟุบลงไป มือทั้งสองข้างที่ถือดาบไว้ก็ตกลงมาเอง
เล่มดาบสะท้อนกับแสงจนเกิดแสงสะท้อนตา ปลายคมดาบนั้นช่างประจวบเหมาะกับตำแหน่งศีรษะของเยี่ยเทียนพอดี สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำเอาผู้ชมลุ้นจนเด้งขึ้นยืน
“กล้ามาก!”
หลี่ซงชิวตบเข้าที่พนักเก้าอี้อย่างแรง มีสายตาอันดุเดือด เหลยหู่กล้าสั่งให้คนลงมือตอนที่เยี่ยเทียนกำลังผ่านด่านภูเขาดาบป่าหอก เป็นเรื่องที่บ้าดีเดือดที่สุด
ภูเขาดาบป่าหอกสร้างโดยจอมยุทธ โดยทั่วไปแล้วเพื่อใช้หยุดยั้งและทดสอบการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม เรื่องราวเล่าลือในยุทธภพมากมายยังไม่เคยมีใครลงมือแบบนี้กับคนที่เข้าทดสอบเลย
ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงจะทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมาหลายร้อยปีของสมาคมหงเหมิน ซึ่งนี่ทำให้ประธานใหญ่โกรธจนหายใจไม่ทัน นั่งไอหอบอยู่บนเก้าอี้
ท่าทีสบายๆของเหลยหู่ตรงกันข้ามกับความโกรธของหลี่ซงชิวโดยสิ้นเชิง ในสายตาของเขา เยี่ยเทียนไม่น่าจะเป็นคนมีวิชาการต่อสู้ ต้องหลบดาบที่ฟันฉับลงมาไม่ได้แน่นอน
อีกทั้งคนที่ฟันดาบลงยังไม่ใช่คนของตำหนักอาญาของเขาเสียหน่อย ถ้าหากถูกไต่สวน เรื่องก็จะไม่ถูกสาวมาถึงตัวเหลยหู่
ส่วนความเคลือบแคลงใจนะหรือ? ไม่มีอะไร? ไม่มีหลักฐาน ถึงตาแก่หลี่ซงชิวจะรู้ว่าเป็นฝีมือของเขา แต่ก็แตะต้องเขาไม่ได้แม้แต่ปลายผม
“พี่หลัน เรื่องนี้จะโทษผมไม่ได้นะ? ใครให้พี่ไม่ให้ความร่วมมือกับผมเล่า ถึงมีลูกแล้วยังจะเป็นสมาชิกของพรรคชิงปังอีก?”
ใบหน้ายิ้มแย้มของเหลยหู่ยังมีแก่จิตแก่ใจไปคิดถึงซ่งเวยหลันที่อยู่นิวยอร์คด้วย ส่วนการเปิดตำหนักสุคนธ์ในครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น
“เอ๋?” แล้วรอยยิ้มของเหลยหู่ก็หายวับไปกับตา มีเสียงของผู้ชมที่ร้องออกมาอย่างตกใจ
ตอนที่ดาบกำลังจะหล่นลงมาสับกลางศีรษะของเยี่ยเทียนพอดีนั้น เท้าของเยี่ยเทียนราวกับติดจรวดพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ด้วยก้าวที่รวดเร็วนี้ทำให้เยี่ยเทียนรอดพ้นจากอันตรายได้ ดาบใหญ่อันแหลมคมนั้นเกือบจะตัดถูกหนังศีรษะด้านหลังของเขาทำให้ผู้ชมทั้งลุ้นทั้งตกใจ
“ให้ตายสิ ดวงแข็งอะไรอย่างนี้?”
ใบหน้าของเหลยหู่กลายเป็นยิ้มค้าง แต่ก็รีบดึงสติกลับมาทันที มองไปที่ชายอีกสองคนตรงหน้าเยี่ยเทียนตอนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีทางรอด คนทั้งสองนี้คือคนที่จะเป็นเพชรฆาตให้เยี่ยเทียน
ขณะที่เยี่ยเทียนหลบดาบใหญ่เล่มนั้นได้อย่างหวุดหวิด สมาชิกอีกสองคนที่ขนาบข้างซ้ายขวาของเขาอยู่นั้นสบตากันทีหนึ่ง คนหนึ่งสับดาบลงอีกคนตั้งท่าหอกเตรียมพุ่งเข้าใส่
ทั้งสองเป็นบริวารพลีชีพที่เหลยหู่สั่งสอนมาด้วยตัวเอง ในสายตาของพวกเขามีแต่ตระกูลเหลย ไม่มีสมาคมหงเหมิน
ทั้งสองหลังจากได้รับคำสั่งแล้ว ได้เตรียมที่จะออกจากสมาคมหงเหมิน ดังนั้นหนึ่งหอกกับหนึ่งดาบที่พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตด้วยพลังจิตสังหารเต็มเปี่ยม
“ทำไมเป็นแบบนี้?”
“เจ้าชั่ว ใครเป็นคนสั่งการ?”
ถ้าเมื่อครู่จะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้เป็นหอกดาบที่ตั้งใจหมายเอาชีวิต ทำให้ทุกคนในที่นั้นเข้าใจถ่องแท้แล้วว่ามีคนไม่อยากให้เยี่ยเทียนเข้าร่วมสมาคมหงเหมิน
คนที่รู้ถึงฝีมือเยี่ยเทียนมีไม่มาก มีแค่ตู้เฟยกับถังเหวินหย่วนสองคน การโจมตีฉับพลันนี้ทำให้คนอื่นที่เหลือต่างคิดว่าเยี่ยเทียนต้องหัวขาดอย่างหนีไม่พ้นเป็นแน่
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึง คือตอนที่ลำแสงของดาบกำลังจะตัดลงมาที่ต้นคอของเยี่ยเทียน เขาส่งหมัดขวาออกไป งอนิ้วดีดเบาๆไปที่ใบดาบ
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนดูราวกับการละเล่นของเด็ก แต่กลับทำให้ปลายดาบถูกปัดออกไปทางด้านขวาของเยี่ยเทียน
ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ยันเท้าขวากับพื้น ร่างกายหมุนเป็นวงกลมอย่างพลิ้วไหว ปลายหอกที่พุ่งเข้าใกล้ตัวเยี่ยเทียนนั้น ไถลออกไปอีกทาง
การเคลื่อนไหวของเขาดูพลิ้วไหวคล่องแคล่ว แต่กลับแฝงไปด้วยพลังลมปราณหนักแน่น
ถูกเยี่ยเทียนหลบหลีกสะบัดหลุดไป ดาบที่ใช้ฟันกับหอกที่ใช้แทงต่างไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ชักกลับ ทั้งสองพุ่งเข้าหากันทั้งเสียบทั้งแทงพวกเดียวกัน
“โอ๊ย….อ๊าก!”
เสียงร้องตะโกนของทั้งสองดังก้อง เลือดพุ่งเป็นสายท่ามกลางแสงอาทิตย์เจิดจ้า คนที่ถือหอกอยู่นั้นมือซ้ายของเขาถูกดาบตัดขาด
ส่วนคนที่ถือดาบอยู่นั้นก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไหร่ ที่บ่าของเขาถูกหอกแทงจนเป็นรูโบ๋ เลือดสดไหลลงมาย้อมด้ามหอกจนเป็นสีแดงฉานหยดลงบนพื้นเป็นทาง
ทั้งสองทรุดลงไปนอนกับพื้น ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ผู้ชมทั้งหมดต่างตกตะลึงตาค้าง ไม่มีใครมองเห็นได้ชัดเจนว่าในเสี้ยววินาทีนั้นเกิดอะไรขึ้น
“ทำไม…ทำไมเป็นแบบนี้?” เหลยหู่ตะลึงงัน
บริวารทั้งสองคนนี้เมื่อก่อนเคยเป็นโจรสลัดที่มือเปื้อนเลือดมาแล้ว ทั้งสองประลองฝีมือกับชายหนุ่มที่ไม่มีแม้เครื่องป้องกันตัว กลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ เหลยหู่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“เร็ว รีบจับทั้งสองคนนั่นใว้….”
หลี่ซงชิวมีชีวิตอยู่มาเกือบเก้าสิบปี ตลอดชีวิตของเขาฝ่าฟันอุปสรรคมานับไม่ถ้วน แม้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขายังไม่ค่อยเข้าใจชัดเจน แต่ก็ออกคำสั่งในทันที
สิ้นเสียงของหลี่ซงชิว ด้านหลังเก้าอี้ผู้นำมีกลุ่มคนเคลื่อนตัวออกมาเป็นสายและจับตัวชายทั้งสองที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นคุมตัวไว้
“อย่าให้พวกมันตาย ฉันแค่ต้องการจะรู้ว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนบงการ?!”
ด้วยแรงกระตุ้นเพียงเท่านี้ทำให้หลี่ซงชิวหน้าแดงก่ำ ดวงตาอันเฉียบคมจับจ้องไปที่เหลยหู่ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของเหลยเจิ้นเยวี่ย ป่านนี้หลี่ซงชิวคงจะใช้กฎของสมาคมลงโทษไปแล้ว
“เหลยหู่ แกต้องการจะทำลายกฎสมาคมที่มีมาหลายร้อยปีหรือ?”
ตู้เฟยทนไม่ไหวพูดโพล่งออกไป ถึงแม้เรื่องนี้อาจไม่ใช่ฝีมือของเหลยหู่ แต่ตู้เฟยก็จะใช้โอกาสนี้โยนความผิดให้เหลยหู่เป็นผู้รับทั้งหมด
“ตู้เฟย แกอย่ากล่าวหากันแบบนี้นะ มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าฉันเป็นคนทำ?”
เหลยหู่ยืนขึ้นอย่างท้าทาย คนทั้งสองเป็นบริวารพลีชีพให้ตระกูลเหลย แต่กลับไม่มีใครรู้ในเรื่องนี้ แล้วอีกอย่างสองคนนั้นยังเป็นคนของตำหนักคุ้มกฎอีกด้วย ไม่เกี่ยวอะไรกับตำหนักอาญาของเหลยหู่เลย
“นั่นน่ะสิ ท่านตู้ ท่านมีหลักฐานอะไร? คิดว่าตำหนักอาญาของพวกเราไม่มีคนแล้วหรือยังไง?” เสียงของเหลยหู่ยังไม่ทันขาดคำ เผิงเหวินกวงก็ตะโกนโพล่งขึ้นจากกลุ่มคน
คำพูดของเขาเป็นการให้สัญญาณ จากหน้าประตูใหญ่มีชายฉกรรจ์ร้อยกว่าคนบุกเข้ามา ยืนล้อมรอบป้องกันเหลยหู่เอาไว้
“สมาคมหงเหมิน ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว!”
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผู้อาวุโสทั้งหลายที่มาร่วมงานในตำหนักสุคนธ์ต่างคิดไปในทางเดียวกัน
………………………………………………………..