เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า พวกตี๋วั่งยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายกิโลเมตร หลังจากวางค่ายกลพิฆาตเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถอยออกไปหนึ่งร้อยกว่าเมตร แล้วหาพื้นที่ราบแห่งหนึ่งที่ข้างหลังเป็นหินผาและน้ำแข็งเพื่อพักผ่อน ตอนที่ร่างค่ายกลพิฆาตทั้งสามขึ้นมาเมื่อครู่นั้น ทำให้เขาเสียพลังชี่ไปจนแทบจะหมดเกลี้ยง
“พลังชี่ที่นี่อุดมสมบูรณ์จริงๆ บางทีตำนานเจ็ดกระบี่เทียนซานที่อยู่ในหนังสือนิยายอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะเนี่ย!”
หลังจากผ่านไปหกเจ็ดชั่วโมง เยี่ยเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ พลังชี่ในกายฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว พลังชี่ฟ้าดินอันบริสุทธิ์นั้นทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเป็นที่สุด
ผู้บำเพ็ญพรตในสมัยโบราณ ส่วนใหญ่มักจะชอบหาสถานที่ตามป่าเขาเพื่อเร้นกายฝึกบำเพ็ญตน อย่างภูเขาเหมาซาน ภูเขาบู๊ตึ๊ง ภูเขาหลงหู่และภูเขาซานชิง ต่างก็มีตำนานที่เล่าขานกันมามากมาย
เรื่องราวของเจ็ดกระบี่เทียนซานนั้น แม้จะถูกมองว่าเป็นนิยาย แต่ก็อาจจะเคยมีผู้บำเพ็ญตนในสมัยโบราณมาพักอาศัยเร้นกายอยู่ที่นี่จริงๆ ก็เป็นได้
ที่เยี่ยเทียนได้รับถ่ายทอดมานั้นแม้จะเป็นเพียงวิชาด้านนรลักษณ์ แต่ก็ทำให้เขามีวิชายุทธที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งวิชายุทธที่ฝึกกันในสำนักเต๋าฝ่ายที่มุ่งศึกษาศาสตร์การทำให้อายุยืนยาวนั้น ต่อให้ไม่ถึงกับช่วยให้เป็นอมตะ แต่การรักษาใบหน้าให้คงความอ่อนเยาว์และมีอายุยืนยาวถึงร้อยปีได้นั้นกลับมีความเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียว
“อีกสักหนึ่งชั่วโมง พวกนั้นก็น่าจะผ่านเจดีย์น้ำแข็งแล้วละ…”
เมื่อรู้สึกถึงคลื่นจากพลังชี่ที่เขาส่งไปติดตามคนกลุ่มนั้น เยี่ยเทียนก็เริ่มครุ่นคิด เส้นทางขึ้นภูเขาที่มีอยู่เพียงเส้นทางเดียวนั้นจะต้องผ่านเจดีย์น้ำแข็ง ถ้าพวกนั้นอยากจะกลับไปที่ทะเลสาบเทียนฉือ ก็ต้องเดินทางผ่านที่นั่นด้วย
เยี่ยเทียนลุกขึ้นมายืดเหยียดร่างกาย แล้วทันใดนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่สัตว์ตัวหนึ่งซึ่งกำลังบินร่อนอยู่เบื้องบนสูงขึ้นไปยี่สิบกว่าเมตร “เอ๊ะ? นั่น…นั่นมันตัวอะไรน่ะ?”
สัตว์ตัวนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตร รูปร่างเหมือนงู แต่มีปีกสองข้าง เป็นสีเทาขาวตลอดตัว มีเพียงตุ่มที่นูนขึ้นมาเหมือนเนื้องอกกลางหัวของมันเท่านั้นที่เป็นสีเหลืองทอง
ปีกของสัตว์ที่หน้าตาคล้ายงูตัวนี้บางมากจนเกือบจะโปร่งใสอยู่แล้ว ถ้าไม่สังเกตดูดีๆ ก็คงจะนึกว่าเป็นงูตัวหนึ่งเลื้อยอยู่กลางท้องฟ้า ท่าทางแปลกพิสดารยิ่งนัก
“งู…งูบิน? บนภูเขาหิมะมีตัวแบบนี้โผล่มาได้ยังไงล่ะเนี่ย?”
เยี่ยเทียนชอบดูรายการสัตว์โลกที่อาจาย์จ้าวคนนั้นเป็นผู้บรรยาย จึงเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่างูบินมาก่อนแล้ว แต่ประการแรกนั้น สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ส่วนใหญ่จะพบที่ทางใต้ของทวีปเอเชียและภาคตะวันออกของอินเดีย ประการที่สองคือ เขาเคยเห็นงูบินในโทรทัศน์มาแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีปีกเลย
งูชนิดนั้นแม้จะเรียกว่างูบิน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่สามารถบินได้ เพียงแค่กระโดดได้เท่านั้น ขณะที่มัน ‘บิน’ ทั้งตัวมันจะสะบัดเลื้อย ตั้งแต่ส่วนหัวจรดหางจะเคลื่อนไหวพร้อมกันหมด ทำให้พวกมันสามารถเหาะเหินได้ในลักษณะเดียวกับจานบิน
เมื่อเห็นเจ้าสัตว์ตัวนี้ เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกหวาดๆ ขึ้นมาไม่ได้ มีด ‘อู๋เหิน’ ในแขนเสื้อไถลออกมาอยู่ที่อุ้งมือในชั่วพริบตา ในสถานที่ที่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติแสนจะเลวร้ายแบบนี้ โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นสัตว์หน้าตาประหลาดชนิดไหน ก็ไม่ใช่พวกที่จะไปตอแยได้ง่ายๆ ทั้งนั้น
แต่ในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายสายพันธุ์ที่มนุษย์ยังไม่ได้ค้นพบ โดยเฉพาะในเขตที่มนุษย์ไม่สามารถไปอยู่อาศัยได้แบบนี้ ยิ่งจะเป็นสวรรค์ของพวกสายพันธุ์หายาก ถึงเยี่ยเทียนจะรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก แต่ก็กลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร
เมื่อเห็นงูบินเลื้อยอยู่บนท้องฟ้าไปสิบกว่าเมตรแล้วตกลงมาบนพื้น เยี่ยเทียนก็ถอยไปซุ่มหลบอยู่หลังโขดหิน ดูจากตุ่มเนื้อสีสันสดใสบนหัวของมันแล้ว เจ้างูประหลาดตัวนี้ก็น่าจะมีพิษร้ายแรงเลยทีเดียว
“กว๋า…กว๋าๆ!”
เสียงที่เหมือนเสียงกบเขียดร้องดังมาจากเบื้องบน เยี่ยเทียนฟังออกว่า งูประหลาดตัวนี้เหมือนจะกำลังหงุดหงิดและร้อนรน เขาจึงยืดคอออกไปดูอย่างอดใจไม่ไหว
เยี่ยเทียนสังเกตเห็นว่า ปีกทั้งคู่ของงูประหลาดตัวนั้นแนบชิดกับลำตัว และลำตัวช่วงบนก็ชูขึ้นสูงเหมือนงูเห่า พลางส่งเสียงร้องแปลกๆ ไปยังทิศทางหนึ่ง
“เฮ้ย นี่…นี่มันเฟอร์เรตใช่ไหมเนี่ย?”
เมื่อมองไปตามทิศทางที่งูประหลาดส่งเสียงร้องใส่ เยี่ยเทียนก็พบว่า ที่ตำแหน่งห่างจากงูประหลาดประมาณเจ็ดแปดเมตร ยังมีสัตว์อีกตัวหนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากับมันอยู่
สัตว์ตัวนี้มีขนสีเงินทั้งตัว รูปร่างผอมเพรียว ขาทั้งสี่สั้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีขนสีดำหย่อมหนึ่งที่ดวงตา เยี่ยเทียนก็คงไม่สังเกตเห็นมันท่ามกลางดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งแห่งนี้แน่ๆ
ถึงเจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีหน้าตาเหมือนเฟอร์เรต แต่ในเมื่อมันสามารถประจันหน้ากับงูบินประหลาดตัวนั้นได้ เยี่ยเทียนจึงคาดว่า มันก็คงไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ เหมือนกัน อาจจะเป็นสายพันธุ์บางอย่างที่กลายพันธุ์มาก็เป็นได้
“แบบนี้มันพบศัตรูบนทางแคบนี่นา?”
เมื่อเห็นท่าทางตึงเครียดของสัตว์สองตัวนี้ เยี่ยเที่ยนก็เข้าใจแล้วว่า เจ้าสองตัวนี้น่าจะเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ วันนี้ไม่รู้ว่าพวกมันมาเจอกันได้อย่างไร ต่อจากนี้จะต้องเกิดศึกระหว่างมังกรกับพยัคฆ์แน่นอน
เป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดไว้ หลังจากคุมเชิงกันประมาณหนึ่งนาทีกว่าๆ งูประหลาดตัวนั้นก็เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน เห็นหางของมันที่อยู่บนพื้นหิมะขดกลับเข้าหาตัว จากนั้นทั้งร่างก็ดีดพุ่งราวกับสปริงเข้าไปหาเจ้าเฟอร์เร็ตที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตร
แม้ว่างูบินจะพุ่งออกไปเร็วมาก แต่เฟอร์เร็ตตัวนั้นก็เคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้าแลบ เยี่ยเทียนยังไม่ทันเห็นว่ามันหลบหลีกอย่างไร เจ้าเฟอร์เร็ตก็ไปอยู่ข้างหลังงูบินแล้ว และใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างกดร่างของงูบินไว้
“กว๋าๆ!”
งูบินไม่ยอมถูกกำราบ ตวัดหางกลับมารัดตัวเจ้าเฟอร์เร็ตไว้ ส่วนเฟอร์เร็ตก็กดส่วนหัวของงูบินลงไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสกัดมันได้ หนึ่งเฟอร์เร็ตหนึ่งงูกลิ้งเกลือกอยู่กลางพื้นหิมะ
อุ้งเท้าทั้งสองข้างของเจ้าเฟอร์เร็ตทรงพลังอย่างยิ่ง กดหัวของเจ้างูประหลาดลงไปกับพื้นหิมะอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าหางงูจะฟาดใส่ตัวอย่างไร มันก็ไม่ผ่อนแรงลงเลยสักนิด ขณะเดียวกันก็ใช้ฟันฉีกทึ้งปีกทั้งคู่ของเจ้างูประหลาด
“งูบินจะแพ้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าหางของงูประหลาดตัวนั้นอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เยี่ยเทียนก็รู้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว แต่ในขณะนั้นเอง ตุ่มเนื้อสีเหลืองทองบนหัวของเจ้างูประหลาดก็พลันแตกออกมาดัง “ปุ”
ของเหลวสีเหลืองสาดกระเด็นออกมา พร้อมกับมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายออกมาด้วย เจ้าเฟอร์เร็ตดูเหมือนจะกลัวของเหลวและกลิ่นเหม็นนี้มาก จึงปล่อยอุ้งเท้าแล้วกระโดดถอยไปทันที
แต่ในขณะนั้นเอง งูประหลาดตัวนั้นก็กัดเข้าที่ขาหลังของเจ้าเฟอร์เร็ต จนเจ้าเฟอร์เร็ตส่งเสียงร้องดัง “จี๊ดๆ” ออกมา แล้วหันหลังไปกัดที่ตำแหน่งใต้คอเจ็ดนิ้วของเจ้างูประหลาด
เจ้าเฟอร์เร็ตส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง ฉีกทึ้งร่างของงูประหลาด แล้วเจ้างูบินที่มีปีกตัวนั้นก็ค่อยๆ หยุดดิ้นรน ร่างอ่อนยวบลงไปบนพื้นเหมือนเชือกป่าน
แต่งูประหลาดตัวนั้นถึงจะตายไปแล้วก็ยังไม่ปล่อยปาก หัวของมันจึงยังห้อยติดกับขาหลังของเจ้าเฟอร์เร็ต เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปรึเปล่า เขารู้สึกว่า ขนสีขาวเหลือบเงินของเฟอร์เร็ตตัวนั้นดูเหมือนจะเริ่มดำคล้ำขึ้นมาในชั่วพริบตา
“จี๊ดๆ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะลุกขึ้นมาเพื่อดูให้ชัดๆ ทันใดนั้นเจ้าเฟอร์เร็ตก็ส่งเสียงร้องใส่เขา หน้าตาที่ตอนแรกดูน่ารักก็กลายเป็นดุร้ายขึ้นมา
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรหรอก!”
เนื่องจากเยี่ยเทียนได้เห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วปานสายฟ้าแลบของเจ้าเฟอร์เร็ตแล้ว ร่างของเขาจึงหยุดนิ่งไปทันที เขาไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะหลบมันได้ทันหรือไม่ ถ้าเจ้าเฟอร์เร็ตนี่มีพิษละก็ ถูกกัดไปทีเดียวคงได้จบอนาถแน่
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เฟอร์เร็ตตัวนั้นก็หันไปกัดทึ้งซากศพของเจ้างูประหลาดต่อไป แต่ฟันของเจ้างูประหลาดก็กัดจนฝังลึกเข้าไปในเนื้อของมันแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด
ผ่านไปแบบนี้ได้หนึ่งนาทีกว่าๆ การเคลื่อนไหวของเฟอร์เร็ตตัวนั้นก็เริ่มเชื่องช้าลง เลือดของมันสาดกระจายลงบนพื้น ดูเหมือนเจ้าเฟอร์เร็ตจะรู้สึกว่า มันไม่มีทางหลุดจากงูประหลาดได้แล้ว จึงส่งเสียงกรีดร้องออกมา แล้ววิ่งลงเขาไปอย่างโซซัดโซเซ
“เฮ้ย อย่าเข้าไปในค่ายกลนั่นนะ!”
เมื่อเห็นว่าทิศทางที่เจ้าเฟอร์เร็ตวิ่งไปนั้นตรงกับค่ายกลพิฆาตที่เขาตั้งไว้พอดี เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นมาทันที พูดตามตรง เจ้าเฟอร์เร็ตตัวนี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ เยี่ยเทียนจึงไม่อยากเห็นมันถูกค่ายกลฆ่าตาย
แต่เจ้าเฟอร์เร็ตไม่ได้สนใจฟังเยี่ยเทียนเลย ลากงูประหลาดตัวนั้นวิ่งไปบนพื้นหิมะ พอมันอยู่ห่างจากค่ายกลพิฆาตได้สี่ห้าเมตร ร่างของมันก็พลันหายไป
“ตกลงไปในรอยแยกบนน้ำแข็งงั้นรึ?”
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนั้น เยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า รอบนอกเจดีย์น้ำแข็งกลุ่มนั้นมีรอยแยกบนธารน้ำแข็งอยู่หลากหลายขนาด ท่าทางเฟอร์เร็ตตัวนั้นคงจะตกลงไปหลังจากได้รับบาดเจ็บ
“น่าเสียดาย สองสายพันธุ์นี้คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งคู่ พอตายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีลูกหลานอยู่อีกรึเปล่า”
เยี่ยเทียนยืดตัวตรง ขณะที่กำลังคิดจะเข้าไปดูเสียหน่อย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แล้วย่อตัวลงไปอีกครั้ง เพราะเขาเห็นแล้วว่า ณ จุดหนึ่งที่อยู่ห่างลงไปสองร้อยกว่าเมตร มีเงาร่างปรากฏขึ้นหลายร่าง
“มาเร็วเหมือนกันนี่หว่า!”
แม้ว่าบนภูเขาหิมะจะมีทัศนวิสัยต่ำมาก แต่เยี่ยเทียนก็ยังมองเห็นว่าคนกลุ่มนั้นมีสี่คน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดเป็นคนร่างใหญ่ และกำลังแบกสัมภาระขนาดใหญ่ ข้างหลังมีลูกมือสองคนช่วยยกดันขึ้นไป
คนที่เดินอยู่ท้ายสุดเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างไม่สูง เยี่ยเทียนเห็นหน้าตาของเขาได้ไม่ชัด แต่ระหว่างที่กำลังสังเกตดูเขาอยู่ สายตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เหมือนจะมองมาทางเยี่ยเทียนด้วย
“ประสาทสัมผัสมันไวจริงๆ”
เมื่อเห็นชายคนนั้นมองมาทางเขา เยี่ยเทียนก็รีบหดหัวลงทันที ในใจรู้สึกตกตะลึง เขาแน่ใจว่าสี่คนที่อยู่ข้างล่างนั้น ไม่มีคนไหนที่มีพลังชี่ดั้งเดิมอยู่ในร่างเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาจึงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายจากชายวัยกลางคนผู้นั้น
………………………………
จู่ๆ ตี๋วั่งที่ถือไม้เท้าเดินอยู่ข้างหลังสุดก็หยุดฝีเท้าลง แล้วตะโกนว่า “เปียวจึ หยุดก่อน”
“มีอะไรเหรอพี่ใหญ่? นี่ก็ใกล้จะถึงเขตเจดีย์น้ำแข็งอยู่แล้วนะ พวกเราไปหยุดพักกันที่นั่นดีกว่าน่า!”
แม้ว่าร่างคนที่ถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งนั้นจะไม่ได้หนักมากนัก แต่เมื่อต้องมาแบกเจ้านี่บนภูเขาหิมะแบบนี้แล้ว ถึงเปียวจึจะร่างกายแข็งแรงดีก็ยังเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ นึกอยากจะโยนไอ้ตัวน่าชังนี่ลงไปในธารน้ำแข็งเสียเลย
“ฉันว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ข้างหน้านั่น…เหมือนจะมีอันตรายบางอย่างอยู่นะ!”
ตี๋วั่งมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา เหมือนกับมีมือขนาดใหญ่มาจับกุมหัวใจไว้ จนแทบจะหยุดเต้นไปในทันที
ตี๋วั่งเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาสามครั้งแล้ว ครั้งแรกที่ปรากฏอาการแบบนี้ขึ้น เป็นตอนที่ตี๋วั่งนำกองโจรไปบุกจู่โจมฐานที่ตั้งของกองทัพฝ่ายรัฐบาล
ความรู้สึกใจสั่นนั้นทำให้ตี๋วั่งตัดสินใจที่จะละทิ้งปฏิบัติการโดยไม่ลังเลเลย แต่ในขณะที่กำลังจะล่าถอยไป ทันใดนั้นฐานทัพฝ่ายรัฐบาลที่ตอนแรกเงียบสงบอยู่ก็เกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นมา แสงไฟสว่างไปทั่ว พวกเขาถูกล้อมไว้หมดแล้ว
แต่เนื่องจากตี๋วั่งยังล่าถอยได้ทันเวลาอยู่ สุดท้ายจึงหนีรอดออกมาจากวงล้อมได้ โดยต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนสองคน เหตุการณ์นี้จึงพิสูจน์ว่า ความรู้สึกใจสั่นนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้
เมื่อเขามีอาการแบบนี้อีกในสองครั้งต่อมา ก็มีอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิตเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ตี๋วั่งก็ไหวตัวก่อนและหนีรอดไปได้ทุกครั้ง