“อย่านะ!” เมื่อเห็นเหลยหู่เล็งปลายกระบอกปืนไปที่เยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนและตู้เฟยก็แตกตื่นขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนยังมีศิษย์พี่ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสองคน ถ้าเยี่ยเทียนถูกทำร้ายที่สมาคมหงเหมินละก็ ต่อไปสมาคมหงเหมินทั้งสมาคมคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขกันอีกแล้ว
“พิธียังไม่ได้เริ่มเลย อย่างนั้นก็ไม่ได้ถือว่าฉันเหลยหู่ทำร้ายพี่น้องในสมาคมใช่ไหมล่ะ?”
รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหลยหู่ เขาคิดว่าคนของหลี่ซงชิวคงไม่กล้ายิงปืนขึ้นมาแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเสียงปืนดังขึ้นเมื่อไร สมาคมหงเหมินก็จะต้องตกสู่ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
แต่เหลยหู่กล้ายิง เพราะตอนนี้เยี่ยเทียนยังไม่ถือว่าเป็นสมาชิกของสมาคมหงเหมิน ต่อให้ฆ่ามันตายไป ก็ไม่สามารถที่จะนำกฎของสมาคมมาลงโทษเขาได้ ดังนั้นเหลยหู่จึงไม่ได้หวาดหวั่นเลย
“ไอ้เด็กเวร ถ้าแกไปหลบอยู่ที่นิวยอร์กกับแม่แกซะ ท่านหู่ก็อาจจะไม่เอาเรื่องอะไรกับแก แต่แกดันจะรนหาที่ตายเอง อย่ามาโทษว่าฉันทำผิดต่อพี่หลันก็แล้วกัน!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียน เหลยหู่ก็รู้สึกราวกับว่าเพลิงแค้นได้พวยพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เรื่องที่วางแผนล่วงหน้ามาอย่างดี กลับถูกเยี่ยเทียนและมารดาทำพังไปหมด แล้วยังทำให้ตระกูลเหลยต้องมาแบกรับคำครหาว่าเป็นพวกขายมิตรสหายอีกต่างหาก
ถึงอย่างไรเรื่องในวันนี้ก็ไม่มีทางดีขึ้นได้อยู่แล้ว ถ้าฆ่าเยี่ยเทียนไปเสีย เหลยหู่ก็ยังพอจะได้ระบายความแค้นบ้าง อย่างมากก็ถอนตัวออกจากสภาหลักของสมาคมหงเหมินไป อาศัยอิทธิพลของตระกูลเหลย พวกเขาต้องสามารถอยู่ต่อไปอย่างเกรียงไกรได้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยหู่แทบจะบิดเบี้ยวไป รอยยิ้มพิสดารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน เขาถามเบาๆ ว่า “แกแน่ใจนะว่าจะฆ่าฉัน?”
“ไอ้นี่ ไปตายซะเถอะ!”
สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนนั้น ในสายตาของเหลยหู่ดูเหมือนกำลังยั่วยุอยู่ชัดๆ ทำให้เหลยหู่ซึ่งกำลังถูกเพลิงโทสะแผดเผาไม่อาจควบคุมความโกรธในใจได้อีก ยกปืนเล็งไปที่เยี่ยเทียนแล้วลั่นไกทันที
“ปัง…ปังๆ!”
“โอ๊ย ฉัน…ฉันโดนยิง!”
เสียงปืนแหลมเสียดสามนัดดังก้องอยู่ในสภา หลังจากเสียงนั้น ก็มีเสียงร้อยโหยหวนดังขึ้นมา กระสุนของเหลยหู่ไม่ไช่แค่ยิงออกไปกลางอากาศเท่านั้น
แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงคือ คนที่ถูกยิงกลับไม่ใช่เยี่ยเทียน แต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสมาคมหงเหมิน ที่ท้องน้อยและต้นขาของเขาถูกกระสุนไปตำแหน่งละหนึ่งนัด ขณะนี้กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น
“คนล่ะ?”
ทุกคนต่างก็รู้สึกงงงัน เพราะตอนที่เหลยหู่ยกปืนขึ้นมานั้น เยี่ยเทียนก็ยืนอยู่ตรงหน้าเหลยหู่อยู่ชัดๆ แต่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เยี่ยเทียนกลับหายตัวไปเสียแล้ว
“ทำร้ายสมาชิกร่วมสมาคม จะต้องลงโทษโดยการแทงหกรูด้วยสามมีดสินะ?”
เสียงหนึ่งพลันพูดขึ้นที่ข้างหูของเหลยหู่ เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็ได้ยินเสียงดัง “กรอบ” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นมาจากข้อมือข้างขวาทันที ข้อมือของเขาถูกหักสะบั้นไปแล้ว
เมื่อเยี่ยเทียนเกิดความคิดอำมหิตขึ้นมาแล้ว ก็จะลงมือโหดเหี้ยมอย่างที่สุด เศษกระดูกน่าสยดสยองที่ข้อมือของเหลยหู่แทงโผล่ออกมา ระหว่างฝ่ามือกับข้อมือเหลือเนื้อหนังเชื่อมกันพยุงเส้นเอ็นไว้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ถึงเหลยหู่จะเป็นคนที่ฝึกวิชายุทธอยู่ ก็ไม่มีทางทนรับความเจ็บปวดที่แล่นมาจากข้อมือได้ เสียงร้องโหยหวนเพิ่งจะเปล่งออกจากปากไป ก็กลับรู้สึกลำคอขมวดเกร็ง แล้วเสียงก็หยุดชะงักไป
เสียงร้องโหยหวนของเหลยหู่นั้น ทำให้บรรดาคนจากตำหนักอาญาที่อยู่รอบๆ เขาพากันแตกตื่น ไม่มีใครเห็นเลยว่าเยี่ยเทียนเข้าไปใกล้เหลยหู่ได้อย่างไร เหมือนกับว่าเขาปรากฏกายขึ้นตรงนั้นอย่างอัศจรรย์
และทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่สายตานี้ ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันออกจะพิลึกพิลั่นอยู่
เพราะเหลยหู่ผู้มีรูปร่างสูงตระหง่านนั้น ตอนนี้กลับถูกเยี่ยเทียนบีบคอไว้ด้วยมือเดียว สีหน้าที่แสดงออกมานั้น ราวกับลูกไก่ที่กำลังรอการสังหารก็ไม่ปาน แม้แต่จะดิ้นรนสักนิดก็ยังไม่กล้า
“ปล่อยท่านหู่นะ รีบปล่อยท่านหู่เดี๋ยวนี้!” เผิงเหวินกวงได้สติเร็วมาก และเล็งปืนไปที่เยี่ยเทียนทันที
ในใจเผิงเหวินกวงเกิดความรู้สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ราวกับว่าครั้งนี้ตัวเองได้หลงลืมเรื่องอะไรไป ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ จึงกลายเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในวันนี้
“ลูกไม้เยอะเหลือเกินนะไอ้เวร!”
หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของเผิงเหวินกวง ดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยเทียนก็จ้องไปที่เขา จิตสังหารอันรุนแรงแผ่ออกมาจากร่าง แล้วรุกล้ำเข้าสู่สมองของเผิงเหวินกวงราวกับจะจับต้องได้
จิตสังหารบนร่างของเยี่ยเทียนรุนแรงขนาดที่ว่า แม้แต่พวกทหารผ่านศึกที่เคยผ่านเหตุการณ์สยดสยองมามากก็ยังต้านทานไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นเพียงกุนซืออย่างเผิงเหวินกวงเลย
เมื่อถูกเยี่ยเทียนจ้อง เผิงเหวินกวงก็รู้สึกเบื้องหน้าลายตาไปวูบหนึ่ง และรู้สึกร้อนที่ใบหน้า พอยื่นมือไปลูบดู ก็กลับพบว่ามีใบหูคนติดมากับมือหนึ่งหู
ไม่เพียงเท่านั้น ที่ตรงหน้าเผิงเหวินกวงยังเต็มไปด้วยแขนขาขาดกระจาย หัวกะโหลกเบ้าตากลวงโบ๋ และผีสาวผมยุ่งสยาย ต่างก็โถมเข้ามาหาเผิงเหวินกวง
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ…”
เผิงเหวินกวงซึ่งกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว พลันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นใกล้ๆ จากนั้นภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป แสงอาทิตย์สายหนึ่งสาดส่องลงบนใบหน้าของเขา
“เกิด…เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
ซากศพแขนขาที่กองเป็นภูเขาเลากาเมื่อครู่นี้อันตรธานไปหมดแล้ว ทำให้เผิงเหวินกวงรู้สึกเหมือนรอดพ้นจากความตายมาได้ แต่แล้วจมูกเขาก็ได้กลิ่นเหม็นโชยมาทันที
“กลิ่นอะไรน่ะ?”
เผิงเหวินกวงที่สมองยังไม่ค่อยแจ่มใสดีนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ผู้คนโดยรอบกำลังหัวเราะเยาะอยู่นั้นก็คือเขานั่นเอง และแม้แต่คนของตำหนักอาญาที่ปกติเป็นมิตรกับเขาดีก็ยังมีสีหน้าดูถูกดูแคลน
เผิงเหวินกวงก้มหน้ามองลงไปข้างล่างตามกลิ่นเหม็นนั้น และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเปียกชื้นระหว่างต้นขาทั้งสองข้าง ในใจถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ที่แท้กลิ่นนี้ก็มาจากร่างของเขาเองหรอกหรือ?
ชาวยุทธภพยึดถือหลักที่ว่า หลั่งเลือดหลั่งเหงื่อไม่หลั่งน้ำตา กระทำการต่างๆ อย่างแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว อาการกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่อยู่โดยไร้สาเหตุเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องดูถูกกันทั้งนั้น
ปกติสมองของเผิงเหวินกวงคิดอะไรได้เร็ว แต่ในขณะนี้ เขาอับอายจนนึกอยากจะให้แผ่นดินแยกออก แล้วมุดลงรูไปเลย
นอกจากนี้ในใจเผิงเหวินกวงยังตระหนักได้อีกเรื่องหนึ่งคือ ไม่ว่าเหลยหู่จะมีจุดจบอย่างไร ต่อจากวันนี้ไปเขาก็ไม่มีทางอยู่ในสมาคมหงเหมินต่อไปได้อีกแล้ว
“เหลยหู่ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม ถูกฉันจับกุมไว้แล้ว พวกแกยังจะดันทุรังอยู่อีกรึ? ทิ้งปืนลงเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่เผิงเหวินกวงกำลังอับอายสุดขีด ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดดังขึ้นใกล้ๆ เสียงนั้นดังสะเทือนจนแก้วหูอื้ออึง ปืนที่ถืออยู่ในมือตกลงไปบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
เช่นเดียวกับเผิงเหวินกวง บรรดาผู้ภักดีต่อเหลยหู่ที่อยู่โดยรอบก็สะดุ้งกับเสียงตวาดราวกับราชสีห์คำรามนี้จนสติหลุดลอย และโยนปืนทิ้งลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัว
นอกจากเสียงที่เกิดจากปืนตกลงบนพื้นแล้ว โถงใหญ่ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งพันตารางเมตรก็เงียบงันไปหมด มีเพียงเสียงของเยี่ยเทียนที่ดังสะท้อนก้องอยู่ในสภา
คราวนี้ก็สามารถแยกแยะระดับพลังฝีมือของเหล่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แล้ว อย่างเช่นพวกตู้เฟยที่ได้สติกลับมาเป็นกลุ่มแรก ก็รีบสะกิดคนของตัวเอง แล้วควบคุมคนของตำหนักอาญาเหล่านั้นไว้
ส่วนพวกที่ไม่รู้วิชายุทธนั้น ผ่านไปนานสี่ห้านาทีแล้วถึงจะได้สติกลับมา และแม้ว่าสมองจะได้สติแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกวิงเวียนศีรษะตาลายอยู่ ในหูก็เหมือนกับมีปุยฝ้ายอุดอยู่ ฟังยินเสียงจากภายนอกได้ไม่ชัดเจนเลย
จนกระทั่งหลังจากทุกคนได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว สถานการณ์ในที่นั้นก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว บรรดาคนจากตำหนักอาญาที่เหลยหู่พามาทั้งหมดถูกต้อนไปอยู่ที่มุมหนึ่งของสภา แต่ละคนต่างก็กุมศีรษะนั่งยงโย่อยู่กับพื้น
ส่วนเหลยหู่นั้น พอถูกบีบคอก็สลบเหมือดไปแล้ว เยี่ยเทียนก็เลยโยนเขาทิ้งลงไปบนพื้น
แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่า เจ้าตำหนักคุ้มกฎที่ตอนแรกยืนอยู่ที่ประตูคนนั้น ตอนนี้กลับหายตัวไปแล้ว และในสถานการณ์อันโกลาหลวุ่นวายนี้ ก็ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไร
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมสมองฉันยังมึนๆ อยู่เลย!”
“ดูเหมือนว่าพอท่านเยี่ยตวาดขึ้นมา สมองฉันก็ตื้อไปเลย เอ๊ะ เหลยหู่เป็นอะไรไปน่ะ?”
“พูดเบาๆ หน่อย สมาคมหงเหมินจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจริงๆ แล้ว ตระกูลเหลยจะไม่เหลืออิทธิพลอีกแล้วหละ!”
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เร่งเดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก สมองย่อมคิดได้ไวกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อเห็นสภาพการณ์ที่นั่น ก็ขบคิดเข้าใจได้ในทันที ตระกูลเหลยสิ้นท่าในสมาคมหงเหมินอย่างไม่มีทางฟื้นฟูได้แล้ว
และผู้อาวุโสบางคนที่เคยฝึกวรยุทธดั้งเดิมมาก่อน ยามนี้ต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เยี่ยเทียนเป็นจุดเดียวกันแล้ว
เสียงสิงห์คำรามเมื่อครู่นี้ สะเทือนจนพลังลมปราณทั่วร่างของพวกเขากระเจิงออกไป แม้จะได้สติกลับมาในเวลาไม่นาน แต่ในใจก็ยังรู้สึกตระหนกสุดขีด
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เยี่ยเทียนที่ดูท่าทางธรรมดาๆ กลับมีพลังฝีมือลึกซึ้งถึงขนาดนี้ กระทั่งยังไม่ได้ขยับมือเลยด้วยซ้ำ แค่ตวาดออกไปคำเดียว สถานการณ์ที่ที่นั่นซึ่งแทบจะควบคุมไม่อยู่แล้วก็สามารถพลิกกลับมาได้
จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาจึงเพิ่งจะเข้าใจแล้วว่า สาเหตุที่เยี่ยเทียนกล้ามาเปิดที่ชุมนุมในสมาคมหงเหมินนี้ ที่แท้ไม่ใช่เพราะเขาพึ่งพากิตติศัพท์ของหลี่ซั่นหยวนผู้เป็นอาจารย์ แต่เพราะว่ามีเพชรล้ำค่าอยู่ในมือ ถึงได้กล้ามาเจาะกระเบื้องแบบนี้
“ท่านเยี่ย เกิดเหตุอัปมงคลในสมาคม เป็นที่น่าขายหน้าต่อท่านแล้ว…”
หลี่ซงชิวให้คนเข็นเก้าอี้มาถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน แม้จะไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ แต่ก็ประสานมือคารวะ ก้มศีรษะให้เยี่ยเทียนอย่างต่ำ เป็นตัวแทนสมาคมหงเหมินแสดงการขออภัยต่อเขา
เยี่ยเทียนรีบประคองมือทั้งสองข้างของหลี่ซงชิวไว้ แล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านประธานใหญ่หลี่ สิบนิ้วยังสั้นยาวไม่เท่ากัน สมาคมหงเหมินมีสมาชิกอยู่หลายแสนคน จะมีพวกใจต่ำโผล่มาบ้าง ก็ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”
คำพูดของเยี่ยเทียนนี้ ทำให้บรรดาผู้อาวุโสที่ตอนแรกรู้สึกอับอายกันอยู่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา และคิดในใจว่าเยี่ยเทียนนี่รู้จักวางตัวดีจริง
หลี่ซงชิวผายมือ “ท่านเยี่ย เชิญท่านที่ตำแหน่งประธานใหญ่เลย ที่ประชุมของพวกเรานี้ยังต้องดำเนินพิธีการต่อไปนะ!”
เมื่อเกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ขึ้น ตอนนี้หลี่ซงชิวเลยกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่ยอมเข้าร่วมสมาคมหงเหมินอีก ถ้าเรื่องแพร่ออกไปละก็ อย่างนั้นสมาคมหงเหมินคงจะไม่เหลือหน้าตาจริงๆ แน่
แต่ถ้าเยี่ยเทียนเข้ามาอยู่ในสมาคมหงเหมิน อย่างนั้นเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องภายในของสมาคมหงเหมิน แม้จะยังน่าขายหน้าอยู่มาก แต่ก็ถือว่ามีผ้าเตี่ยวช่วยปิดอำพรางอยู่ผืนหนึ่ง
เยี่ยเทียนร้องอืมเบาๆ แล้วพยักหน้า “ในเมื่อพี่น้องสมาคมหงเหมินให้เกียรติเช่นนี้ ผู้แซ่เยี่ยก็จะขอทำพิธีจนเสร็จสมบูรณ์!”
“ดี ท่านเยี่ยเชิญ พิธีการนี้ ฉันจะเป็นพิธีกรให้เอง!” หลี่ซงชิวได้ยินแล้วยินดียิ่งนัก ให้ตู้เฟยเข็นเก้าอี้พาเขาไปอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา
“ลุงหลี่ ร่างกายไหวหรือครับ? ให้ผมทำแทนดีกว่านะครับ” ตู้เฟยพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร อีกแค่ประเดี๋ยวเดียวยังไม่ตายหรอกน่ะ!” หลี่ซงชิวโบกมือ แล้วพูดว่า “เชิญท่านเยี่ยจุดธูป!”
เมื่อเขาตะโกนขึ้น คนของสมาคมก็นำธูปหอมก้านหนึ่งมาส่งให้ถึงมือหลี่ซงชิว แล้วหลี่ซงชิวก็ส่งต่อให้เยี่ยเทียนอย่างทะนุถนอม
เยี่ยเทียนรับธูปก้านนั้นมาด้วยสองมือ แล้วชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ คุกเข่าทั้งสองข้างลงไปตรงแท่นบูชาบรรพบุรุษของสมาคมหงเหมิน กราบสามครั้ง แล้วปักธูปไว้บนโต๊ะบูชา
“ท่านเยี่ย ขอประทานโทษนะครับ!”
หลังจากพิธีจุดธูปคารวะเสร็จสิ้นไปแล้ว ตู้เฟยก็หยิบดาบด้ามห่วงเล่มหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน แล้วใช้สันดาบตีเยี่ยเทียนเบาๆ ปากก็ท่องคำปฏิญาณตนสามสิบหกประการของสมาคมหงเหมินออกมาเสียงดัง
…………………………………………………….