แม้ว่าซ่งเฮ่าเทียนจะโมโหกับเรื่องที่เหลยเจิ้นเยวี่ยและลูกชายวางอุบายใส่ลูกสาวของตนอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับคนระดับซ่งเฮ่าเทียน ปัญหาที่เขาจะต้องพิจารณา ไม่ได้มีแต่เฉพาะเรื่องทรัพย์สินเงินทองแล้ว
สมาคมหงเหมินเป็นกลุ่มองค์กรของคนเชื้อสายจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก จริงอยู่ที่ว่าสมาคมได้ถอนกำลังออกจากประเทศจีนไปนานแล้ว แต่กลับยังมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงในทวีปยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
ในบางช่วงเวลาสมาคมหงเหมินถึงขั้นสามารถควบคุมการตัดสินใจบางอย่างของนักการเมืองสำคัญๆ ในอเมริกาได้เลยทีเดียว ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อประเทศจีนที่กำลังพัฒนา
การติดต่อระหว่างตระกูลซ่งและสมาคมหงเหมินในต่างประเทศสมัยนั้น ซ่งเฮ่าเทียนเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด และในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ เขาก็เคยให้การสนับสนุนต่อกิจกรรมทางการทูตบางอย่างของสมาคมหงเหมินในประเทศจีนไปมากแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้ข่าวว่า ทันทีที่เยี่ยเทียนไปถึงอเมริกาก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในสมาคมหงเหมิน และพวกเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ในอดีตมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีนมาตลอดก็ถอนตัวออกจากสมาคมหงเหมินกันหมด ซ่งเฮ่าเทียนจึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที
อีกทั้งเรื่องนี้ยังถึงขั้นทำให้ผู้นำสูงสุดท่านนั้นตื่นตระหนกไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวแพร่ไปถึงทางนั้นหลังจากผ่านไปสองวันแล้ว และตู้เฟยผู้ได้ขึ้นปกครองสมาคมหงเหมินมีความสัมพันธ์กับตระกูลซ่งอย่างลึกซึ้งแล้วละก็ สงสัยคราวนี้เยี่ยเทียนคงได้เจอดีแน่ๆ
“แม่ครับ ตาแก่นั่นจะโมโหกระทืบเท้าอยู่ที่บ้านแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็เบะปาก แล้วถามว่า “กิจการของแม่ทางโน้นเป็นยังไงบ้างครับ? เสียหายไปเยอะรึเปล่า?”
“ความเสียหายทางการเงินน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ใจคนแตกแยกไปแล้ว ต่อไปก็คงจะควบคุมได้ยากแล้วละ!”
ซ่งเวยหลันฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า เงินทุนก้อนนั้นแม้จะถูกสกัดไว้แล้ว แต่ถ้าจะกู้กลับมาละก็ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีกว่า
และการจัดการกองทุนทรัสต์อย่างผิดกฎหมายนั้น ยังทำให้บริวารหลายคนที่เคยติดตามมาตั้งแต่ช่วงบุกเบิกสูญเสียความศรัทธาไปมาก ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งเวยหลันมาจัดการได้ทันเวลา อาณาจักรธุรกิจอันใหญ่โตมหาศาลนั้นก็คงจะพังทลายไปแล้ว
ซ่งเวยหลันรู้ว่า ลูกชายไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ จึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ลูกแม่ แม่น่าจะต้องอยู่ที่นิวยอร์กต่ออีกสักระยะ ไว้พอแม่จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ต่อไปก็คงจะไม่มาทางนี้อีกแล้วละนะ”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมก็จะอยู่ที่ซานฟรานซิสโกนี่ต่ออีกระยะหนึ่งเหมือนกัน พอทำธุระเสร็จหมดแล้วผมจะไปหาแม่ที่นิวยอร์กนะครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เมื่อเห็นว่าคนเริ่มมากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงบอกมารดาว่า “เราเข้าไปกันเถอะครับ พิธีล้างมือในอ่างทองคำของชาวยุทธนี่มันน่าสนุกตรงไหนก็ไม่รู้นะแม่ คนถึงได้มากันจัง?”
ซ่งเวยหลันขึงตาใส่เยี่ยเทียน “เจ้าลูกคนนี้นี่ แม่รู้หรอกว่าแกเก่ง แต่หลายปีมานี้ลุงเหลยเขาก็ช่วยเหลือแม่มาเยอะ เดี๋ยวลูกอย่าไปเสียมารยาทล่ะ”
“ครับผม ทราบแล้วครับ เดี๋ยวผมจะหุบปากทำเหมือนเป็นใบ้ไปเลยดีไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างไม่จริงจังนัก กล่าวทักทายสมาชิกของสมาคมหงเหมินที่อยู่แถวๆ นั้น แล้วเดินไปที่สวนซึ่งตั้งอยู่ตำแหน่งใจกลางของคฤหาสน์
ขณะนั้นที่นั่นมีแต่เสียงผู้คนพูดคุยกันดังอื้ออึง ผู้อาวุโสจากสาขาต่างๆ ที่มาร่วมงานประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินในหลายวันที่ผ่านมาแทบจะมาชุมนุมกันครบทุกคน ในลานฝึกวรยุทธที่อยู่กลางสวนนั้น จัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้หลายสิบตัวโดยแยกออกเป็นสองแถว
สมาชิกสมาคมหงเหมินที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกลุ่มหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการรินน้ำชาให้แขก ส่วนเหลยเจิ้นเยวี่ยซึ่งเป็นตัวละครหลักในวันนี้ก็กำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าสวนเพื่อคอยทักทายแขกที่มาถึง
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกตำหนักอาญาที่มีอาวุธซ่อนไว้ที่เอวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลาดตระเวนอยู่รอบนอกสวนแห่งนั้น เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีคนมาก่อความวุ่นวาย
การล้างมือในอ่างทองคำนั้นเป็นการประกาศว่าจะถอนตัวออกจากยุทธภพอย่างเป็นทางการ ต่อไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในยุทธภพอีก และบุญคุณความแค้นต่างๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นก็จะถูกลบล้างไปทันที
เพราะฉะนั้น หากผู้ใดมีความแค้นฝังลึกกับเหลยเจิ้นเยวี่ย ก็จะต้องมาจัดการก่อนที่เขาจะล้างมือในอ่างทองคำ ไม่อย่างนั้นหากมือทั้งสองข้างจุ่มลงไปในอ่างแล้ว ผู้อื่นก็จะไม่อาจมาแก้แค้นเหลยเจิ้นเยวี่ยได้อีก
ดังนั้นในยุทธภพสมัยก่อนยุคคอมมิวนิสต์ แม้จะมีคนล้างมือในอ่างทองคำอยู่ไม่น้อย แต่ที่จะดำเนินพิธีไปอย่างราบรื่นได้นั้นกลับมีอยู่ไม่มาก กระทั่งเกิดเหตุฆาตกรรมเลือดสาดกลางพิธีอยู่หลายครั้ง
เหลยเจิ้นเยวี่ยเคยผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการปะทะกับกลุ่มแก๊งใต้ดินที่ต่างประเทศ แต่ก็มีศัตรูคู่แค้นที่มาจากวงการยุทธจักรในประเทศจีนอยู่เหมือนกัน ดังนั้นในพิธีล้างมือในอ่างทองคำครั้งนี้ สมาชิกของสมาคมหงเหมินที่มีหน้าที่เฝ้าระวังจึงเตรียมพร้อมราวกับจะต้องรับมือกับข้าศึกใหญ่ก็ไม่ปาน
“ท่านเยี่ย…”
ร่างอันสูงใหญ่ของเยี่ยเทียนเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนจึงดูสะดุดตากว่าคนอื่น หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยเดินเข้าไปหาแล้วถึงเพิ่งจะเห็นว่าซ่งเวยหลันก็มาด้วย ใบหน้าชรานั้นแดงวาบขึ้นมา “เวยหลัน คราวนี้เป็นเพราะลุงเหลยเหลวไหลเอง ดันไปหลงเชื่อคำพูดยุยงของคนอื่นได้ ลุงเหลยรู้สึกผิดต่อเธอจริงๆ!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมัยก่อน ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับผิดแน่ แต่หลังจากที่พลังฝีมือเข้าสู่ระดับสูงสุด เขาก็เริ่มปล่อยวางกับเรื่องหลายๆ อย่างมากขึ้น
“เป็นความผิดของเวยหลันเองค่ะลุงเหลย ช่วงนั้นไม่ค่อยได้มาเยี่ยมลุงเลย ถึงได้ทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้นมา” ซ่งเวยหลันเคารพนับถือเหลยเจิ้นเยวี่ยเสมอมา หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอก็โทษตัวเองมาโดยตลอด
“ไม่ต้องพูดแล้วละ ลุงเหลยดีใจมากเลยนะที่เธอมาร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของลุงได้เนี่ย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง แต่แล้วสีหน้าก็ขรึมลงทันที “หลานชายเธอคนนั้นน่ะมันพวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา ไม่ใช่คนดีหรอก เวยหลัน ให้ลุงเหลยช่วยจัดการมันให้เอาไหมล่ะ?”
ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะซ่งเสี่ยวหลงเป็นต้นเหตุ ต่อให้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะใจกว้างสักขนาดไหน ก็ยังแค้นจนอยากจะจับซ่งเสี่ยวหลงมาแล่เนื้อเถือหนัง แล้วสับร่างมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น
ซ่งเวยหลันยังไม่ทันพูดอะไร เยี่ยเทียนก็ชิงตอบก่อนว่า “เรื่องนี้ขอไม่รบกวนดีกว่าครับผู้อาวุโสเหลย ไว้พวกเราจะจัดการกันเองครับ!”
หลังจากถูกซ่งเสี่ยวหลงวางอุบายมาหลายต่อหลายครั้ง ความอดทนของเยี่ยเทียนก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เขาตั้งใจไว้ว่าหลังจากเสร็จเรื่องที่อเมริกาแล้ว ก็จะเดินทางไปแอฟริกาเพื่อยุติความแค้นเหล่านี้ด้วยมือของตัวเอง
“ได้ อย่างนั้นเหล่าเหลยก็จะไม่เข้าไปยุ่งละนะ” เหลยเจิ้นเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ “ทั้งสองคนไปนั่งดื่มชาด้านในก่อนเถอะ เหล่าเหลยจะไปทักทายแขกคนอื่นๆ ต่อ”
ซ่งเวยหลันมองดูสีหน้าของลูกชายแวบหนึ่งแล้วถอนใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตามเยี่ยเทียนไปนั่งเก้าอี้จุดที่ใกล้กับตำแหน่งประธานมากที่สุด
สิบกว่านาทีต่อมา เหลยเจิ้นเยวี่ยเห็นคนมากันเกือบครบแล้ว จึงไปยืนอยู่ตรงกลางลานแห่งนั้น แล้วประกาศเสียงดังกังวานว่า “พี่น้องสมาคมหงเหมินทั้งหลาย และพี่น้องเชื้อสายจีนทุกท่าน ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่มาร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของเหลยเจิ้นเยวี่ย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นรองประธานสมาคมหงเหมิน ขณะเดียวกันยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของ ‘เทพแขน’ จางเช่ออีกด้วย จึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนมากมายในวงการยุทธจักรที่ต่างประเทศ ดังนั้นนอกจากคนในสมาคมหงเหมินแล้ว จึงมีเจ้าของโรงฝึกวิชายุทธใหญ่ๆ แต่ละแห่งในสหรัฐอเมริกามาร่วมงานด้วย
“เหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่ในยุทธภพมาเจ็ดสิบปี สังหารคนไปนับไม่ถ้วน วันนี้ขอล้างมือในอ่างทองคำ ยุติความแค้นทั้งหลายในอดีต แต่หากสหายท่านใดมีความแค้นกับผู้แซ่เหลยชนิดที่ไม่อาจเลิกราได้ ก็สามารถเข้ามาแทงผู้แซ่เหลยได้หนึ่งมีด!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยพูดเสียงดังมาก ถึงจะไม่ใช้ไมโครโฟน แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงอันดังกังวานนั้นอย่างชัดเจน
พอพูดจบ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ตวัดมือชักมีดเงินออกมา แล้วปักมีดเล่มนั้นลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้า “เหล่าเหลยจะนับหนึ่งถึงสิบ หลังจากสิ้นเสียงนับสิบไปแล้ว ความแค้นทั้งหมดเป็นอันยุติ!”
เวลาชาวยุทธจะล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ใช่เพียงแค่เชิญมิตรสหายมาร่วมพิธีเท่านั้น แต่ยังต้องเชิญศัตรูมาด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ศัตรูก็จะไม่ยอมรับ และสามารถตามมาล้างแค้นได้แม้ว่าจะผ่านพิธีล้างมือในอ่างทองคำไปแล้ว
“หนึ่ง สอง สาม…” เหลยเจิ้นเยวี่ยนับเลขอย่างเชื่องช้า แต่ละครั้งเว้นระยะถึงเจ็ดแปดวินาทีกว่าจะตะโกนเลขต่อไปออกมา
หลังจากเสียงตะโกนของเหลยเจิ้นเยวี่ยดังออกไป ฝูงชนก็เริ่มเอะอะวุ่นวายขึ้นมา เป็นที่รู้กันดีว่า คนเชื้อสายจีนนั้นไม่ค่อยจะกลมเกลียวกันเลย โดยเฉพาะพวกโรงฝึกวิชาบู๊ต่างๆ ยิ่งชอบไปแข่งกันสำแดงเดชตามที่ชุมชน และสมัยก่อนเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้ได้ชื่อว่าเป็นพวกคลั่งวิชาบู๊ก็เคยทำเรื่องแบบนั้นไปเยอะเหมือนกัน
“ไอ้เสือเหลย ตอนนั้นพ่อฉันโดนมวยสับงัดของแกทำร้าย นอนติดเตียงอยู่ครึ่งปีก็สิ้นใจไป แต่ฉันก็ไม่มีฝีมือพอที่จะมาล้างแค้นได้ วันนี้ขอยุติความแค้นนี้ด้วยการถ่มน้ำลายหนึ่งครั้งก็แล้วกัน!”
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยนับถึงเลขหก ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบต้นๆ คนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน แล้วถ่มก้อนน้ำลายเหนียวข้นใส่หน้าเหลยเจิ้นเยวี่ยดัง “ถุย”
“แกกล้าเรอะ?!”
เมื่อเห็นภาพนี้ สมาชิกสมาคมหงเหมินที่อยู่ข้างๆ กลุ่มนั้นต่างพากันชี้นิ้วถลึงตาด้วยความเดือดดาล ดวงตาถลนจนแทบจะหลั่งโลหิตออกมาอยู่แล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้กล้ามาทั้งชีวิต สมควรแล้วหรือที่จะต้องมารับความอัปยศเช่นนี้?
พี่น้องในสมาคมบางคนที่เคยติดตามเหลยเจิ้นเยวี่ยมาก่อนกำลังผรุสวาทด่าทอ และตั้งท่าจะเข้าไปลงมือทำร้ายชายคนนั้นแล้ว
“หยุดมือ ถ่มน้ำลายหนึ่งครั้งทดแทนหนึ่งชีวิต เหล่าเหลยขอยอมรับเอง!” เหลยเจิ้นเยวี่ยตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “พี่น้องทุกท่านก็คงไม่อยากให้หลังจากเหล่าเหลยล้างมือในอ่างทองคำแล้ว ต้องไปเป็นศพอยู่กลางถนนหรอกนะ?”
“พี่เหลย!”
“ท่านเหลย!!”
หลายเสียงร้องออกมาอย่างรันทดใจ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าก้าวออกไปอีกแล้ว เพราะถ้าวันนี้พวกเขาทำร้ายชายวันกลางคนผู้นั้น พิธีล้างมือในอ่างทองคำของเหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะล่มไปเพราะพวกเขาเป็นต้นเหตุ
“เก้า!”
เมื่อตะโกนออกไปถึงเลขเก้า เหลยเจิ้นเยวี่ยก็หยุดนิ่ง แล้วกวาดสายาตาไปรอบๆ “ถ้าไม่มีคนอื่นแล้ว ผู้แซ่เหลยก็จะขอถอนตัวออกจากยุทธภพตั้งแต่บัดนี้ ความขัดแย้งใดๆ ในยุทธภพต่อจากนี้ไปจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้แซ่เหลยอีก!”
ที่นั่นมีสมาชิกสมาคมหงเหมินชุมนุมกันอยู่มากมาย แม้จะยังมีบางคนที่มีความแค้นส่วนตัวกับเหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่ แต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนลงไป และตอนที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นถ่มน้ำลายไปเมื่อครู่ ก็ได้ช่วยให้ความเคียดแค้นในใจของพวกเขาสลายไปมากแล้ว
อ่างน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าเหลยเจิ้นเยวี่ยใบนั้นเป็นอ่างทองคำของแท้ น้ำใสสะอาดในอ่างสะท้อนประกายสีทองแพรวพราว หลังจากตะโกนเลขสิบออกไปแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็จุ่มมือทั้งสองข้างลงไปในอ่างทองคำ
เหลยเจิ้นเยวี่ยชำระล้างมือทั้งคู่ในอ่างทองคำซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วมองไปที่เยี่ยเทียน “อาละวาดในยุทธภพมาหลายสิบปี เข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย ที่สามารถยุติได้ด้วยดีอย่างวันนี้ ก็ล้วนเป็นเพราะความเมตตาของท่านเยี่ยทั้งนั้น ขอเชิญท่านเยี่ยเป็นผู้เช็ดมือให้ผู้แซ่เหลยด้วย!”
ในช่วงสุดท้ายของพิธีล้างมือในอ่างทองคำนี้ จะต้องเชิญผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพมาเป็นผู้เช็ดมือให้ ซึ่งธรรมเนียมข้อนี้ก็เป็นการรับรองอย่างหนึ่งว่า ถ้าในวันหน้ามีคนมารังควานผู้ทำพิธีล้างมืออีก ผู้อาวุโสท่านนั้นก็จะช่วยออกหน้าขัดขวางให้
การที่เหลยเจิ้นเยวี่ยเชิญเยี่ยเทียนเป็นผู้เช็ดมือให้นั้น ก็ไม่ได้แฝงนัยอื่นใดนอกจากจะขอให้เยี่ยเทียนละเว้นเหลยหู่สักครั้ง เยี่ยเทียนเองก็เข้าใจในข้อนี้ดี ยามนั้นจึงลุกขึ้นมา
เยี่ยเทียนมองดูเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วถอนหายใจ “ผู้อาวุโสเหลย จมูกของเหลยหู่มีรอยเป็นเส้นแนวตั้ง เส้นขนคิ้วคดงอ เปลือกตาแคบ ดวงชะตาของเขาไม่ค่อยดีนัก จะต้องกักบริเวณเขาไว้สักห้าปี ไม่อย่างนั้นจะมีเคราะห์ร้ายแรงถึงชีวิต!”
เส้นแนวตั้งบนจมูกนั้นเป็นลักษณะห้าม้าแยกสังขาร ส่วนเส้นขนคิ้วคดงอและเปลือกตาแคบก็หมายความว่าคนผู้นี้มีนิสัยก้าวร้าวจิตใจคับแคบ ตามวิชานรลักษณ์ศาสตร์ของเยี่ยเทียน การที่เหลยหู่มีชีวิตมาถึงวันนี้ได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“ขอบคุณท่านเยี่ยที่ช่วยเตือน ผู้แซ่เหลยจะกลับไปอบรมอย่างเคร่งครัด!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฟังแล้วก็ใจหายวาบ วาจาที่ศิษย์ของปรมาจารย์นรลักษณ์ศาสตร์หลี่ซั่นหยวนเป็นคนกล่าวออกมานั้น เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย
…………………………………………………….