ตั้งแต่ยุคปี 80 เป็นต้นมา ทุกปีการจัดแข่งขันมวยใต้ดินระดับสากลนั้น ถูกจัดขึ้นบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธทุกครั้ง
เพียงแค่พวกชาวต่างชาตินิยมความจริง พวกเขาไม่เหมือนข้าราชการในประเทศจีนที่รักหน้าตาชอบใช้เส้นสาย เมื่อก่อนวงการมวยใต้ดินในประเทศไม่ค่อยเฟื่องฟู ดังนั้นจึงไม่ได้รับการเชื้อเชิญ
ครั้งนี้ถ้าราชามวยโลกชาวรัสเซียอันเดรวิชไม่ได้พลาดท่ากลับไป และคนญี่ปุ่นคนนั้นที่ชื่อคาโต้ ทาคุมิที่ถูกตัดแขนขาในการต่อสู่ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้มาเยือนในงานมวยใต้ดินนี้อีกแล้ว
“งานเริ่มเมื่อไหร่?”
เรื่องของสมาคมหงเหมินเสร็จสิ้นลงแล้ว ความสนใจของเยี่ยเทียนจึงจดจ่ออยู่ที่งานประชุมมวยครั้งนี้ แค่คิดว่าจะได้เปิดหูเปิดตากับเหล่านักมวยฝีมือดีจากแต่ละประเทศแล้ว เยี่ยเทียนรู้สีกจิตใจพองโตด้วยความตื่นเต้น
จู้เหวยเฟิงหัวเราะเสียงแห้ง ตอบว่า “พรุ่งนี้จะมีการจัดงานสัมมนาของตัวแทนแต่ละประเทศก่อน วันมะรืนถึงจะเริ่มงานแข่งขันจริงเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลก”
ตัวแทนผู้จัดงานได้ตามตัวจู้เหวยเฟิงให้ขึ้นเรือนานแล้ว เพียงแต่เขาติดต่อเยี่ยเทียนไม่ได้เสียที ถ้าวันนี้เยี่ยเทียนไม่ติดต่อมา จู้เหวยเฟิงคงต้องละทิ้งโอกาสการเข้าร่วมงานแข่งมวยใต้ดินระดับโลกครั้งนี้ไปเลย
การแข่งขันในปีนี้ไม่มีผู้เข้าร่วมแข่งขันจากประเทศจีนสักคน จึงดูด้อยกว่าผู้แข่งขันจากประเทศอื่น ถ้าเยี่ยเทียนไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยแล้วละก็ จู้เหวยเฟิงคงไม่อยากไปให้เสียเวลา
“พรุ่งนี้? ทันเหรอ?”
เยี่ยเทียนอึ้งไป เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมจู้เหวยเฟิงถึงร้อนใจตามหาตัวเขานัก เพราะว่าแทบไม่เหลือเวลาแล้วนั่นเอง
จู้เหวยเฟิงดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังทัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ให้ขึ้นเรือ ถ้าเลยเวลาไป จะถือว่าละทิ้งคำเชิญครั้งนี้!”
“ถ้างั้นรออะไรอยู่ ไปเร็ว!” เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ให้เวลาผมสามนาที ผมไปเก็บของก่อน!”
เยี่ยเทียนขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนชั้นสอง คว้ากระเป๋าติดตัวมาใบหนึ่ง ในนั้นมีทั้งพาสปอร์ตและขวดยาเม็ดสองขวด หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วหยิบเอาเสื้อผ้าไม่กี่ชุดยัดลงกระเป๋า
“เยี่ยเทียน เก็บของเสร็จแล้ว?”
ลงมาชั้นล่าง จู้เหวยเฟิงกับผู้ติดตามทั้งสองยืนรออยู่ข้างประตูแล้ว เยี่ยเทียนขึ้นรถเบนซ์คันสีดำออกไป
รถโลดแล่นอย่างรวดเร็ว ภายในครึ่งชั่วโมงก็มาถึงท่าเรือใต้สะพานโกลเด้นเกตอันลือชื่อของเมืองนี้แล้ว ท่าเรือเบื้องหน้ามีเรือยอร์ชขนาดกลางจอดเทียบท่าอยู่ บนเรือมีเงาคนที่กำลังเดินไปเดินมา
“ทุกท่าน กรุณาแสดงบัตรเชิญด้วยครับ!”
เยี่ยเทียนกับคนอื่นๆลงจากรถแล้วเดินไปถึงท่าเรือถูกชายชาวอเมริกาสวมชุดสูทสามคนขวางไว้ จากบนเรือมีแสงกระพริบแวววาวออกมา
“ให้ตายเถอะ นี่เรือยอร์ชหรือเรือรบกันแน่?”
เยี่ยเทียนไม่สนใจปืนพกที่เหน็บอยู่ตรงเอวของชายใส่สูททั้งสาม แต่กลับสังเกตเห็นว่าดาดฟ้าของเรือยอร์ชมีปืนใหญ่ที่ใช้ผ้าใบคลุมอยู่ นั่นน่าอันตรายยิ่งกว่าทำเอาเยี่ยเทียนใจเต้นโครมคราม
“พวกเราได้รับคำเชิญจากมิสเตอร์คลีเมตสัน นี่เป็นบัตรเชิญของพวกเรา!”
จู้เหวยเฟิงตอนอยู่ในประเทศจีนถือเป็นคนมีหน้ามีตา แต่เมื่อมาถึงต่างประเทศกลับทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เมื่อถูกขวางทางไว้ เขาจึงล้วงเอาบัตรเชิญสีดำออกมาจากกระเป๋า
หนึ่งในชายใส่สูทมองดูบัตรเชิญ แล้วตอบว่า “ขอโทษครับ ทางฝ่ายท่านไม่ได้ส่งตัวผู้ลงแข่งขัน ตามกฎแล้ว ให้ได้แค่สองคนเท่านั้นที่ขึ้นเรือได้ แล้วก็ห้ามพกอาวุธด้วยครับ!”
“ให้ขึ้นเรือได้แค่สองคน?” จู้เหวยเฟิงได้ยินดังนั้นก็ลังเล
เขารู้ว่าผู้ติดตามคุ้มกันของเขาสองคนอาจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า
เมื่อไม่ให้ผู้ติดตามขึ้นเรือ ตั้งแต่ออกจากแผนกพิเศษนั้นแล้ว จู้เหวยเฟิงได้รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีคุณค่ามาก คิดลังเลไม่อยากจะขึ้นเรือแล้ว
“ประธานจู้ มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ไปได้อย่างไร?” เยี่ยเทียนหัวเราะตบที่บ่าของจู้เหวยเฟิงเบาๆ เอ่ยต่อว่า “ผมได้ทำนายไว้แล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่มีอันตราย วางใจได้เลย!”
“ดี งั้นฉันจะออกเดินทางครั้งนี้ไปกับน้องเยี่ยก็แล้วกัน!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้าหนักแน่นรับคำเยี่ยเทียนอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกเป็นเยี่ยเทียนที่ขอติดตามตนเองไปร่วมงานด้วย พอมาตอนนี้กลับกันแล้ว?
หลังจากผ่านการค้นตัวอย่างละเอียด แผ่นสะพานถูกวางลงมาจากเรือยอร์ชเพื่อรับตัวเยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงขึ้นไป
พนักงานต้อนรับวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายต้อนรับ “คุณผู้ชายทั้งสองท่านครับ ก่อนออกเดินทางพวกคุณสามารถเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือได้ แต่เมื่อออกเรือแล้วพวกคุณต้องอยู่แต่ในห้องโดยสารนะครับ!”
“เอ๋ พูดภาษาจีนได้ไม่เลวเลยนี่!”
เยี่ยเทียนมองบริกรตรงหน้าที่เป็นชาวฝรั่งผมทองอย่างประหลาดใจ ถามต่อว่า “คุณเรียนภาษาจีนมาจากที่ไหน พูดได้ชัดเจนดีจริง”
“ขอบคุณคุณผู้ชายที่ชมครับ ผมสามารถพูดได้เจ็ดภาษา ภาษาจีนเป็นแค่หนึ่งในนั้นครับ!”
พนักงานบริกรตอบกลับอย่างสุภาพ “ในบรรดาพนักงานบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ พนักงานแต่ละคนต้องพูดได้อย่างน้อยห้าภาษาครับ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสทำงานบนเรือ”
คำตอบของบริกรทำเอาเยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงมองหน้ากัน คำโบราณว่าไว้ จะรู้ว่าต่างก็ต่อเมื่อมีตัวเปรียบเทียบ
บรรดาพนักงานบนเรือลำนี้ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องแข่งมวยใต้ดินเลย เอาแค่เรื่องภาษาก่อน จู้เหวยเฟิงยังพูดได้แค่ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ
หลังจากบอกกล่าวถึงข้อห้ามข้อปฎิบัติบนเรือแล้ว พนักงานคนนั้นก็ถอยออกไป ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าเรือจะออก เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงจึงขึ้นไปเดินเล่นที่ดาดฟ้าเรือ
แม้ว่าที่หัวเรือจะมีคนเฝ้าอยู่ แต่เยี่ยเทียนยังสามารถเลิกผ้าใบผืนใหญ่ขึ้นแอบดูปืนกลไฟลำใหญ่ที่อยู่ภายใน แม้แต่ลูกกระสุนสีเหลืองลูกใหญ่ที่ถูกบรรจุรางเตรียมพร้อมไว้แล้ว
อาจะเป็นเพราะเป็นเรือเที่ยวสุดท้ายที่รับคนไปส่งขึ้นเรือสำราญควีนอลิซาเบธ คนบนเรือจึงมีไม่มาก ถ้านับเยี่ยเทียนกับเพื่อน รวมทั้งเหล่าบริกรทั้งหมดประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น เมื่อลงไปในห้องโดยสารแล้วไม่ถึงกับเบียดเสียดหนาแน่น
บนเรือมีตั้งแต่บาร์เครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ไปจนถึงซิการ์ ฝ่ายผู้จัดงานนั้นวางแผนไว้อย่างรอบคอบ แม้แต่การเดินทางสั้นๆบนเรือยอร์ช ยังให้การบริการอย่างครบถ้วน
หรือจะพูดอีกอย่างคือ เยี่ยเทียนและคนอื่นๆที่เดินทางจากท่าเรือซานฟรานซิสโก จะต้องผ่านโกลเด้นเกตถึงจะออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิคไปสู่จุดที่เรือควีนอลิซาเบธจอดทอดสมออยู่
ผ่านการเดินทางสองชั่วโมงกว่า เรือยอร์ชหยุดนิ่งลง เมื่อมองผ่านกระจกออกไปด้านหน้าปรากฏเป็นราชาแห่งท้องทะเล
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว สภาพอากาศเลวร้าย ทัศนวิสัยย่ำแย่ แต่เรือสำราญลำใหญ่เบื้องหน้าที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟดูราวกับกลางวัน
“ทุกท่าน ออกมาได้แล้วครับ” พนักงานบริกรประกาศ แล้วเปิดประตูห้องโดยสารออกมา
เงยหน้ามองดูเรือสำราญลำใหญ่ที่สูงถึงห้าสิบเมตรเทียบเท่ากับตึกขนาดยี่สิบชั้น เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมา “ให้ตายสิ นี่หรือเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ใหญ่โตอะไรขนาดนี้?”
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนเป็นคนโลกแคบ แต่การเดินทางของเขาส่วนใหญ่เป็นเครื่องบิน ไม่เคยขึ้นเรือสำราญมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นราชาแห่งท้องทะเลเป็นครั้งแรก
“คุณผู้ชายท่านนี้ คุณหมายถึงเรือสำราญควีนอลิซาเบธรุ่นสองเหรอ?”
บริกรข้างๆได้ยินคำรำพึงของเยี่ยเทียนแล้วก็หัวเราะ “เรือสำราญควีนอลิซาเบธรุ่นสองไม่ได้เป็นเรือส่วนตัวของราชินี แต่มันเป็นของบริษัทคาร์นิวาลแห่งอเมริกาที่เป็นกิจการของบริษัทขนส่งคูนาร์ทของอังกฤษ แต่เมื่อปี 1976 เริ่มหันมาใช้เรือสำราญควีนอลิซาเบธรุ่นสองออกมาดำเนินการ…
ส่วนเรือควีนอลิซาเบธลำนี้ เริ่มสร้างในปี 1921 และทำการปรับปรุงอีกครั้งในปี 1980 จึงมีขนาดและรูปแบบใหญ่กว่าเรือควีนอลิซาเบธรุ่นสองเล็กน้อย
คำอธิบายของบริกรทำให้เยี่ยเทียนค่อยๆหน้าแดงขึ้น เมื่อก่อนพอเขาได้ยินชื่อเรือสำราญวีนอลิซาเบธจะคิดว่าเป็นของราชินีแห่งประเทศอังกฤษไปเสียหมด ตอนนี้รู้สึกราวกับถูกบริกรให้คำสั่งสอน
ยังดีที่บริกรอธิบายด้วยถ้วยคำที่เป็นมิตรน้ำเสียงมีมารยาท ไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งดูถูกเยี่ยเทียนเลย เมื่อเรือใหญ่หย่อนบันไดลงมา ก็มีเสียงประกาศขึ้น “ทุกท่าน เชิญขึ้นบันไดมาได้เลยครับ ข้างบนมีคนคอยรับท่านอยู่!”
บันไดนี้รับน้ำหนักคนได้ครั้งละเจ็ดถึงแปดคน นอกจากพวกบริกรแล้ว คนอื่นๆบนเรือยอร์ชทยอยขึ้นไปกันหมด บันไดถูกดึงสูงขึ้นไป เยี่ยเทียนมองดูเรือยอร์ชเบื้องล่างที่ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ
“นี่มันสุดยอดไปเลย!”
เมื่อขึ้นเรือแล้ว แม้ว่าจะอยู่กลางมหาสมุทร แต่ด้วยความโอ่โถงของเรือทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกของการท่องทะเลแบบนี้ช่างต่างกับการบินอยู่บนท้องฟ้าสีครามอย่างสิ้นเชิง
“ทั้งสองท่าน เชิญเข้าพักที่โซน c ด้านซีวิว นี่เป็นคีย์การ์ดเข้าห้อง ขอให้ท่านทั้งสองอย่าได้ออกมาเดินเล่นในตอนกลางคืน ปีหน้าจะมีการส่งบัตรเชิญไปให้ท่านทั้งสองอีก”
เมื่อขึ้นเรือแล้ว มีพนักงานรับรองสถานะตัวตนของเยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิง นำคีย์การ์ดห้องพักมอบให้ แต่เยี่ยเทียนสังเกตว่า คุณชายจู้มีสีหน้าแปลกไปจากเดิม
“เฮ้ วิวสวยไม่เบา” แม้ในตอนกลางคืน แสงไฟตกกระทบพื้นน้ำ แต่ด้วยสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว สามารถมองเห็นได้ไกลกว่าคนปกติ
ห้องพักที่พวกเขาพักนั้นเป็นห้องคู่ นอกจากห้องรับแขกแล้วยังมีระเบียงยื่นออกไปด้านนอกด้วย เยี่ยเทียนพึงพอใจมาก
“ประธานจู้ เป็นอะไรไป?”
เยี่ยเทียนยืนอยู่นอกระเบียงครู่หนึ่งแล้วกลับเข้ามาในห้อง เห็นจู้เหวยเฟิงสีหน้าหมองคล้ำ แล้วแกล้งหัวเราะถามว่า “ฝ่ายผู้จัดงานเขาติดหนี้นายเท่าไหร่กันแน่? ทำไมตั้งแต่ขึ้นเรือมาไม่ค่อยดีใจเลย?”
“การเลือกปฏิบัติ ให้ตายเถอะ นี่เขาเลือกปฏิบัติกับเรา!”
ถ้าเยี่ยเทียนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็แล้วไป แต่พอพูดขึ้นมาทำเอาจู้เหวยวเฟิงถึงกับนั่งไม่ติด “ให้ตายเถอะ คลีเมตสันไม่มาต้อนรับเราด้วยตัวเองก็อย่างหนึ่ง ยังให้เราพักในห้องโซน c อีก นี่ถือเป็นการไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มมวยใต้ดินประเทศจีนเลย!”
กับการขึ้นเรือสำราญของเยี่ยเทียนนั้นช่างแตกต่าง จู้เหวยเฟิงผู้ซึ่งเคยนั่งเรือสำราญโดยสารที่หรูหรากว่านี้ล่องเที่ยวรอบโลกมาแล้ว เขาคุ้นเคยกับการแบ่งระดับห้องพักโดยสารในเรือเป็นอย่างดี
ตามหลักแล้ว เรือสำราญจะแบ่งห้องพักเป็นโซน A B C D ตามพยัญชนะภาษาอังกฤษ ระดับที่สูงที่สุดเป็นห้องพักที่ที่สุดหรูหราที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นโซน A
แต่ตอนนี้โซน A ยังไม่ต้องพูดถึง แม้แต่โซน B ยังไม่ได้ไปพักเลย ทำให้จู้เหวยเฟิงรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติอย่างมาก
…………………………………………………