“ถ้าสู้ไม่ไหวก็ปฏิเสธไป ไม่เห็นน่าอับอายตรงไหนเลย”
เยี่ยเทียนมองดูจู้เหวยเฟิง รู้สึกหงุดหงุดที่จู้เหวยเฟิงลากเขามางานแข่งมวยปล้ำครั้งนี้ ก็เพื่อเหตุผลแค่นี้เองหรือ? คนที่เป็นลูกหลานของคนมียศศักดิ์อย่างจู้เหวยเฟิงความคิดความอ่านไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
“เอ้อ เยี่ยเทียน นายอย่าเข้าใจผิดนะ”
จู้เหวยเฟิงเป็นคนฉลาด พอเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนแล้วก็รีบอธิบายยกใหญ่ “ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้นายลงแข่ง แต่ฉันไม่ได้พานักมวยมาด้วย ถ้ามีคนอื่นมาท้าสู้ ฉันก็สู้ไม่ได้อยู่ดี!”
ถ้ายังไม่นับเรื่องที่เยี่ยเทียนเป็นหลานชายของซ่งเฮ่าเทียน อาศัยเพียงตำแหน่งระดับสูงในสมาคมหงเหมินก็ทำให้จู้เหวยเฟิงไม่กล้าคิดไม่ดีกับเยี่ยเทียน ไม่เช่นนั้นด้วยอิทธิพลของสมาคมหงเหมินทั่วโลก จู้เหวยเฟิงคงไม่กล้าออกนอกประเทศอีกเลย
“คนอย่างพวกนายนี่ ใช้ชีวิตยากเย็นจริงๆ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวพลางทอดถอนหายใจ คนที่ฝึกวิชายุทธมักให้ความสำคัญกับความสงบสุขของจิตใจ นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เหล่านักสู้ทั้งหลายไม่มีความปรารถนาในลาภยศสรรเสริญหรือตำแหน่งยศศักดิ์
“คนที่อยู่ในวงการนี้ ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้นี่ เยี่ยเทียน ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ!”
จู้เหวยเฟิงถอนหายใจตาม ชีวิตของเขาไม่ได้เสพสุขและสุขสบายอย่างภาพภายนอกที่แสดงออก ปกติแล้วต้องระมัดระวังตัวเพราะกลัวว่าถ้าก้าวพลาดก้าวเดียวชีวิตจะจบสิ้น
ภูมิหลังครอบครัวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้เป็นยันต์คุ้มครองได้ แต่มันก็เป็นดาบสองคม
ถ้าหากจู้เหวยเฟิงเกิดฝ่าฝืนกฎหรือทำผิดพลาดขึ้นมา เกรงว่าจะถูกโจมตีทันที ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่การพนันมวยที่เป็นเรื่องเสื่อมเสียเล็กน้อยแบบนี้ก็จะถูกคิดบัญชีรวบยอด ยิ่งกว่านั้นคือทำให้ครอบครัวพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
อีกทั้งครอบครัวของจู้เหวยเฟิงยังอยู่ในประเทศจีน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่มีทางหนีออกนอกประเทศได้ เขายังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอันใหญ่หลวง
แต่เยี่ยเทียนไม่เหมือนกัน เงินทองที่เขาได้มานั้นมีแหล่งที่มาไม่โปร่งใส ไม่ได้ทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ ในประเทศจีนยังมีซ่งเฮ่าเทียนอยู่ทั้งคน จะทำอะไร ไม่ได้ง่ายดายนัก
ถ้าเยี่ยเทียนเกิดอยู่ในประเทศต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ด้วยฐานะทางการเงินของซ่งเวยหลัน เยี่ยเทียนไม่ว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไหนก็ได้เสพสุขราวเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ความอิสระแบบนี้จู้เหวยเฟิงไม่มีทางได้ใฝ่ฝันถึง
“เอาเถอะ คุณอย่าเสแสร้งเลย ประธานจู้อยู่ในประเทศ มีใครไม่รู้จักบ้าง?”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก มองดูบริกรชาวต่างชาติยกอาหารขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร แล้วกวักมือเรียก “กินอาหารก่อนเถอะ นี่เป็นอาหารมื้อใหญ่ของฟรี ถ้าไม่กินคงเสียดายแย่”
หลายปีมานี้ความเป็นอยู่ของเยี่ยเทียนสุขสบายขึ้น และเดินทางไปฮ่องกงไต้หวันบ่อย ได้กินของดีของอร่อยมานับไม่ถ้วน แค่มองดูก็รู้แล้วว่า เมนูอาหารทะเลที่พวกเขาเตรียมขึ้นมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของดีราคาแพง
อย่างเช่นกุ้งล็อบสเตอร์จากออสเตรเลีย ปลาหิมะจากชิลี หอยเชลล์จากญี่ปุ่น หอยเป๋าฮื้อสด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีไข่ปลาคาเวียร์ที่ราคาแพงกว่าทองคำกับเห็ดทรัฟเฟิลป่า ทำเอาเยี่ยเทียนน้ำลายสอ อาหารที่มีไขมันสูงพวกนี้เป็นแหล่งพลังงานชั้นยอด
“กินฟรี? นาย…นายรู้ไหมว่าพวกเรามาร่วมงานครั้งนี้ต้องจ่ายเงินไปตั้งเท่าไหร่?”
ฟังเยี่ยเทียนจบแล้ว จู้เหวยเฟิงแทบอยากร้องไห้ออกมา เรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้ไม่ได้ใจดีมีเมตตาถึงขนาดให้ขึ้นเรือฟรี ความสะดวกสบายเหล่านี้ต้องใช้เม็ดเงินอัดฉีด
นอกจากนักมวยที่ขึ้นเรือมาเพื่อเข้าร่วมแข่งขัน คนอื่นๆในเรือทุกคนจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้านับเงินค่าตั๋วขึ้นเรือของเยี่ยเทียนไปด้วย จู้เหวยเฟิงต้องจ่ายทั้งหมดยี่สิบล้านหยวนเลยทีเดียว
“ให้ตายเถอะ อย่างนี้ต้องกินให้คุ้ม!”
เยี่ยเทียนหยิบจานเดินไปเลือกอาหาร จู้เหวยเฟิงกระโดดลุกจากเก้าอี้แล้วพุ่งไปที่โต๊ะที่มีไข่ปลาคาเวียร์กับเห็ดทรัฟเฟิลป่าวางอยู่
หยิบอาหารจนเต็มจานแล้ว จู้เหวยเฟิงยังไม่ลืมที่จะเลี้ยวไปที่บาร์เครื่องดื่มเพื่อหยิบไวน์ชาโตร์ ลาฟิต รอธส์ชิลด์ปี 82 มาขวดหนึ่ง คนรุ่นราวคราวเดียวกับจู้เหวยเฟิงเรื่องกินเรื่องเที่ยวไม่ได้ด้อยกว่าคนชั้นสูงทางยุโรปเลย
“เหล่าต่งไม่มากินด้วย น่าเสียดายออก”
แม้ในจานจะมีอาหารไม่น้อย แต่กิริยาการรับประทานอาหารของจู้เหวยเฟิงยังรักษาไว้ซึ่งมารยาท เมื่อหันมามองเยี่ยเทียนแล้วถึงกับตะลึงตาค้าง
ตรงหน้าของเยี่ยเทียนมีจานอาหารวางอยู่ห้าใบ แต่ละใบพูนไปด้วยอาหารทะเลที่ปรุงเสร็จแล้วแต่ละชนิด แต่ตอนนี้สี่ใบในนั้นว่างเปล่าลง ส่วนใบสุดท้ายก็กำลังใกล้จะหมดลงเช่นกัน
ไม่เพียงแต่จู้เหวยเฟิงที่ตะลึง คนต่างชาติคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมามองด้วยความประหลาดใจ แม้พวกเขาจะอยู่ในโลกธุรกิจมืด แต่ตอนนี้ก็พอมีฐานะหน้าตาทางสังคมแล้ว จึงต้องระวังเรื่องมารยาทเป็นอย่างดี
ท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยของเยี่ยเทียน ทำให้คนอื่นๆมองดูแล้วรู้สึกจนน้ำลายไหลตาม ทุกคนหยิบเอาไวน์แดงขึ้นมากินดื่มกันอย่างเต็มที่
การรับประทานอาหารก็เหมือนโรคระบาด ถ้าทุกคนรับประทานกันอย่างอิ่มเอมเต็มที่ อาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกก็จะไม่เพียงพอ
ปริมาณอาหารมื้อนี้คืออาหารที่กักตุนไว้สำหรับสามวัน เรือสำราญอลิซาเบธต้องรีบสั่งอาหารทะเลชั้นดีมาจากแหล่งต่างๆทั่วโลกเพื่อเติมคลังเสบียง
แน่นอนว่าเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง เยี่ยเทียนคนเดียวก็รับประทานเข้าไปมากเทียบเท่ากับปริมาณอาหารของคนสิบคน แต่ท้องก็ไม่ได้ป่องออกมา แถมยังดื่มไวน์แดงลงไปสองขวดเต็มๆจึงจะเสร็จสิ้นมื้ออาหาร
คนอื่นๆเฝ้าดูอย่างอิจฉา แต่พวกเขาก็ไม่อาจรับประทานอาหารได้มากเท่าเยี่ยเทียน ทำได้แต่เพียงมองดูเยี่ยเทียนเดินเรอเอิ้กอ้ากออกไปจากห้องอาหาร
“ตอนบ่ายมีกิจกรรมอะไรหรือเปล่า?”
ออกมาจากห้องประชุมแล้วก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ เยี่ยเทียนบิดขี้เกียจทีหนึ่ง การใช้ชีวิตแบบคนมีเงินช่างสุขสบายแบบนี้นี่เอง กินอิ่มแล้วก็ขึ้นมาตากลมชมวิวอย่างอารมณ์ดี
เมื่อครู่เยี่ยเทียนได้ยินที่คลีเมตสันประกาศว่า การแข่งมวยคู่แรกจะเริ่มขึ้นตอนสามทุ่ม ตอนนี้ยังมีเวลาก่อนการแข่งขันจะเริ่ม บรรดาแขกที่เหลือสามารถเลือกกิจกรรมบันเทิงบนเรือได้ตามใจชอบ
“กิจกรรม? มีเยอะแยะเลย”
จู้เหวยเฟิงยิ้มออกมา แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของจู้เหวยเฟิงดูแปลกๆยังไงชอบกล
“น้องเยี่ย บนเรือนี่มีหญิงสาวมาจากแต่ละประเทศมากมาย อายุก็ยังไม่เกินยี่สิบทั้งนั้น ทั้งสาวสวยใส่ถุงน่องตาข่ายสีดำ หรือเครื่องแบบชุดนักเรียน หรือหยดน้ำตาเทียน นายอยากเล่นแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”
จู้เหวยเฟิงกระซิบเสียงต่ำ “เมื่อวานฉันใช้บริการสาวฝาแฝดที่มาจากสาธารณเช็ค ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว สาวญี่ปุ่นก็ใช้ได้ นายอยากจะลองดูสักหน่อยไหม?”
แม้ตอนอยู่ในประเทศจีน จู้เหวยเฟิงอยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ยังมีขอบเขตอยู่ เขาไม่สามารถเสพสุขกับการบริการทางเพศได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเมื่อคืนเขาจึงใช้บริการอย่างหนักหน่วงทั้งคืน
“ ในสมองคุณนอกจากผู้หญิงแล้วยังมีเรื่องอย่างอื่นอีกไหม?”
จู้เหวยเฟิงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกก็แล้วไป แต่พอพูดขึ้นมาเหมือนปลุกไฟโทสะในใจของเยี่ยเทียน เสียงดังรบกวนเมื่อคืนทั้งคืนทำเอาเขาไม่ได้พักผ่อน เยี่ยเทียนเกือบจะเกิดจิตสังหารต่อจู้เหวยเฟิงแล้ว
เห็นเยี่ยเทียนไม่สนใจ เขาจึงตอบกลับอย่างเหงาหงอยว่า “อย่างอื่น ไม่มีอะไรน่าสนุกแล้ว นั่งเรือสปีดโบ๊ทออกไปตกปลา หรือลงพนันสักสามสี่ตา แล้วแต่นายเลือกเลย”
จู้เหวยเฟิงจู่ๆก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ใช่แล้ว ยังมีการแสดงระบำเปลื้องผ้าด้วย ไม่งั้นเราไปดูระบำเปลื้องผ้ากันดีไหม?”
“ดูคุณสิ ไป ไปดูในคาสิโนเสียหน่อย!”
เยี่ยเทียนตวัดสายตาใส่จู้เหวยเฟิงที่ในหัวมีแต่เรื่องใต้สะดือ แล้วกวักมือเรียกบริกรให้นำทางเขาทั้งสองไปที่คาสิโนบนเรือ
เดิมทีเรือสำราญควีนอลิซาเบธเป็นเรือคาสิโน เยี่ยเทียนแม้ไม่ได้มีความชื่นชอบ แต่เมื่อได้มาถึงแล้วอยากจะไปดูไปเรียนรู้เสียบ้าง
“คาสิโนมีอะไรน่าดู น้องเยี่ย นายนี่ไม่เข้าใจความรักเลย เอ๋? คาสิโนก็ไม่เลวนี่!”
จู้เหวยเฟิงเคยไปคาสิโนมาหลายแห่ง ไม่ค่อยสนใจเรื่องพนันเท่าไหร่ แต่เมื่อเข้าไปถึงคาสิโนแห่งนี้แล้วก็ตาลุกวาว
คาสิโนตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นหนึ่ง กินพื้นที่ทั้งหมดหลายพันตารางเมตร พรมบนพื้นหนานุ่ม ทั้งคาสิโนถูกตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่าอลังการ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือพนักงานบริการทุกคนในคาสิโนตั้งแต่บริกรจนถึงคนแจกไพ่ล้วนแล้วแต่เป็นสาวสวย ทั้งยังเปลือยกายล่อนจ้อน มีเพียงผ้าผืนน้อยที่แขวนไว้ที่เอวเพื่อปกปิดที่ลับเท่านั้น
“บ้าเอ๊ย นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่?”
เยี่ยเทียนเมื่อเข้าไปแล้วได้แต่มองตาค้าง ความชื่นชอบของพวกคนต่างชาติพวกนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องการพนันก็คือเรื่องผู้หญิง คาดว่าแม้แต่การออกทะเลไปตกปลา บนเรือยังต้องมีผู้หญิงหลายคนตามไปรับใช้
“ดีจริงๆ น้องเยี่ย นี่นายเลือกเองนะ นายจะหนีไปไหนไม่ได้แล้ว!”
จู้เหวยเฟิงเห็นเยี่ยเทียนทำท่าจะถอยหลังกลับจึงรีบรั้งแขนไว้ หัวเราะอย่างขบขันว่า “เยี่ยเทียน วันนี้พี่ลงทุนเอง นายไปลงพนันได้เลย พนันได้เท่าไหร่ยกให้นายใส่กระเป๋ากลับบ้าน เสียเท่าไหร่ให้พี่เป็นคนจัดการเอง!”
“พูดจริงหรือ?”
เยี่ยเทียนแม้ว่ายังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ใสซื่อไม่เคยผจญโลกมาก่อน อีกทั้งยังผ่านการฝึกจิตมาอย่างดี เรื่องแบบนี้เขาอดกลั้นไว้ได้
“แน่นอนสิ ใช่แล้ว นายเล่นเป็นไหม? อย่าตั้งใจเล่นให้ฉันเสียเงินล่ะ!” จู้เหวยเฟิงเตือนเยี่ยเทียนด้วยสายตา เงินของเขาไม่ใช่ว่าลมพัดฟ้าผ่าหอบมาให้
“เล่นพนันผมเล่นเป็น แต่ที่สำคัญคือนายจ่ายไหวหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนยิ้มแล้วชี้ไปที่มุมแลกเหรียญตรงข้างประตูทางเข้า
“โอ้โห อย่างน้อยต้องหนึ่งแสนดอลลาร์?”
จู้เหวยเฟิงเงยหน้ามอง สีหน้าหมองลงทันที แม้ว่าเขาจะมีทรัพย์สินหลายพันล้านหยวน แต่ไม่มีสิทธิ์จะมาเล่นพนันที่นี่
ไม่ว่าจะเล่นพนันชนิดไหน ต้องมีเงินแสนดอลลาร์เป็นค่าเริ่มต้น จะแพ้หรือชนะเงินทีละหลานแสนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นเงินครึ่งหนึ่งของทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเขา
“ไปเถอะ เราไปสูดอากาศข้างนอกกัน!” เยี่ยเทียนหัวเราะใหญ่ ดึงแขนจู้เหวยเฟิงออกไปด้านนอก
“ทั้งสองท่าน ทำไมไม่ลองเล่นสักครั้งล่ะครับ?” เพิ่งเดินพ้นประตูออกมา ชายผิวขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก เป็นใครไปไม่ได้นอกจากรูดอล์ฟผู้ที่วางแผนจะจัดการต่งเซิงไห่นั่นเอง
สำหรับเจ้าของบ่อนการพนันใหญ่ในลาสเวกัส จู้เหวยเฟิงไม่ได้รู้สึกดีด้วย ยิ่งเห็นว่าพรรคพวกของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาขวางประตูไว้ก็ขมวดคิ้วถามว่า “พวกเราไม่สนใจ ขอทางหน่อย!”
“มีสำนวนของคนจีนอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า อย่าปฏิเสธคนที่อยู่ทางไกลไม่ใช่เหรอ”
รูดอล์ฟกระหยิ่มยิ้มย่อง “คุณคือคุณจู้ที่มาจากประเทศจีนใช่ไหม? ครั้งนี้ผมมาหาคุณโดยเฉพาะ!”
“หาผม? มีธุระอะไร?” จู้เหวยเฟิงมองรูดอล์ฟอย่างหวาดระแวง เขากับเจ้าฝรั่งผีนี่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน
……………………………………………………..