เงื่อนไขในข้อตกลงง่ายๆ รอบที่หนึ่ง คนของฮิราโนะ อิจิโร่เจอกับคนของฟรุส เมื่อได้ผู้ชนะ ฝ่ายที่ชนะสามารถขอท้าปะลองกับสนามของจู้เหวยเฟิง ส่วนจู้เหวยเฟิงห้ามปฏิเสธคำท้า
แต่หลังจากตรวจทานข้อตกลงเสร็จ ทั้งฮิราโนะ อิจิโร่และฟรุสต่างก็ขมวดคิ้ว และมองออกว่าในข้อตกลงมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
“คุณจู้ แล้วสถานที่กับเวลาปะลองกับฝั่งคุณ วางแผนไว้ยังไง?”
ครั้งนี้ฮิราโนะอิจิโร่พานักมวยมาร่วมการแข่งขันทั้งหมดสามคน ส่วนฟรุสก็มีนักมวยในจำนวนที่เพียงพอ ทั้งสองฝั่งพร้อมแข่งขันทุกเมื่อ
แต่จู้เหวยเฟิงเหมือนไม่ได้พานักมวยมาด้วย มันเลยทำให้พวกเขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย ถ้าการแข่งขันจบแล้วจู้เหวยเฟิงไม่ยอมจัดการแข่งขัน งั้นพวกเราก็โดนหลอกน่ะสิ?
“เอ่อ?” จู้เหวยเฟิงมองเยี่ยเทียนทันทีหลังจากฮิราโนะ อิจิโร่พูดแบบนั้น เพราะเรื่องนี้เขาตัดสินใจเองไม่ได้
เยี่ยเทียนหัวเราะแห้ง ๆ และพูดกับฮิราโนะ อิจิโร่ว่า “หลังจากการแข่งขันของทั้งสองฝั่งจบลง เริ่มแข่งขันมวยใต้ดินของพวกเราได้ทุกเมื่อ!”
“ทุกเมื่อ?” คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ฟรุสอึ้งเล็กน้อย และถามว่า “พวกคุณไม่มีนักมวยขึ้นมาบนเรือ จะเริ่มการแข่งขันได้ยังไง?”
ฟรุส ถือว่าเป็นบุคคลอาวุโสที่ใหญ่ที่สุดในวงการมวยใต้ดิน ฉะนั้นตลาดจีนจึงเป็นตลาดที่เขาอยากได้มานานมาก
เขาสนใจจู้เหวยเฟิงกับเยี่ยเทียนตั้งแต่สองคนนี้ลงเรือ แต่ตอนลงเรือจู้เหวยเฟิงกับเยี่ยเทียนไม่ได้ลงทะเบียนไว้ในนามนักมวย
เยี่ยเทียนมองและพูดกับฟรุสด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า “ผมมาร่วมการแข่งขันครับ!”
“คุณจะขึ้นชก?!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ฟรุสอึ้งมาก และเริ่มมองเยี่ยเทียนอย่างจริงจัง ผ่านไปครู่นึงก็ถามเยี่ยเทียนต่อว่า “คนหนุ่ม ทุก ๆ ปี อัตราการตายในสนามมวยใต้ดินเป็นเท่าไหร่ รู้มั้ย? ”
“ไม่รู้ครับ!” เยี่ยเทียนตอบด้วยความซื่อและส่ายหัว
“ร้อยละ 98 นั่นหมายความว่า การแข่งขัน100 รอบ มีผู้แพ้เพียง 2 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ถึงแม้จะรอด แต่สองคนนี้ก็อาจกลายเป็นคนพิการ!”
เวลานี้ความสุภาพของฟรุสหายไปจากใบหน้าแล้ว ใบหน้าของเขาแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง เขาอยากเห็นเยี่ยเทียนตกใจกับข้อมูลนี้จนฉี่ราด
“ผู้ชนะย่อมไม่ตาย ผมไม่ใช่ผู้แพ้แน่นอน!”
แต่ฟรุสผิดหวังเร็วมาก หน้าของเยี่ยเทียนไม่มีอารมณ์ใด ๆ แสดงออกมาและยังตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าตัวเองชนะแน่นอน
“คนหนุ่มคนนี้มันบ้าไปแล้ว!”
“สมองไม่ปกติจริง ๆ เห็นสนามมวยใต้ดินเป็นสถานที่อะไร?”
“ตัวแค่เนี้ยเหรอ ขึ้นเวทีปุ๊ปก็คงถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วมั้ง!”
คนที่รู้สึกประหลาดใจไม่ได้มีเพียงฟรุส แม้แต่คนที่มุงดูก็ยังรู้สึกว่าเยี่ยเทียนมั่นใจมากเกินไป
พวกเขาเป็นเจ้าของดูแลสนามวยใต้ดินทั้งนั้นและรู้จักวงการนี้เป็นอย่างดี คนที่กล้าแข่งมวยใต้ดิน ก่อนอื่นจะต้องเป็นคนกล้าและมั่นใจว่าไม่มีใครฆ่าได้
นี่คือพื้นฐานที่นักมวยทุกคนต้องมี ถ้าไม่มี เวลาที่ขึ้นชก อาจจะไม่กล้าลงกับมือคู่ต่อสู้
ในฐานะที่เป็นนักมวยคนนึง ร่างกายต้องแข็งแรง ถังหลงเองก็เป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
แต่เยี่ยเทียนไม่มีรังสีใด ๆ แผ่ออกมา เนื้อหนังใต้ร่มผ้าก็ไม่มีกล้ามเนื้อโผล่ให้เห็น ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นนักศึกษาหรือพนักงานบริษัทก็คงจะเชื่อ แต่ไม่ใช่นักมวยแน่นอน
ฉะนั้นนอกจากฮิราโนะ อิจิโร่กับจู้เหวยเฟิงที่รู้รากเหง้าของเยี่ยเทียนนิดหน่อย คนอื่น ๆ จะคิดว่าสมองของเยี่ยเทียนต้องมีปัญหาแน่ ๆ
“ไอ้หนุ่ม พูดอะไรไว้ต้องรับผิดชอบด้วยนะ จะขึ้นชกมวยใต้ดินจริงเหรอ?“ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่สะทกสะท้านกับเสียงรอบข้าง สีหน้าของฟรุสเริ่มซีเรียส
คนที่ไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ หรืออาจจะเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมาก
รูปร่างหน้าตาและกิริยาของเยี่ยเทียนไม่เหมือนคนบ้าสักนิด งั้นมีความเป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้น เขาเป็นคนที่ซ่อนความเก่งเอาไว้
หลังจากฟรุสพูดเสร็จ คนที่มุงดูอยู่ก็คิดตาม เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบว่า “ใช่ ถ้าไม่เชื่อ เขียนชื่อผมเอาไว้ด้วยก็ได้นะ”
“โอเค งั้นพวกเราเซ็นข้อตกลงกันตอนนี้เลย!”
ฟรุสเป็นคนอินเดียแต่ไม่เชื่อในศาสนาพุทธ ฉะนั้นเขาไม่มีความคิดเรื่องทำความดีสะสมคุณธรรม มีแต่อยากส่งเยี่ยเทียนขึ้นเวทีเพื่อให้เยี่ยเทียนตาย เพราะถ้าตายตลาดในจีนก็เหมือนได้มาฟรี ๆ
“คุณเยี่ย ผมขอย้ำอีกครั้ง การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการต่อสู้มวยปล้ำโดยการใช้มือเปล่า ห้ามใช้อาวุธนะครับ!”
ฮิราโนะ อิจิโร่เป็นคนที่ระมัดระวังมากกว่าฟรุสหน่อย เพราะเขารู้ว่าการใช้อาวุธจะช่วยลดพลังงานลงได้เยอะ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีจุดเด่นแต่เขาอาจกลายเป็นปรมาจารย์เคนโด้ก็ได้
“ไม่เป็นไรครับคุณฮิราโนะ อิจิโร่ คุณกลัวเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและทำสีหน้ากวน ๆ ออกมา พูดต่อว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้เซ็นข้อตกลง คุณยกเลิกได้นะ ผมแข่งกับคนของฟรุสก็พอ !”
คำพูดประชดประชันของเยี่ยเทียนทำให้ฮิราโนะ อิจิโร่หน้าแดง แต่ก็ข่มความโกรธเอาไว้เพราะคำพูดของเยี่ยเทียนอีกเช่นกัน จึงตอบกลับไปว่า “ตกลง งั้นพวกเรามาลงนามกันตอนนี้เลย!”
แม้ในใจจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ฮิราโนะ อิจิโร่เป็นคนที่เด็ดขาด มั่นใจ แน่นอนว่าตลาดของประเทศใหญ่อย่างจีนและไทยต่างหากที่เป็นสาเหตุหลัก
ให้คนแก้ไขข้อตกลงโดยเพิ่มเวลาการแข่งขันและสถานที่เข้าไป หลังจากที่ฟรุสกับฮิราโนะ อิจิโร่ตรวจทานเสร็จ ทั้งสองก็ลงนาม
จู้เหวยเฟิงลงนามเสร็จ ข้อตกลงทั้งสามฉบับถือว่าเสร็จสมบูรณ์ มีทั้งหมดสี่ชุด ทั้งสี่ชุดนี้นอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสามเอาไปคนละชุดแล้ว คลีเมตสันเอาไว้อีกหนึ่งชุดในฐานะพยาน
ส่วนเวลาแข่งขันถูกกำหนดไว้เป็นคืนพรุ่งนี้ตอนสามทุ่ม รอบแรกเป็นฮิราโนะ อิจิโร่กับฟรุส ผู้ชนะจะปะลองกับเยี่ยเทียนอีกทีตอนเที่ยงคืน
“ตกลง ทุกท่านครับ ผมจะเข้านอนแล้ว เราเจอกันตอนกลางคืนครับ!”
เมื่อมองเห็นจู้เหวยเฟิงเก็บข้อตกลงแล้ว เยี่ยเทียนร่ำลาทุกคนและเดินออกไป ที่จริงการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ยังไม่กดดันเท่ากับผู้หญิงเปลือยที่อยู่ในห้องนี้
สำหรับท่าทีของเยี่ยเทียน ผู้คนไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะทุกคนที่เที่ยวหาความสำราญบนเรือล้วนเป็นเจ้าของสนามมวยจากที่ต่าง ๆ สำหรับผู้เข้าแข่งขันทุกคนล้วนกำลังเติมพลังและเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะมาถึง
หลังจากข้อตกลงร่วมกันลงนามเป็นที่เรียบร้อยจู้เหวยเฟิงไม่มีอารมณ์เล่นกับผู้หญิงแล้วเหมือนกันกัน เพราะก่อนเริ่มการแข่งขัน เดิมพันของเขาจะต้องกลายเป็นจริง ส่วนเงินจำนวน 800 ล้านดอลล่าร์ก็เป็นจำนวนเงินที่ทำให้เขาล้มละลายได้เช่นกัน
“เห้ แค่เข้าร่วมการแข่งขัน การรับรองก็ดีกว่าเมื่อกี้แล้วนะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงกลับถึงห้องรับแขก พวกเขาถูกพนักงานพาไปยังโซน A ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของเรือสำราญ ความหรูหราของห้องนี้ยิ่งกว่าโซน C อีก
“ตกลง เอาของวางไว้ตรงนี้แหละ ออกไปเถอะ!”
หลังจากยื่นทิปให้กับพนักงานที่ช่วยยกกระเป๋าเดินทางเสร็จ เขาเดินไปดึงเยี่ยเทียนที่กำลังชมวิวทะเลกลับเข้ามา และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลว่า “เยี่ยเทียน นายมีความมั่นใจแค่ไหน? ทำไมเร่งให้ฉันเซ็นขนาดนั้น?”
ข้อตกลงที่อยู่ในกระเป๋า เหมือนภูเขาอันหนักอึ้งกดทับมาที่หัวของจู้เหวยเฟิง ยังไม่พูดถึงเงินเดิมพัน 800 ล้านดอลล่าร์ แค่ความปลอดภัยของเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับได้
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเคยแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมที่สนามมวยในประเทศมาแล้วก็ตาม แต่ที่นี่คือสนามมวยระหว่างประเทศ ความมั่นใจที่มีต่อเยี่ยเทียนในตอนแรกหายไป ตอนนี้กลับกลายเป็นความกังวลมากถึงมากที่สุด
ถ้าหากเยี่ยเทียนแพ้จริง ๆ จู้เหวยเฟิงไม่รู้จะรับความโกรธของตระกูลซ่งได้อย่างไร ส่วนเยี่ยเทียนมาโผล่อยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธได้อย่างไร ก็เพราะเขาล่อลวงขึ้นมาน่ะสิ
“คุณนี่ เมื่อครู่ลืมว่าตัวเองเป็นใครจนจะเอาเป็นเอาตายเหลยเหรอ?”
เยี่ยเทียนขำจู้เหวยเฟิง และพูดว่า “คุณชายที่เกิดบนกองเงินกองทองอย่างคุณยังมีใจรักชาติ ผมช่วยคุณรับภาระนี้ไว้แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ!”
พูดตามตรง ท่าทีของจู้เหวยเฟิงทำให้เยี่ยเทียนมองเขาเปลี่ยนไป คุณชายที่พึ่งพาอำนาจของบรรพบุรุษคนนี้ ก็มีข้อดีอยู่บ้างแหละ
“ผมอยู่บนกองเงินกองทอง? ตอนนั้นผมก็ต้องฝ่าฝนฝ่าหนาวมาก่อนนะ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้จู้เหวยเฟิงเกือบทำหน้าไม่ถูก และพูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แพ้พนันฉันยังพอรับได้ แต่ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันตายแน่ ๆ !”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่ชนะ วิธีป้องกันตัวผมก็พอมีบ้างน่า”
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของจู้เหวยเฟิง ครุ่นคิดไปสักครู่และพูดว่า “เอาแบบนี้ คุณไปหาเหล่าต่ง และหาข้อมูลทุกอย่างของนักมวยฮิราโนะ อิจิโร่กับนักมวยของฟรุสมาให้หมด ยิ่งละเอียดยิ่งดี!”
เมื่อก่อนเคยมีผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อวางแผนกลยุทธ์สามารถดูหมิ่นศัตรูได้ แต่เมื่อใดที่ต่อสู่กับศัตรูต้องสนใจศัตรู เยี่ยเทียนไม่ใช่คนเหย่อหยิ่งจองหอง เขาไม่เคยคิดว่าการที่ตัวเองฝึกถึงระดับหลอมปราณสู่จิตได้แล้วจะเก่งที่สุด
“ตกลง ฉันจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวกลับมา!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า เมื่อก่อนเขาเคยทำข่าวกรอง เขาจึงรู้ว่าข้อมูลเหล่านี้สำคัญแค่ไหน หลังจากออกจากห้อง เขาโทรศัพท์ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เร่งฝีเท้าไปยังห้องต่งเซิงไห่
“เฮ้อ ถ้าศิษย์พี่ใหญ่เห็น ต้องว่าเราสังหารหมู่อีกแล้ว”
เยี่ยเทียนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก มองตัวเองในกระจกและยิ้มอย่างฝืด ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว คิ้วที่กระดกขึ้นได้แสดงความอาฆาตสูงสุดออกมาแล้ว
คนที่ฝึกศิลปะต่อสู้ สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาคือความเด็ดขาด ถ้าต้องเผชิญเรื่องแบบนี้แล้วต่อต้านเจตจำนงของใจละก็ ตลอดชีวิตของเขา ก็คงยากที่จะพัฒนาด้านจิตใจขึ้นสูงได้
………………………………………