แอนโทนี มาร์คัสเป็นนักเรียนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในค่ายฝึกไซบีเรีย ไม่มีใครรู้ประสบการณ์เดิมของเขา แต่การแสดงของเขาในค่ายฝึกไซบีเรียและหลังจากนั้นกลับเป็นที่น่าตะลึงมาก
ตอนที่อยู่ในค่ายฝึก แอนโทนี มาร์คัส สามารถฆ่าหมีสีน้ำตาลด้วยมือเปล่าได้ ในเมืองไซบีเรียที่เต็มไปด้วยหิมะ เขาก็เป็นผู้ชนะในหมู่นักเรียน ราวกับมีสัญชาตญาณนักล่าอยู่ในตัว
ตอนที่เยี่ยเทียนเข้าไปในเวที แอนโทนี มาร์คัส รู้สึกเสียวที่หลังเหมือนถูกหมาป่าล้อมตอนอยู่ในไซบีเรีย
ตอนนั้นแอนโทนี มาร์คัสอายุสิบสามปี เขาถูกเนรเทศไปอยู่ในบริเวณที่มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วและได้พบกับหมาป่าไซบีเรีย 5 ตัว เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นครั้งเดียวที่แอนโทนี มาร์คัส อยู่ใกล้ความตายมากที่สุด
หลังจากใช้พลังงานทั้งหมดและกัดหมาป่าตัวสุดท้ายจนตาย สุดท้ายแอนโทนี มาร์คัสก็รอดชีวิต แต่ก็กำลังใกล้จะตายแล้วเช่นกัน
ในค่ายฝึกไซบีเรียไม่เลี้ยงคนไม่มีประโยชน์ ดังนั้นแอนโทนี มาร์คัส ที่บาดเจ็บไปทั้งตัวจึงไม่มีคนสนใจ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือหลังจากนั้นเพียงสามวันเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ประสบการณ์เฉียดความตายครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้แอนโทนี มาร์คัสตาสว่าง จู่ ๆ เขาก็พรวดพราดเข้ามาในค่ายฝึกและกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก ห้าปีหลังจากนั้นเขาก็กวาดค่ายฝึกไซบีเรียจนหมดสิ้น
ดวงตาที่เบิกกว้างของแอนโทนี มาร์คัสหรี่ลงเล็กน้อย มองไปที่เยี่ยเทียนที่ใส่ชุดขาวอยู่ตรงหน้า
ไม่เหมือนกับคนอื่น แอนโทนี มาร์คัสเชื่อในความรู้สึกของตัวเองมาก เขาไม่ได้ดูถูกเยี่ยเทียน ตอนที่เขาเริ่มเข้าสู่วงการเขาอายุมากกว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปีเท่านั้น
ความรู้สึกอันตรายในตัวของเยี่ยเทียนไม่น้อยไปกว่าประสบการณ์ที่เขามีเมื่อตอนอายุสิบสามปี สิ่งนี้ทำให้แอนโทนีมาร์คัสซึ่งแข่งมวยใต้ดินมาสิบปีได้สัมผัสอีกครั้งถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัว
แอนโทนี มาร์คัส ผู้อยู่ใกล้ขอบความตายมาโดยตลอด ใจของเขาตายด้านหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็พบคนที่สามารถคุกคามเขาได้อีกครั้งซึ่งมันทำให้อกของเขากำลังจะติดไฟและพลุ่งพล่าน
เยี่ยเทียนยืนอยู่บนเวทีมวยที่เหมือนกรงและมองไปที่แอนโทนี มาร์คัส เมื่อคู่ต่อสู้จ้องมองมาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาราวกับว่ามีงูตัวหนึ่งกำลังเลียที่คอของเขา
“ยอดฝีมือ!” เยี่ยเทียนมีความคิดแบบนั้นขึ้นมาในหัว และสีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันที
หลายปีที่ผ่านมาเยี่ยเทียนเคยเห็นพ่อมดไม่เต็มตัวที่มาจากเหมียวเจียง เคยสู้กับฤาษีของประเทศไทย แต่ไม่เคยมีใครสร้างความกดดันให้เขาเท่าแอนโทนี มาร์คัส
แอนโทนี มาร์คัสที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่จุดเดียว เลือดลมที่พลุ่งพล่านในร่างกายของเขาเมื่อเทียบกับตัวเองแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ มันจึงทำให้เยี่ยเทียนตกใจและตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
สุภาษิตกล่าวไว้ว่าเพชรสามารถตัดเพชร ปัจจุบันคนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนได้ก็คงมีแค่โก่วซินเจีย หนานไหวจิ่นเป็นต้น
แต่พวกเขาแก่แล้ว ถ้าสู้กันเยี่ยเทียนก็ชนะเห็น ๆ แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นพี่เป็นน้อง จึงไม่มีวันให้เกิดการสู้แบบเอาเป็นเอาตายแน่นอน
แต่แอนโทนี มาร์คัสที่อยู่ตรงหน้าเขาจะต่างออกไป เขาเกิดมาฆ่าเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และยังต้องมาสู้กับเยี่ยเทียนอีก ทำให้เลือดในตัวของเยี่ยเทียนก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาเหมือนกัน
หลังจากเยี่ยเทียนเข้าไปในเวที มีรั้วเหล็กหนึ่งเส้นหล่นลงมาจากเพดาน จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว
แต่ท่าที่ของทั้งสองคนทำให้ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ เพราะการต่อสู้ที่น่าจะดุเดือดไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เยี่ยเทียนกับแอนโทนี มาร์คัสมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
“บ้าเอ๊ย ทำไมยังไม่เริ่ม…..”
“ดาวนี่ หุบปากไปเถอะ ก่อนเข้ามาคุณเซ็นสัญญาความตายแล้วนะ!”
ในสนามเริ่มมีคนใจร้อนอดไม่ไหวจนพ่นคำด่าออกมา แต่พูดออกมาได้ไม่ทันไรก็ถูกคนข้าง ๆ ใช้มืออุดปากเอาไว้
เจ้าพ่อมาเฟียอิตาลีคนนั้นถูกเตือน แต่ก็ยอมปิดปากทั้ง ๆ ที่ยังโกรธ ถ้าตัวเขาถูกฆ่าที่นี่เพราะความปากพล่อยของตัวเอง เชื่อว่าหลายคนในโลกนี้จะปรบมือให้แน่ ๆ
มองดูเยี่ยเทียนที่ห่างออกปิ7-8 เมตร เสียงของแอนโทนี มาร์คัสก็ดังขึ้น “คุณเก่งมาก เก่งมาก ๆ !”
นี่เป็นครั้งแรกที่แอนโทนี มาร์คัสไม่เริ่มบุกก่อนตั้งแต่เริ่มแข่งขันมวยใต้ดิน เพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดกับคู่ต่อสู้เลยแม้แค่คำเดียว เขาจะจัดการคู่ต่อสู้ดุจพายุกวาดใบไม้ในครั้งเดียว
แต่ในเวลานี้ แอนโทนี มาร์คัสไม่กล้า เพราะเขาเข้าใจดีว่าคู่ต่อสู้ที่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่บุกโดยไม่ระวัง ชีวิตอาจจบได้ในทันที
“คุณก็เก่งเหมือนกัน!” ขาของเยี่ยเทียนอยู่ข้างหน้าและข้างหลังอย่างละข้าง ทั้งตัวของเขาเหมือนจะสบาย แต่ความเป็นจริงเขาได้เตรียมพร้อมป้องกันตนเองแล้ว
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเหมือนเสือที่รอเขมือบเขา ถ้าช่องโหว่ของเขาหลุดออกไปเขาจะถูกฝ่ายตรงข้ามบุกอย่างกระหน่ำ ดังนั้นถ้าพลาดแค่ครั้งเดียว ชีวิตของเขาก็อาจจบลงตรงนี้
ขณะที่ตั้งรับ เยี่ยเทียนถามออกไปว่า “ผมไม่เข้าใจจริง ๆ คุณฝึกลมปราณให้แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง? คุณเคยฝึกโยคะแบบอินเดียเหรอ?”
“ลมปราณ? ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
แอนโทนี มาร์คัสส่ายหัว พูดว่า“ผมไม่เคยฝึกโยคะ ในมวยใต้ดินไม่ต้องฝึกพลังแบบนั้น ที่นี่…….ชื่นชมการบุกเท่านั้น!”
ไม่รู้ทำไม ตอนที่แอนโทนี มาร์คัสเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน เขาอยากพูดด้วยมาก
“ผมเคยถูกหมาป่าล้อม เคยไปรบกวนหมีจำศีลฤดูหนาว และเคยฆ่าเสือไซบีเรียด้วยมือเปล่า บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกว่าผมแข็งแกร่ง!”
เสียงของแอนโทนี มาร์คัสกดต่ำลง เหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ของตัวเอง มีความสับสนในดวงตาของเขาเผยออกมา เขาไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วแต่ทำไมถึงไม่ยอมถอนตัวจากเวทีมวยใต้ดิน
“นักสู้ ต้องตายในสนาม!”
เยี่ยเทียนดูออกว่าคู่ต่อสู้เริ่มเบลอ แต่เขาไม่มีโอกาสบุกแอนโทนี มาร์คัสเลย กลับพูดเตือนออกไปหนึ่งประโยค
“ตกลง นักสู้ ต้องตายในสนาม!”
แอนโทนี มาร์คัสฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน มีคนเสียชีวิตหลายร้อยคนด้วยมือของเขา หลังจากถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตื่นทันที
“มา!”
แอนโทนี มาร์คัสรู้สึกถึงความอ่อนแอในใจ จึงส่งเสียงคำรามออกมา และเท้าของเขาก็ไถลไปข้างหน้าราวกับผีเสื้อที่บินผ่านดอกไม้ การเดินเท้าแบบนี้แม้แต่ อาลี ที่เป็นแชมป์ก็ยังต้องยอม
“บัดซบ เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
แม้จะระวังอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงคือการบุกของแอนโทนี มาร์คัสที่ดุเดือดมาก ดวงตาเริ่มพร่ามัว รู้สึกแค่ว่าขมับด้านขวาจู่ ๆ ก็กระตุกไม่หยุด และอันตรายที่ไม่ได้รู้สึกตั้งแต่แรกกำลังก่อขึ้นภายในใจ
ไม่มีเวลาคิดอย่างรอบคอบเลย แม้แต่ท่าของคู่ต่อสู้เป็นยังไงก็มองไม่ทัน เยี่ยเทียนจึงถอยเท้าไปข้างหลังจนเหมือนตัวเตี้ยลง หัวหงายไปข้างหลังอย่างรุนแรงจนผมตั้งขึ้นเป็นเส้นๆ
ใช้ขาข้างซ้ายเป็นจุดรับแรง ขาข้างขวาที่ถอยหลังหมุนเป็นวงในทันใด ตัวของเยี่ยเทียนก็แนบไปกับพื้นและเตะออกไปที่ขาของแอนโทนีเต็ม ๆ เมื่อเขาเสนอตามมารยาทแล้วก็ต้องสนองกลับ เยี่ยเทียนไม่ใช่คนที่ยอมถูกตีแน่นอน
กำลังของแอนโทนี มาร์คัสอยู่ที่ขา เขาก็ไม่ยอมให้เยี่ยเทียนเตะโดนแน่ ๆ จึงรีบยกขาหลบและจ้องไปที่เยี่ยเทียน
การบุกของเขาเมื่อครู่ เตะออกไปถึงสี่ครั้งในหนึ่งวินาที นี่เป็นจุดสูงที่สุดของแอนโทนี มาร์คัส เดิมทีนึกว่าจะบีบบังคับให้เยี่ยเทียนใช้มือบัง แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะใช้วิธีการหลบแทน
“มา!”
ความรู้สึกของความเป็นความตายที่ผ่านมาเมื่อครู่ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวาดเสียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เนื่องจากคู่ต่อสู้เก่งพอ ๆ กับเขา ทำให้ความสามารถในการรับรู้ทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังลมปราณจางลงไปด้วย วิธีที่เยี่ยเทียนใช้เมื่อเจอศัตรูกลับไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้
จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็คิดได้ เขารู้ว่าถ้าอยากเดินออกจากเวทีนี้โดยยังมีชีวิตอยู่ จะต้องเอาความเป็นและความตายออกจากหัว ไม่เช่นนั้นเขาต้องตายในน้ำมือของคู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่รอให้แอนโทนี มาร์คัสเริ่มก่อน หากแต่ใช้ท่าเดียวกับคู่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก้าวข้างพุ่งไปทางด้านขวาของแอนโทนี มาร์คัส และขาขวาก็เตะออกไปอย่างรุนแรง
แม้จะไม่เคยฝึกฝนอย่างหนักเหมือนแอนโทนี มาร์คัส แต่แรงที่เตะไปครั้งนี้ เยี่ยเทียนเพิ่มพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมเข้าไป ทำให้เกิดเสียงราวกับแส้ที่ฟาดไปในอากาศ
เป็นการบุกที่แตกต่างจากการหลบแอนโทนี มาร์คัสก่อนหน้านี้ ปีศาจนรกชื่นชมการบุกแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แม้การบุกของเยี่ยเทียนจะดุเดือดรุนแรง แต่แอนโทนียกขาขวาขึ้นตามสัญชาตญาณ ทำให้ประทะกับเยี่ยเทียนเข้าเต็มๆ
สองขาปะทะกันอย่างรุนแรงจนมีเสียง “ปั้ง” ออกมาดังมาก สะเทือนไปถึงรั้วเหล็กของเวที ร่างของทั้งสองประชิดกันแล้วก็แยกออกจากกันในทันที ถอยออกไปคนละมุมอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้จริงก็ได้เริ่มขึ้นนับจากนี้ สองคนที่แยกจากกันไม่ทันไรก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง แอนโทนีเตะจากด้านข้างเข้าไปที่ใต้ซี่โครงของเยี่ยเทียนอย่างรุนแรง
ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่หลบ แต่เตะกลับ สองคนประทะกันเต็ม ๆ อีกครั้ง แม้หน้าจอมองไม่เห็นสีหน้าของทั้งสองคน แต่ทั้งคู่รู้ดีว่ากำลังของพวกเขาต่างกันไม่มาก
“มาสิ!”
แอนโทนีเริ่มเผยนิสัยออกมา การลองเชิงคู่ต่อสู้โดยเตะออกไปสองครั้ง ตอนนี้รู้แล้วว่าตนเองสามารถรับแรงของเยี่ยเทียนได้ แอนโทนี จึงตัดสินใจใช้วิธีการบุกเพื่อจัดการคู่ต่อสู้
สลับขาเตะเยี่ยเทียนราวกับพายุเฮอริเคน และความแรงเพิ่มขึ้นทุก ๆ ครั้งที่เตะออกไป ส่วนเยี่ยเทียนที่ร่างกายผอมแห้งเหมือนเรือโดดเดี่ยวกลางทะเล อาจถูกคลื่นยักษ์เขมือบทุกเมื่อ
“แคร่ก!”
เสียงกระดูกหักดังขึ้น เป็นเสียงดังจากแขนขวาของเยี่ยเทียนที่ยกขึ้นบังขาของคู่ต่อสู้ แต่หลบไม่ทัน
……………………………………………………….