ด้วยเพราะเป็นอาคารสำคัญของอเมริกา ตึกแฝดเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมอาคารที่ทรงคุณค่ามากที่สุดแห่งหนึ่ง
จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดเจ็ดริกเตอร์หรือสึนามิถล่มก็ไม่อาจทำอันตรายตึกแฝดแห่งนี้ได้ ดังนั้นซ่งเวยหลันจึงไม่เชื่อคำพูดของบุตรชายนัก คิดว่าเขาพูดเพ้อเจ้อ
“เยี่ยเทียน สีหน้าของลูกดูไม่ดีเลย ไม่สบายรึเปล่า?”
ซ่งเวยหลันมองบุตรชายอย่างรู้สึกผิด ตั้งแต่มาถึงอเมริกา เธอเอาแต่ยุ่งกับงานบริษัท แม้กระทั่งปัญหากับสมาคมหงเหมินยังต้องให้เยี่ยเทียนจัดการแทน ทำให้เธอรู้สึกผิดมาก
“แม่ครับ ผมดูเหมือนคนป่วยอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยเทียนทำหน้าไม่ถูก เขาได้รับบาดเจ็บก็จริงแต่ไม่ถึงกับป่วยจนไข้ขึ้นสมอง
“เหมือน!” ซ่งเวยหลันยังไม่ทันตอบ แอนนาชิงพูดขึ้นก่อน “นายน้อย คุณ…คุณได้รับบาดเจ็บมานี่นา!”
เรื่องที่เยี่ยเทียนสู้กับแอนโทนี มาร์คัสนั้น แอนนารู้ดี เพราะข่าวเรื่องนี้แพร่ไปทั่วทั้งวงการมวยใต้ดินแล้ว แค่เป็นคนที่ติดตามข่าวจะรู้เรื่อง แอนนามีหนทางของตัวเอง แม้ไม่ได้ดูถ่ายทอดสดกับตา แต่พอรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ได้รับบาดเจ็บ?” ซ่งเวยหลันได้ยินคำนี้ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที รีบดึงเยี่ยเทียนไปดูใกล้ ๆ “ลูก บาดเจ็บตรงไหน? หลายวันมานี้ลูกไปทำอะไรมา?”
ซ่งเวยหลันรู้ดีว่าสังคมของอเมริกาแตกต่างจากประเทศจีน พรรคใต้ดินต่างๆมากมาย ยังมีการอนุญาตให้พกอาวุธส่วนตัวในที่สาธารณะด้วย เยี่ยเทียนต่อให้มีความสามารถขนาดไหน ฝีมือมวยดีแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานลูกปืนได้
“แม่ อย่าฟังที่แอนนาพูดเพ้อเจ้อ…”
เยี่ยเทียนถลึงตาใส่แอนนาทีหนึ่ง แล้วหันกลับมาหามารดา “แม่ ตั้งแต่ผมออกจากสำนักเต๋า ดูฮวงจุ้ยให้ใครต่อใคร ผูกดวงทำนายชะตา ยังไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง
ตึกสูงแห่งนี้เป็นที่อันตราย อีกไม่นานจะเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น แม่เชื่อผมสักครั้ง ย้ายบริษัทเถอะครับ อย่างน้อยแค่ให้ผมสบายใจก็ยังดี?”
เยี่ยเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไร ตรงหน้าเขาคือมารดาที่เคารพรัก แต่เวลาพูดโน้มน้าวต้องเสียเวลาและกำลังมาก ถ้าเป็นคนอื่น เกรงว่าตัวเขาอาจจะถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลบ้าไปแล้ว
“เสี่ยวเทียน ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เชื่อลูกนะ แต่…แต่ว่าเรื่องนี้มันฟังดูเหลวไหล!”
ซ่งเวยหลันเห็นท่าทางจริงจังของบุตรชายก็พูดไม่ออก แค่อาศัยคำๆเดียวของบุตรชายก็จะทำให้ย้ายบริษัทได้เชียวหรือ ซ่งเวยหลันตัดสินใจลำบาก
การได้ทำงานในตึกแฝดแห่งนี้เป็นการแสดงถึงศักยภาพของบริษัท บริษัทห้าร้อยอันดับแรกของโลก เกือบทั้งหมดตั้งสำนักงานอยู่ในตึกนี้ และมีอีกหลายบริษัทที่คิดหาวิธีแทบตายก็ไม่สามารถเข้ามาได้
อีกทั้งช่วงเวลานี้บริษัทของเธอกำลังประสบปัญหา หากว่าทำการย้ายสำนักงานแบบเร่งด่วน ในสายตาของคนอื่น อาจจะทำให้เกิดความผกผันหรือกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อบริษัทก็เป็นได้
แล้วยังพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของสำนักงาน มีพนักงานกว่าพันคน ถ้าให้ย้ายจริงอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี
ในเหตุฉุกละหุกแบบนี้ ซ่งเวยหลันไม่สามารถหาสำนักงานใหม่ได้ทัน และก็ไม่สามารถให้งานทั้งหมดของบริษัทต้องหยุดชะงักลง? อย่าว่าแต่ซ่งเวยหลันเลย หุ้นส่วนคนอื่นๆก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน
คิดได้ดังนี้ ซ่งเวยหลันสีหน้าดูอ่อนโยนลง จ้องมองบุตรชายและปลอบประโลม “ลูก ให้แอนนาพาลูกไปเที่ยวสักสามสี่วันนะ รอบๆนิวยอร์คมีที่สวยๆหลายที่ แม่รับรองว่าอย่างมากอีกเดือนหนึ่ง แม่จะจบงานที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วกลับไปปักกิ่งพร้อมลูกนะจ้ะ ดีไหม?”
“อย่างมากเดือนหนึ่ง? แม่ ไม่ต้องถึงอีกเดือนหนึ่งหรอก ที่นี่กำลังจะไม่มีแล้ว แม่ยังจะมีชีวิตกลับไปอีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนอึดอัดจนอยากจะกระอักเลือด ถ้ารออีกหนึ่งเดือน ภัยพิบัติต้องเกิดขึ้นก่อนแน่ เขาคิดเล็กน้อยด้วยท่าทีเคร่งขรึม ตอบว่า “แม่ครับ ผมให้ทางเลือกแม่สองทาง ทางแรกคือผมพาแม่กลับไปเลย ไม่สนใจบริษัทอีกแล้ว ความเป็นความตายของพวกพนักงานไม่เกี่ยวอะไรกับผม
หรือทางที่สอง แม่มีเวลาแปดวัน ไปจัดการเรื่องบริษัทให้เสร็จสิ้น แต่หลังจากแปดวันไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ห้ามกลับมาที่นี่อีก แม่ นี่เป็นเส้นตายของผม แม่น่าจะรู้ว่าผมสามารถลักพาตัวแม่ออกไปจากที่นี่ได้!”
“เสี่ยวเทียน นี่ลูกพูดจริงหรือ?”
ฟังที่บุตรชายกล่าวแล้วซ่งเวยหลันในที่สุดก็ตั้งใจฟังขึ้นมา เธอรู้ว่าลูกชายของเธอพูดความจริง ถ้าบังคับให้เขาทำได้ถึงขนาดนี้ ต้องมีเหตุผลมากพอ
อีกอย่างชีวิตคนสำคัญที่สุด ถ้าเกิดเหตุการณ์ตามที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้จริง ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้เธอไม่ตาย แต่ชีวิตที่เหลืออยู่คงต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เยี่ยเทียนพยักหน้า เน้นย้ำว่า “จริงครับ แม่ ผมทำนายแล้วว่าที่นี่จะเกิดเหตุภัยพิบัติ แต่ผมพูดคนเดียวไม่มีใครเชื่อ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ผมสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของคนรอบตัวผมได้!”
นึกถึงผลที่จะตามมาจากการทำนายของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หันไปบอกแอนนาอย่างรวดเร็วว่า “แอนนา ออกไปเฝ้าที่ประตูไว้ คืนนี้ฉันจะไม่พบใครทั้งนั้น!”
รอจนแอนนาออกไปแล้ว เยี่ยเทียนเอ่ยออกมาว่า “แม่ แม่อยู่ในอเมริกาเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง แม่บอกคนอื่นๆได้ไหม ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่?”
การเป็นหมอดูฮวงจุ้ย เมื่อทำนายภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมันได้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมาก
คำสอนของลัทธิเต๋ากล่าวว่า “ฟ้าดินไร้เมตตา สรรพสิ่งมีเกิดมีดับ” ทุกสิ่งล้วนมีเกิดขึ้นและดับไปเป็นไปตามสัจธรรม แต่ในใจของเยี่ยเทียนทนดูไม่ได้
“อย่า ลูก เรื่องนี้จะบอกให้ใครรู้ไม่ได้!”
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าพอเขาเริ่มเอ่ยปาก ซ่งเวยหลันรีบเอามือมาปิดปากเขาด้วยท่าทีเคร่งเครียด “เยี่ยเทียน ต่อให้เกิดภัยพิบัติขึ้น ก็อย่าไปบอกคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่เรื่องเดือดร้อน….”
ซ่งเวยหลันอยู่ในวงการธุรกิจมานาน เข้าใจสถานการณ์ดีกว่าเยี่ยเทียน ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง แต่เธอรู้ก่อนจะทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายตามมานับไม่ถ้วน
ยิ่งกว่านั้นถ้าเธอพูดออกไปเกรงว่าภาคส่วนอื่นๆก็คงไม่สนใจ ที่นี่เป็นถึงศูนย์กลางสถาบันการเงินระดับโลก ไม่มีทางที่ตึกแฝดนี้จะโดนปิดตัวลง เพราะจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของอเมริกา
หากว่าเธอย้ายบริษัทออกไปก็ต้องมีเหตุผลที่สมควร ไม่เช่นนั้น หากเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วมีการสืบสวน เกรงว่าเธอจะถูกซัดทอดสอบปากคำไปด้วย
“ผมเข้าใจครับแม่ บริษัทนี้เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของแม่ที่สร้างมายี่สิบกว่าปี ขอแค่ปกป้องบริษัทให้อยู่รอดก็พอแล้ว เรื่องของคนต่างชาติน่ะ พวกเราไม่ต้องไปกังวลแทน”
เยี่ยเทียนเป็นคนฉลาด เมื่อได้รู้ถึงความกังวลของมารดาแล้ว ก็ถอนหายใจยาว ตั้งแต่เขาร่ำเรียนวิชาฮวงจุ้ยมา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกไม่ชอบสิ่งที่ทำนายอนาคตได้ก่อน
“แม่ต้องคิดก่อน”
ซ่งเวยหลันโบกมือ คิ้วขมวดแน่น ในเมื่อเธอเลือกที่จะเชื่อบุตรชาย เธอเริ่มไตร่ตรองความเป็นไปได้ในการย้ายบริษัทใหม่แล้ว
คิดอยู่นาน ซ่งเวยหลันพูดว่า “ไม่ได้ จะย้ายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความวุ่นวายมาก!”
การเป็นบริษัทข้ามชาติ ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากการประชุมบอร์ดบริหารทั้งหมด จะย้ายสำนักงานภายในเวลาอันสั้นแค่นี้ ซ่งเวยหลันไม่สามารถตัดสินใจเพียงลำพังได้
อีกอย่างจุดประสงค์มันชัดเจนเกินไป ถ้าย้ายหลังจากเกิดเรื่องยังพอว่าไปอย่าง ถ้าเกิดเหตุวินาศกรรมโดยน้ำมือมนุษย์ ความผิดทั้งหมดจะถูกชี้มาที่ตัวเธอเพียงผู้เดียว
“แม่ ทำไมเปลี่ยนใจอีกแล้ว ชีวิตคนสำคัญกว่า ถึงตอนนั้นถ้ามีคนตาย แม่จะมานั่งเสียใจภายหลังนะ!”
เยี่ยเทียนเริ่มร้อนรน “ถ้าแม่ไม่ย้ายก็ได้ ผมจะพาแม่กลับเดี๋ยวนี้เลย พวกเรากลับประเทศจีนเดี๋ยวนี้ จะตายไปสักกี่คนก็ช่างหัวมันแล้ว?”
“ลูกคนนี้นี่ อยู่ต่อหน้าแม่ยังจะพูดคำหยาบอีก?”
ซ่งเวยหลันเขกหัวเยี่ยเทียนเบาๆอย่างหงุดหงิด “การย้ายบริษัทไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ลูกคิดเลย เยี่ยเทียน ภัยพิบัติที่ลูกว่า เป็นอะไรกันแน่?”
“ไม่รู้ครับ อย่างเร็วสิบวัน อย่างช้าครึ่งเดือน ส่วนวันเวลาที่แน่นอนผมไม่รู้เหมือนกัน!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว เขาไม่รู้เลยว่าเหตุวินาศภัยที่จะเกิดขึ้นกับตึกแฝดคู่นี้อยู่ตรงจุดไหน และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันแน่ เพียงแต่เอ่ยตามภาพนิมิตที่เห็น
“อย่างเร็วสิบวัน อย่างช้าครึ่งเดือน?”
ซ่งเวยหลันนิ่งเงียบไป กดโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วสั่งงาน “อลิซ บอกทุกแผนกให้ประชุม ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทให้ต่อสายประชุม ฉันมีเรื่องจะประกาศ!”
“รับทราบค่ะ ฉันจะไปประกาศเดี๋ยวนี้!” เสียงเลขาของซ่งเวยหลันตอบกลับมาในสาย
“แม่ แม่จะทำอะไรหรือครับ?” เยี่ยเทียนมองมารดาอย่างประหลาดใจ เรื่องฉุกเฉินแบบนี้ ยังจะต้องประชุมอะไรกันอีก?
“ลูก การจัดการเรื่องนี้ไม่ต้องถึงกับย้ายบริษัทหรอก อเมริกาเป็นสังคมแบบทุนนิยม ขณะเดียวกันก็มีระบบประกันสังคมที่แน่นหนา!”
ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ไปเถอะ ลูกเข้าประชุมพร้อมกันกับแม่ ลูกนั่งฟังอยู่ข้างๆก็พอ ส่วนเรื่องภัยพิบัตินั้นอย่าได้พูดออกมาโดยเด็ดขาด!”
“แม่ แม่เอาจริงใช่ไหมครับ ตอนนี้ยังต้องประชุมอะไรกันอีก?” เยี่ยเทียนไม่เข้าใจมารดาของเขาสักนิด ถ้าอยากให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดนั่นคือต้องย้ายบริษัทถึงจะปลอดภัย
ซ่งเวยหลันไม่ได้อธิบายต่อ สิบกว่านาทีผ่านไป อลิซแจ้งพนักงานจนครบ ซ่งเวยหลันพาเยี่ยเทียนเข้าไปในห้องประชุม
“สวัสดี ท่านประธาน…”
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องประชุม พนักงานที่นั่งรออยู่ต่างลุกขึ้นยืน ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤตของบริษัท เกือบทุกแผนกจะต้องทำงานล่วงเวลาเหมือนกับซ่งเวยหลัน
“ทุกคนนั่งลงเถอะ”
“ซ่งเวยหลันโบกมือ แล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ กวักมือเรียกเยี่ยเทียนไปยืนด้านหลัง เห็นแววตาสงสัยของพนักงานแล้วเธอจึงแจ้งว่า “เขาเป็นลูกชายของฉัน ชื่อเยี่ยเทียน มาจากประเทศจีน เลยถือโอกาสนี้แนะนำให้ทุกคนรู้จักด้วย”
เหล่าพนักงานได้ยินคำของซ่งเวยหลันแล้วดวงตาปรากฏแววเข้าใจ
ซ่งเวยหลันอยู่ในบริษัทนี้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ดูท่าข่าวลือช่วงก่อนจะเป็นจริง ท่านประธานได้โอนหุ้นทั้งหมดของเธอให้บุตรชายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
……………………………………………………..