“คนที่กระโดดลงมาเป็นเสี่ยวเทียน เป็นเสี่ยวเทียนจริง ๆ ด้วย”
แม้ภาพนั้นจะเห็นแค่แว๊บเดียว แต่นั่นมันลูกชาย ลูกชายที่ใช้ชีวิตกับเขามากว่า 20 ปี เยี่ยตงผิงมองแว๊บเดียวก็มองออกแล้ว
แม้เยี่ยตงผิงจะรู้ว่าลูกชายตัวเองไม่เหมือนคนอื่น แต่การที่เขากระโดดลงมาจากชั้น 20 ที่สูงขนาดนั้น ก็ทำให้เยี่ยตงผิงถึงกับหน้าซีดไปทีเดียว ความสิ้นหวังในใจก็เกิดขึ้นแล้ว
หลังจากภาพนั้นหายไป เยี่ยตงผิงใจร้อนขึ้นมาทันที เขาพุ่งไปหาซ่งเฮ่าเทียนและตะโกนใส่ว่า “เป็นเพราะคุณแยกพวกเราออกจากกัน ทำให้เวยหลันต้องไปอเมริกา นี่เป็นสิ่งที่คุณอยากได้งั้นเหรอ?”
ความโมโหที่อดทนมากว่า 20 ปี ถูกระเบิดออกมาแล้ว เยี่ยตงผิงโกรธจนเส้นเอ็นปูดขึ้นมา สองมือกำหมัดไว้แน่น ถ้าซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่คนแก่อายุ 80 กว่าละก็ หมัดนี้คงจะปล่อยออกไปแล้วจริง ๆ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไม?!”
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกแก่ลงอย่างกะทันหัน ตัวที่ยืนตรงในตอนแรก โค้งงอลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา เขายังทนไม่ได้กับความเศร้าโศกของคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำ
“ตงผิง อย่าทำแบบนี”
เยี่ยตงจู๋น้ำตาคลอเบ้าเหมือนกัน เธอดึงเยี่ยตงผิงเอาไว้และพูดว่า “ฉันเห็นเสี่ยวเทียนเหมือนมัดอะไรไว้ที่ตัว หลานฉันมันฉลาดจะตาย หลานมันจะฆ่าตัวตายเหรอ?”
เยี่ยตงจู๋เป็นคนที่เห็นภาพในทีวีก่อน เธอพอจำได้บ้างว่ามีของพันอยู่ที่ตัวของเยี่ยเทียน
“ใช่ ใช่ ลูกชายผมต้องไม่ตาย เวยหลันต้องไม่เป็นอะไร!”
หลังจากฟังคำพูดของพี่ใหญ่ เยี่ยตงผิงราวกับได้วิญญาณกลับคืนมา และเริ่มบ่นพึมพำ ดูเหมือนว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ใจของเขาสงบลงได้
เมื่อเห็นอารมณ์ของน้องชายเริ่มคงที่ เยี่ยตงจู๋พูดต่อว่า “แล้วก็ เรื่องนี้อย่าพึ่งบอกชิงหย่า ฉันกลัวว่าเด็กคนนั้นจะรับเรื่องนี้ไม่ไหว!”
เยี่ยเทียนแต่งงานยังไม่ถึงหนึ่งปี ถ้าเป็นอะไรไปจริง ๆ อวี๋ชิงหย่ารับไม่ได้แน่ ๆ ป้าใหญ่คิดเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน รอให้รู้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากันอีกที
แต่ป้าใหญ่เพิ่งพูดจบ เสียงของอวี๋ชิงหย่าก็ดังขึ้นทันที “คุณป้า ฉัน……ฉันเห็นหมดแล้ว!”
อวี๋ชิงหย่าที่อยู่หน้าประตู ใบหน้าเลอะไปด้วยน้ำตา ส่วนเสียงที่พูดออกมากลับพูดอย่างหนักแน่น “ฉันไม่เชื่อว่าเยี่ยเทียนจะตาย เขาต้องไม่เป็นอะไร เขาพูดว่าจะพาฉันไปเที่ยวรอบโลก!”
“ลูก เสี่ยวเทียนต้องไม่เป็นอะไร”
เยี่ยตงจู๋เดินไปหา และดึงอวี๋ชิงหย่ามากอดเอาไว้ ส่วนตัวเองก็กลั้นไม่ไหวแล้วเช่นกัน คนในตระกูลเยี่ยเหลือผู้สืบทอดแค่คนนี้คนเดียวแล้ว
“คุณป้า ฉันจะไปอเมริกา ฉันจะไปนิวยอร์ค!”
อวี๋ชิงหย่าดูเหมือนอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วนิสัยของเธอค่อนข้างดื้อรั้น แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เธอก็ตัดสินใจได้ทันที
พอเยี่ยตงผิงรู้สึกตัว ก็รีบพูดว่า “ใช่ ชิงหย่า ฉันจะไปกับเธอเอง เราไปกันตอนนี้เลย!”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า พูดออกมาด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “ไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะมีกลุ่มก่อการร้ายโจมตีอีกหรือเปล่า พวกเธอไปตอนนี้ไม่ได้!”
เรื่องกลุ่มก่อการร้ายโจมตีในวันนี้ เป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ในครั้งนั้น
ปัจจุบันนอกจากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์จะถูกโจมตีด้วยการฆ่าตัวตาย กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็ถูกเครื่องบินชนจนเกิดเพลิงไหม้อีกด้วย มีหลายร้อยคนติดอยู่ภายในและหลบหนีไม่ทัน
ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ผ่านไปแค่ 45 นาที แต่หน่วยข่าวกรองของทั่วโลกก็เริ่มทำงานกันอย่างเต็มที่ ในช่วงยี่สิบนาทีแรกซ่งเฮ่าเทียนตรวจเอกสารลับไปแล้วหลายฉบับ
เนื้อหาในเอกสารลับเหล่านี้ มีใจความว่าการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาน่าจะเป็นการกระทำขององค์กรหัวรุนแรงทางศาสนา และการเลือกวันที่ 9 เดือน 11 แสดงให้เห็นว่าเป็นการยั่วยุรัฐบาลสหรัฐฯ
สิ่งที่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือหน่วยสืบราชการลับแสดงให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายยังมีอาวุธที่ทรงพลังกว่า ซึ่งสงสัยว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่รั่วไหลจากรัสเซีย ข่าวกรองนี้ ยิ่งทำให้ประเทศต่าง ๆ วิตกกังวลมากขึ้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ซ่งเฮ่าเทียนกันไม่ให้อวี๋ชิงหย่า และ เยี่ยตงผิง ไปสหรัฐอเมริกา ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไปอีก ตัวเขาเองคงต้องอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต
“ถึงแม้ฉันจะตาย ฉันก็จะไป!” อวี๋ชิงหย่ามองซ่งเฮ่าเทียนด้วยสายตาไม่ยอมถอย สายตาของเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่!
“ก็ได้ ฉันจะจัดเครื่องบินพิเศษส่งพวกคุณไป……”
หลังจากได้เห็นแววตาที่แน่วแน่ของอวี๋ช่างหย่า ซ่งเฮ่าเทียนถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าหน้าที่สถานกงสุลจีนในนิวยอร์คจะพยายามค้นหาและช่วยเหลือเยี่ยเทียนสองแม่ลูกอย่างเต็มที่ ฉันจะแจ้งให้ทราบทันทีที่ได้รับข่าว!”
กำลังที่เกิดจากการทำงานของประเทศมักเกินกว่าจินตนาการของคน แม้ว่าซ่งเวยหลันจะมีแต่ลูกชายเท่านั้น เธอถึงจะลืมโทรรายงานความปลอดภัยของเธอ แต่เจ้าหน้าที่ของจีนที่เกี่ยวข้องในนิวยอร์คก็หาตัวเธอพบอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้รับทราบข่าว อวี๋ชิงหย่ากับเยี่ยตงผิงและผู้ที่ใจร้อนอย่างโจวเซี่ยวเทียนก็เตรียมตัวขึ้นเครื่อง เมื่อพวกเขารู้ว่าเยี่ยเทียนยังไม่ได้สติ ทั้งสามคนก็ขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกาทันที
ขณะเดียวกัน โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่อยู่ไกลถึงฮ่องกง ก็ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวบินไปยังสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
…………
“ผมอยู่ที่ไหน?”
หลังจากตกจากที่สูงกว่า 20 เมตรและแรงเฮือกสุดท้ายก็ใช้ไปกับการหนีบท่อดับเพลิงหมดแล้ว พลังงานลมปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนพูดได้เลยว่าถูกขโมยไปกลางอากาศจริง ๆ ไม่เหลือเลยสักนิด
ร่างที่ไม่มีพลังลมปราณชีวิตแท้ปกป้อง อาการบาดเจ็บที่อวัยวะภายในและแขนของเขารุนแรงขึ้นมาในทันที หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่รับไว้แล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจและสลบไปทันที
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองว่าสลบไปนานแค่ไหน ตอนที่เขาคิดว่ารู้สึกตัว เขาเหมือนอยู่ในห้องมืดที่มีพื้นที่จำกัดห้องหนึ่ง เบื้องหน้าไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความว่างเปล่า
ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะตะโกนเรียกยังไง ห้องนั้นก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย ด้านหน้าของเยี่ยเทียนยังคงเป็นสีดำสนิท ราวกับกำลังกัดเซาะจิตใจของคน มันทำให้คนเรามีความรู้สึกอยากจะบ้าคลั่ง
เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่าแม่เป็นยังไงบ้าง อิฐที่กระจายเหล่านั้นจะตกใส่เธอหรือเปล่า พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ยิ่งใจร้อน
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเยี่ยเทียน เสียงนั้นเหมือนกับปีศาจร้าย “ร้องเรียกไปเถอะ ร้องเรียกไปเลย แม่ของแกจะตายแล้ว ถ้าแกไม่ร้องเรียก ก็ออกไปไม่ได้แล้วนะ!”
“หืม? ปีศาจในจิตใจ? ตลกจริง ๆ !”
เยี่ยเทียนฝึกจิตมาตลอด แม้จิตของเขายังสู้โก่วซินเจียไม่ได้ แต่พวกที่เรียกตนว่าเป็นพระก็สู้เขาไม่ได้ หากปีศาจในจิตใจปรากฏตัวขึ้น เขาก็รู้ทันทีเลยว่าแย่แล้ว
“เต๋าไร้รูป กำเนิดฟ้าดิน เต๋าไร้จิต ขับเคลื่อนสุริยจันทรา เต๋าไร้นาม หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง……สะอาด มีสกปรกเป็นรากฐาน เคลื่อนไหว มีนิ่งเป็นฐาน มนุษย์สะอาดและนิ่ง ฟ้าดินรวมกลับคืน”
เยี่ยเทียนนึกออกบางอย่าง จากนั้นก็เริ่มอ่านคัมภีร์ที่ไท้สั้งเหล่าจวินเขียนไว้ 《คัมภีร์เต๋า》ซึ่งคล้ายกับ《คัมภีร์ใจ》ของชาวพุทธ หลังจาก 391 ตัวอักษรท่องเสร็จ ใจของเยี่ยเทียนก็นิ่งสงบในทันที
“สติของเราถูกขังไว้ในหมอกความคิดนี้ ดูเหมือนว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง!”
หลังจากที่จิตใจสงบนิ่งลง เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า การฝึกของเขาใกล้เข้าสู่ระดับหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะบาดเจ็บหนัก สถานการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
และนี่คือความแตกต่างของคนที่ฝึกภายในกับฝึกการต่อสู้ภายนอก การฝึกการต่อสู้คือการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ด้วยการพัฒนาความสามารถอันสูงสุดที่ซ่อนไว้ในตัว จนมีความสามารถที่มากกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการต่อสู้ภายนอกของประเทศจีนหรือจะเป็นศิลปะมวยปล้ำของต่างประเทศ ล้วนต้องทำเช่นนี้
ส่วนคนที่ฝึกภายใน เป็นการฝึกร่างกาย พลังลมปราณและจิตใจ สิ่งที่สำคัญคือการเป็นตัวเองที่แท้จริง
คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงของเหลาจื่อเคยกล่าวไว้ว่า เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง เต๋าให้กำเนิดสอง เต๋าให้กำเนิดสาม เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับสามย้อนสอง สองย้อนหนึ่ง หนึ่งรวมเป็นเต๋าของลัทธิเต๋า และมันก็คือการหลอมปราณสู่จิต หลอมจิตสู่ความว่าง
แม้ว่าข้างหลังยังมีการหลอมความว่างเปล่าสู่เต๋า แต่ระดับนั้นมันแทบจะว่างเปล่า ซึ่งในตำนานยังไม่เคยมีใครฝึกถึงระดับนั้น
ช่วงเวลานี้ ก็คือช่วงเวลาแห่งร่างกาย พลังลมปราณและจิตใจกำลังหวนกลับ หากฝึกจนถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่างได้ จะสามารถถอดจิตได้เลย และไม่ต้องทนกับร่างที่ถูกโซ่ตรวนเอาไว้แบบนี้ ซึ่งการทำแบบนั้นก็คือการทิ้งเนื้อหนังนี้ไป
ถ้าเป็นไปตามการวิเคราะห์ของเยี่ยเทียน สถานการณ์ตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ร่างกายของตัวเองได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างหนัก สติของเขาหลุดเข้าไปในหมอกความคิด สติกับร่างกายของเขาแยกออกจากกัน ทำให้เยี่ยเทียนไม่ต้องไปรับความเจ็บปวดทางเนื้อหนัง
“บ้าเอ้ย ถ้าเป็นแบบนั้นเราไม่กลายเป็นเจ้าชายนิทราเลยเหรอไง? ” หลังจากสรุปเสร็จ เยี่ยเทียนอดไม่ไหวจึงด่ายกใหญ่
《คัมภีร์เต๋า》ก็ไม่ได้ผล เยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างของตน บาดเจ็บถึงระดับไหน ถ้ารักษา 8 ปี 10 ปีก็ยังไม่หาย ตัวเขาต้องอยู่ในหมอกความคิดตรงนี้ไปตลอด?
“ต้องหาทางออกไปให้ได้ บัดซบ สภาพเราตอนนี้ ไม่รู้ว่าแม่กับเมียจะร้องไห้แค่ไหน?”
เยี่ยเทียนด่าออกมายกใหญ่ เขาเริ่มขุดคุ้ยสิ่งที่ได้สืบทอดต่อมา การฝึกที่ยิ่งสูง ก็ยิ่งทำให้เขารับรู้เลยว่าสิ่งที่ได้สืบทอดจากคนรุ่นก่อนนั้นมีค่าแค่ไหน สิ่งที่สืบทอดมาจากสำนักเสื้อป่านนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่านักพรต จางซานเฟิงกับเก๋อหงเลย
………………
ภายใต้การนำทางของเจ้าหน้าที่กงสุลประเทศจีนประจำสหรัฐฯ อวี๋ชิงหย่าและคนอื่น ๆ มาถึงโรงพยาบาลที่รองรับบุคคลพิเศษแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค เป็นการตัดสินใจของซ่งเวยหลันในตอนที่เยี่ยเทียนกำลังถูกส่งมาที่โรงพยาบาล
โรงพยาบาลแห่งนี้มีอุปกรณ์และเทคนิคทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก แม้แต่เทคนิคการแพทย์ต่าง ๆ ที่ยังไม่ถูกนำไปใช้ทั่วไป แต่มันได้ถูกนำมาใช้ที่นี่แล้วอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายของที่นี่ในแต่ละวันนั้นสูงมาก
“คุณแม่ เยี่ยเทียนเป็นอะไร?”
อวี๋ชิงหย่าใส่ชุดปลอดเชื้อ มองดูเยี่ยเทียนที่เต็มไปด้วยสายคล้องต่าง ๆนานาผ่านกระจกกั้น ตลอดการเดินทางที่เหมือนจะเข็มแข็ง เมื่อเห็นภาพนั้นยังอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
เห็นเยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทำให้ใจของอวี๋ชิงหย่าเหมือนถูกบีบอย่างแรง ความเจ็บปวดนั้นทำให้อวี๋ชิงหย่าที่ไม่ได้นอนเกือบ 20 กว่าชั่วโมงแทบจะเป็นลม
“ลูก อย่าร้องไห้เลย พวกเราไปคุยกันข้างนอกเถอะ อย่ากวนเสี่ยวเทียนเลย!” เรื่องราวผ่านไปแล้ว 10 กว่าชั่วโมง น้ำตาของซ่งเวยหลันแห้งไปหมดแล้ว
……………………………………………..