“นักพรตโก่ว ท่านต้องช่วยเสี่ยวเทียนนะ พวกเราขอขอบคุณท่านตรงนี้เลย!”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย ซ่งเวยหลันซึ่งเดิมทีนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็พยายามที่จะลุกจากเตียง ในเวลานี้เธอกำลังเป็นดั่งสุภาษิตที่ว่า หิวน้ำค่อยขุดบ่อ ตราบใดที่ยังมีความหวัง แม้จะริบหรี่ แต่เธอก็จะพยายามลอง
“คุณหญิงเยี่ย ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ศิษย์น้องเล็กเป็นเจ้าสำนักของสำนักเสื้อป่านเรา เป็นคนอายุสั้นที่ไหนกันล่ะ?”
ครอบครัวของโก่วซินเจียเป็นคนสมัยเก่าและยังคงปฏิบัติตามกฎก่อนการเปิดประเทศ เขาจึงเรียกขานซ่งเวยหลันว่าคุณหญิง โก่วซินเจียยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “ ก่อนที่ฉันจะมาถึงที่นี่ ได้พยากรณ์ไว้แล้ว ศิษย์น้องเล็กเป็นคนมีดวงมงคล สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้อยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
หลังจากโก่วซินเจียพูดจบ แอนนาที่ยืนอยู่ด้านหลังขยับปาก และบ่นเบา ๆ “ทำไมคนนี้พูดจาแปลกประหลาด?”
ซ่งเวยหลันมองแอนนา และพูดตำหนิว่า “แอนนา อย่าพูดเรื่อยเปื่อย ออกไปก่อน!”
“ค่ะ นายหญิง” แอนนาแลบลิ้น และเดินออกจากห้องไป
ซ่งเวยหลันแสดงอาการขอโทษต่อโก่วซินเจียและพูดกับเขาว่า “นักพรตโก่ว เด็กไม่รู้เรื่องอะไร ท่านอย่าถือสาเลยนะคะ”
โก่วซินเจียสะบัดมือและตอบว่า “ไม่เป็นไรคุณหญิงเยี่ย ไม่ทราบว่าฉันขอไปดูศิษย์น้องเล็กหน่อยจะได้หรือไม่?”
“เอ่อ?”
ซ่งเวยหลันตอบช้า ถ้าเป็นไปตามที่คุณหมอเวย์แมนพูด สัญญาณชีพของเยี่ยเทียนอ่อนแอมาก ห้องปลอดเชื้อห้องนั้นห้ามไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นบาดแผลของเยี่ยเทียนอาจติดเชื้อได้
คิดไปครู่นึง ซ่งเวยหลันหันไปมองเวย์แมนและถามว่า “คุณหมอเวย์แมน คุณคนนี้เป็นคุณหมอแพทย์แผนจีนจากประเทศจีน เขาจะขอดูอาการของเยี่ยเทียนสักหน่อย ไม่ทราบว่าเข้าไปได้มั้ย?”
“แพทย์แผนจีน? การฝังเข็มเหรอ?”
เวย์แมนไม่เหมือนแพทย์ตะวันตกคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยเชื่อแพทย์แผนจีนเท่าไหร่ หลังไตร่ตรองเสร็จ เขาก็ตอบกลับไปว่า “การฝังเข็มของแพทย์แผนจีนช่วยผู้ป่วยอย่างเยี่ยเทียนได้จริง ๆ ผมอนุญาตให้เข้าไปได้ครับ!”
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจหลักการของแพทย์แผนจีน แต่ครั้งหนึ่งเวย์แมนเคยเห็นแพทย์แผนจีนใช้การฝังเข็มกับ
ผู้ป่วยเป็นเวลานาน จนทำให้เจ้าชายนิทราคนหนึ่งฟื้นขึ้นมา นี่คือเหตุผลหลักที่เขาไม่ปฏิเสธแพทย์แผนจีน
“งั้นอย่ารอช้าอีกเลย พวกเราไปกันเถอะ!”
แม้ว่าจะลงจากเครื่องบินได้ไม่นาน แต่ความปลอดภัยของเยี่ยเทียนนั้นสำคัญกว่าการพักผ่อนอย่าง
ไม่ต้องสงสัย หลังจากได้รับความยินยอมจากหมอเวย์แมน โก่วซินเจียก็พูดว่า “ศิษย์น้องจั่วรออยู่ข้างนอกนะ ฉันกับหนานไหวจิ่นเข้าไปก็พอแล้ว คุณหมอเวย์แมน ได้มั้ย?”
เช่นเดียวกับเวย์แมน โก่วซินเจียที่เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนก็เข้าใจบทบาทของแพทย์แผนตะวันตก
เช่นกัน สำหรับคำพูดสุดท้ายนี้โก่วซินเจียถามเวย์แมนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อแสดงการเคารพ เวย์แมนรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้นและตอบด้วยความประหลาดใจว่า “คุณ เข้าใจภาษาอังกฤษด้วย? “
“หลายปีก่อน ผมเคยอยู่ที่อังกฤษ”
โก่วซินเจียยิ้มตอบ ตอนนั้นเขามีความเป็นเลิศทางวิชาการเพื่อนำจีนไปสู่สากล และตอนที่อายุ 10 ขวบ
กว่า ๆ เคยติดตามกูหงหมิง ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า “ตัวประหลาดปลายราชวงศ์ชิง” หลังจากนั้นด้วยความต้องการทางหน้าที่การงาน เขายังเชี่ยวชาญด้านภาษาเยอรมันและญี่ปุ่นอีกด้วย
หลังจากได้รับการยินยอมจากหมอเวย์แมนแล้ว โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นทำการเปลี่ยนเป็นชุดปลอดเชื้อ และเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่เยี่ยเทียนพักอยู่ ส่วนซ่งเวยหลันและคนอื่น ๆ ดูพวกเขาผ่านกระจกด้วยความตื่นเต้น
“พี่หยวนหยาง อาการศิษย์น้องเยี่ยไม่ดีเลยนะ?”
เพิ่งเข้ามาถึงในห้อง หนานไหวจิ่นก็ขมวดคิ้วทันที ด้วยความสามารถของเขาแล้ว เขารับรู้ได้ทันทีว่าทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังลมปราณชีวิตเหลืออยู่น้อยมาก ไฟแห่งชีวิตก็พร้อมจะดับลงทุกเมื่อ
“อาการหนักจริง ๆ !” โก่วซินเจียเดินวนรอบ ๆ ตัวเยี่ยเทียน สีหน้าค่อนข้างเครียดผิดปกติ
เมื่อพิจารณาจากอุปกรณ์กับอาการบนร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว กระดูกสันหลังหลังของเยี่ยเทียนผิดรูปไปสามชิ้น นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างดี อาจต้องเผชิญกับความพิการตลอดชีวิต
เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง การแตกหักของแขนไม่มีอะไรเลย โก่วซินเจียมองที่อุปกรณ์สักพัก จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ เยี่ยเทียน เหยียดมือขวาออกไปเพื่อวางบนจุดชีพจรของเยี่ยเทียน
“ เป็นแบบนั้นจริงด้วย บาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายใน และจุดตันเถียนก็ถูกทำลายแล้ว นี่ … จะทำยังไงดีละ?”
หลังจากตรวจชีพจรของเยี่ยเทียนเสร็จ ใบหน้าของโก่วซินเจียก็เปลี่ยนสีทันที เขาไม่คิดว่า ความร้ายแรงของเรื่องนี้จะเกินจินตนาการของเขา
ต้องเข้าใจว่ากระดูกสันหลังไม่เพียงแต่เป็นอวัยวะรองรับร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวช่วยลดแรงกดและแรงกระแทก เพื่อปกป้องอวัยวะภายใน เมื่อกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บ โก่วซินเจียทำใจไว้แล้วว่าอวัยวะภายในของเขาต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน
แต่สิ่งที่โก่วซินเจียคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อพลังลมปราณชีวิตแท้ของเขาเดินผ่านจุดชี่ไห่ที่อยู่ข้างล่างของจุดตันเถียน เขาพบว่าไม่มีร่องรอยของพลังลมปราณชีวิตแท้อยู่ในนั้นเลย ซึ่งเกินความคาดหมายของเขา
สำหรับผู้ที่ฝึกวิชาลัทธิเต๋า จุดตันเถียนเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในการฝึกภาวะภายใน เมื่อฝึกจิตต้องจดจ่ออยู่ตรงนี้
คนโบราณจึงนับ ร่างกาย ลมปราณและจิตเป็นสามมหาสมบัติ ตันเถียนเป็นจุดจัดเก็บร่างกาย ลมปราณและจิต ฉะนั้นจุดตันเถียนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เปรียบเสมือน “รากฐานแห่งชีวิต”
ด้วยความสามารถในวิชาของเยี่ยเทียน แม้ไม่อาจเป็นเหมือนเรื่องเล่าขานที่สร้างจุดตันเถียนภายในร่างกาย แต่จุดตันเถียนที่หล่อเลี้ยงพลังลมปราณชีวิตแท้อยู่ ไม่มีเลย
โก่วซินเจียตรวจไปเมื่อครู่ เขาพบว่าจุดตันเถียนของเยี่ยนเทียนกลับว่างเปล่า ไม่มีลมปราณชีวิตแท้เคลื่อนไหวอยู่เลย ซึ่งเหมือนคนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกวิชามาก่อน
พอเป็นแบบนี้ แม้เนื้อหนังของเยี่ยเทียนจะรักษาจนหายแล้ว แต่เขาไม่สามารถฝึกวิชาได้อีกต่อไป และที่สำคัญ เมื่อลมปราณชีวิตแท้ที่ไม่มีแล้ว จะไม่สามารถเคลื่อนย้ายพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมของฟ้าดินได้อีก วิชาต่าง ๆ ของสำนักเสื้อป่านก็คงทำไม่ได้อีกแล้ว
“พี่หยวนหยาง ทั้งพี่และผมต่างก็พยากรณ์แล้ว ศิษย์น้องเยี่ยน่าจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ว่า……”
หลังจากได้ยินสิ่งที่โก่วซินเจียพูด สีหน้าของหนานไหวจิ่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน คนฝึกวิชาเหมือนกัน เขารู้ดีว่าจุดตันเถียนมีความสำคัญต่อคนที่ฝึกกำลังภายในแค่ไหน
โก่วซินเจียถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “น้องไหวจิ่น ชะตาชีวิตของศิษย์น้องเล็กมหัศจรรย์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราสองคนไม่สามารถดูออกได้หรอก!”
เมื่อครู่โก่วซินเจียใช้พลังลมปราณชีวิตแท้ พยากรณ์ดวงชะตาของเยี่ยเทียน เขามองเห็นเพียงลาง ๆ ว่าการพบเจอภัยครั้งนี้จะเป็นเรื่องดี สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้ การที่เขาใช้ปราณชีวิตแท้ ทำให้เขากระอักออกมาเป็นเลือด แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เลือดที่กระอักออกมาไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีก็เท่านั้น แต่การเจอภัยแล้วจะเป็นเรื่องดีกับสภาพของเยี่ยเทียนตอนนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว แค่มีชีวิตรอดมาได้ก็เก่งมากแล้ว จะมีเรื่องดีให้กล่าวถึงได้ยังไงกัน?
“ถ้าจุดตันเถียนของศิษย์น้องเล็กหายไปจริง ฉันจะกระตุ้นมันออกมา ถ้าออกมาแล้ว ก็สามารถชี้นำให้เขาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยตัวเองได้ แต่……แต่ตอนนี้ต้องทำยังไง?”
เจอสถานการณ์แบบนี้ โก่วซินเจียยังรู้สึกจนปัญญา อาการภายในของเยี่ยเทียน แย่เกินความคาดหมายของเขา
“พี่หยวนหยาง ใจเย็นก่อน”
หนานไหวจิ่นปิดตาและใช้การเคลื่อนที่ของลมปราณชีวิตตรวจสภาวะภายในของเยี่ยเทียนอีกครั้ง เขาเปิดตาทันทีและพูดว่า “ผมสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของปราณชีวิตของน้องเยี่ย คลับคล้ายว่าจะเข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่าไปแล้ว เขาตั้งใจทำแบบนี้เองหรือเปล่า?”
“มุดเข้ากระดองเต่างั้นเหรอ?”
โก่วซินเจียฟังแล้วอึ้ง เขาสัมผัสอย่างละเอียดอีกครั้ง พยักหน้าและพูดว่า “ลมหายใจของศิษย์น้องเล็กเหมือนมีและเหมือนไม่มี แต่ลมปราณรวมอยู่กับจิต จิตปรองดอง ชัดเจน คล้ายว่าจะอยู่ในสภาวะมุดเข้ากระดองเต่าจริง”
มุดเข้ากระดองเต่าก็คือคำศัพท์ของลัทธิเต๋า คือการปรับลมหายใจเหมือนเต่า เป็นวิชาอายุยืนโดยที่ไม่กิน ไม่ดื่ม
ก็เหมือนกับที่คนรุ่นหลังเรียกปรมาจารย์เฉินถวนว่า “เซียนหลับ” หลับหนึ่งตื่นคือสามปี ถ้าเป็นไปตามบันทึกของลัทธิเต๋า เขาอยู่ในสภาวะมุดเข้ากระดองเต่านั่นเอง
หนานไหวจิ่นคิดสักพักและพูดว่า “ได้ข่าวว่าก่อนที่น้องเยี่ยจะสลบไป เขาใช้ตัวบังแผ่นพื้นที่กำลังตกลงมากลางอากาศ ร่างกายเนื้อหนังของเขาจะทนรับแรงมหาศาลนี้ได้ยังไง? ถ้าไม่เข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่า เกรงว่าวิญญาณคงออกจากร่างไปแล้ว! ”
การฝึกวิชาเมื่อฝึกถึงระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว จิตวิญญาณจะไม่เหมือนคนทั่วไป
แม้ยังไม่เคยลองมาก่อน แต่โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นรู้ว่า แม้เนื้อหนังของพวกเขาจะตายแล้ว แต่จิตของพวกเขายังอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง แต่เพราะไม่มีเนื้อหนังให้ฝากฝังแล้ว เวลาจึงค่อนข้างสั้นเท่านั้นเอง
หลังจากได้ยินสิ่งที่หนานไหวจิ่นพูด โก่วซินเจียก็เชื่ออย่างนั้น เขาจึงพูดว่า “ใช่ สิษย์น้องเล็กยังฝึกวิชาไม่ถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่าง หากจิตหลุดไปจากร่างกาย เกรงว่าจะกลับมาไม่ได้อีก แต่นี่ น่าจะเป็นการกระทำที่เขาเลือกเอง”
โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นเป็นคนที่มีประสบการณ์มากมาย แค่อนุมานเล็กน้อย ก็สรุปผลลัพท์ออกมาได้ว่า ตอนที่เยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บ เขาใช้วิธีเข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่า เพื่อลดการทำงานของร่างกาย และรักษาชีวิตเอาไว้
แต่ถ้าเยี่ยเทียนที่ถูกขังไว้ในหมอกความคิดได้ยินละก็ ต้องร้องตะโกนโหวกเหวกอย่างแน่นอน เขารู้วิชามุดเข้ากระดองเต่า แต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธีนี้ ผีที่ไหนจะไปคิดว่า เพราะสาเหตุอะไรถึงทำให้เขาถูกขังอยู่ในหมอกความคิด?
“พี่หยวนหยาง ถ้าจะบอกว่าน้องเยี่ยเข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่าด้วยตัวเอง งั้นพวกเราจะเรียกเขาตื่น ก็คงไม่ง่าย”
หลังจากทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของลมปราณชีวิตของเยี่ยเทียนแล้ว หนานไหวจิ่นโล่งใจไปทีเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ชีวิตของเยี่ยเทียนก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว
โก่วซินเจียคิดไปสักพักและพูดว่า “ผมกับศิษย์น้องเล็กอยู่สำนักเดียวกัน สามารถใช้วิชาในสำนักเรียกเขาออกมาได้ แต่ก่อนจะทำแบบนั้น อาการบาดเจ็บของเขาต้องดีขึ้นระดับนึง ไม่งั้น อาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้”
สภาพร่างกายของเยี่ยเทียนในตอนนี้พูดได้ว่าแย่มาก เส้นลมปราณหักไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ อาการของกระดูกสันหลังยิ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของเขา ถ้าไปเรียกเยี่ยเทียนตื่นทันที อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่
เมื่อหาสาเหตุเจอแล้ว จะอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นจึงเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
“ท่านโก่ว เสี่ยวเทียนเป็นยังไงบ้าง? สามารถทำให้เขาฟื้นได้มั้ย?”
สองคนนั้นเพิ่งเดินออกมา ซ่งเวยหลันและคนอื่น ๆ ก็เดินมาหาทันที สีหน้าเคร่งเครียดของโก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่น ทำให้คนที่รออยู่ข้างนอกรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“พวกคุณใจเย็น ๆ ก่อน!”
เมื่อเห็นความวิตกกังวลของทุกคนแล้ว โก่วซินเจียจึงตอบว่า “ชีวิตของศิษย์น้องเล็กปลอดภัยดี แต่อาการบาดเจ็บทั้งภายในภายนอกค่อนข้างรุนแรง ต้องหาวิธีปรับก่อน ถึงจะเรียกเขาตื่นขึ้นมาได้”
…………………………………………