“คุณซ่งครับ ผมยอมรับว่าฝีมือการรักษาโรคของคุณลุงท่านนั้นยอดเยี่ยมมากครับ”
เมื่อมองดูโก่วซินเจียที่อยู่ในห้องคนไข้ หมอเวย์แมนจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนว่า “แต่ผมคิดว่า ตอนนี้เยี่ยเทียนต้องทำการผ่าตัดโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นถ้ากระดูกสันหลังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่กำจัดกระดูกที่แตกออกไป ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะตื่นขึ้นมา ก็อาจจะกลายเป็นคนไข้ที่พิการได้นะครับ”
ไม่ว่าอย่างไรหมอเวย์แมนก็คาดไม่ถึง ว่าประสิทธิภาพของยาที่โก่วซินเจียเอามาใช้นั้นจะมีผลดีเช่นนี้ แค่เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ เยี่ยเทียนที่นอนซมอยู่บนเตียงนอกจากอาการบาดเจ็บของไขกระดูกที่ยังไม่ฟื้นฟูแล้ว การบาดเจ็บภายในทั้งหมดของเขากลับดีขึ้นเกือบเจ็ดแปดส่วน
ตอนที่เยี่ยเทียนถูกส่งมาที่โรงพยาบาลนั้น ตับของเขาแตก มีเลือดออกหลายตำแหน่ง ไม่ตายก็ถือว่าดวงแข็งมากแล้ว จากประสบการณ์ของหมอเวย์แมน เกรงว่าหากไม่ถึงปีครึ่งก็อย่าคิดว่าจะรักษาให้หายได้
แต่การมาของโก่วซินเจีย กลับเป็นการล้มล้างความรู้ทางการแพทย์ของเขา ทำให้หมอเวย์แมนรู้สึกล้มเหลว เขาอยากพูดโน้มน้าวซ่งเวยหลันให้ทำการผ่าตัดเยี่ยเทียน เพื่อพิสูจน์บทบาทสำคัญทางการแพทย์แผนตะวันตก
และการกระทำของโก่วซินเจียในตอนนี้ ทำให้หมอเวย์แมนรู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง
เพราะว่าตอนนี้โก่วซินเจียกำลังถือเข็มเงินสามเล่มที่มีความยาวประมาณยี่สิบกว่าเซนตินเมตรอยู่ในมือ และกำลังวัดคำนวณอยู่ตรงศีรษะของเยี่ยเทียน สภาพการณ์แบบนั้นเห็นได้ชัดว่าอยากจะใช้เข็มเงินปักเข้าไปที่สมองของเยี่ยเทียน
ถึงแม้แต่ก่อนจะเคยเห็นการฝังเข็มของหมอจีนที่ทำต่อคนไข้ แต่ก็ใช้กับร่างกายส่วนอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนของสมองมีประสาทมากมาย หากไม่ระวัง อาจจะทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปได้
“หมอเวย์แมนคะ ไม่ต้องพูดอีกแล้วค่ะ”
ซ่งเวยหลันที่ทำสีหน้าตึงเครียดเอ่ยปากพูด “ในเมื่อฉันเลือกให้คุณโก่วเป็นคนรักษาโรคให้เยี่ยเทียน ฉันก็จะเชื่อใจเขาค่ะ ส่วนเรื่องผ่าตัด เชื่อว่าหลังจากที่ลูกชายของฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจะเป็นคนเลือกด้วยตัวเองค่ะ”
หลังจากได้ยินคำพูดเป็นกังวลของหมอเวย์แมนแล้ว ซ่งเวยหลันจึงมีสีหน้าที่กลุ้มใจออกมา แต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเยี่ยเทียนในสองสามวันที่ผ่านมา ยังคงทำให้เธอเต็มไปด้วยความเชื่อใจโก่วซินเจีย
ในหัวใจของซ่งเวยหลันตอนนี้ ลูกชายคือผู้วิเศษที่มีความสามารถในการทำนายอนาคตได้คนหนึ่ง
และโก่วซินเจียในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของเยี่ยเทียน จึงต้องมีความสามารถมากกว่าลูกชาย ถ้าหากเขาช่วยเยี่ยเทียนไม่ได้ล่ะก็ เชื่อว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือลูกชายได้อีก
หลังจากหนานไหวจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ซ่งเวยหลันได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน จึงยิ้มพูดว่า “คุณหญิงเยี่ยครับ ไม่ต้องเป็นห่วง พี่หยวนหยางเก่งอยู่แล้ว บางทีคราวนี้เยี่ยเทียนอาจจะเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้ก็ไม่แน่นะครับ”
โก่วซินเจียทำการฝังเข็มในเวลานี้ หนานไหวจิ่นไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องคนไข้ด้วย ด้วยวรยุทธของเขา ยังไม่สามารถปรับการขับเคลื่อนของลมปราณชีวิตหรือลมปราณชีวิตแท้ได้ ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าเป็นการรบกวนโก่วซินเจีย
“เปลี่ยนเคราะห์เป็นโชค? เสี่ยวเทียนสามารถฟื้นขึ้นมาได้ก็พอแล้วค่ะ”
ซ่งเวยหลันมองอวี๋ชิงหย่าที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความเป็นห่วง พลางพูดว่า “เด็กคนนี้โชควาสนาน้อยนัก ถ้าหากต้องพิการจริงๆ พวกเราก็จะดูแลเขาไปตลอดชีวิต”
ช่วงนี้ซ่งเวยหลันก็ไม่ได้ว่างเลย เธอสอบถามศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดในอเมริกาแล้ว แต่ก็ได้ผลสรุปเดียวที่ทำให้เธอเป็นกังวลมากที่สุด
นั่นก็คืออาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียน มีความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่จะพิการ กระทั่งอาจจะมีผลกระทบถึงระบบประสาทศูนย์กลางของเยี่ยเทียนอีกด้วย
แม้ว่าจะมีตัวเสริมความมั่นคงภายในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของเยี่ยเทียนก็คงได้แต่นั่งบนรถเข็น หากรุนแรงมากกว่านี้ ไม่แน่เขาอาจจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงใช้ค่อนครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่
หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งเวยหลันแล้ว อวี๋ชิงหย่าจึงเดินเข้ามา กุมมือของซ่งเวยหลัน พลางพูดเบาๆ ว่า “แม่คะ แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ต่อให้เยี่ยเทียนพิการ หนูก็จะดูแลเขาไปตลอดชีวิตค่ะ”
“พวกคุณผู้หญิงสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่?”
หลังจากได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน หนานไหวจิ่นจึงมีสีหน้าที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก “ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีอาการบาดเจ็บหนัก แต่สำหรับพวกเราแล้ว ไม่รุนแรงมาก แค่ใช้เวลาในการพยาบาลรักษาสักพักหนึ่งก็ดีแล้ว”
คนที่ฝึกฝนกำลังภายในนั้น ถึงแม้จะไม่สามารถสร้างแขนขาให้งอกใหม่ได้ แต่ผลของการใช้พลังลมปราณชีวิตแท้ในการปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งยังห่างไกลจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะเอามาเปรียบเทียบได้
ต่อให้ตันเถียนของเยี่ยเทียนแตกหัก ลมปราณชีวิตแท้ไม่หลงเหลืออยู่ภายในร่างกายแม้แต่นิดเดียว โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นก็สามารถใช้วิชาของสำนัก นำลมปราณชีวิตแท้ใส่เข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียน เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนได้
แต่จำเป็นต้องหลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะทำได้ ถึงอย่างไรลมปราณชีวิตแท้จากการฝึกฝนของคนนอก ก็ต้องได้รับความเชื่อใจและการยอมรับทั้งหมดจากเยี่ยเทียนก่อนถึงจะทำได้
“จริงเหรอคะ?”
ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่ามีสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาพร้อมกัน สำหรับพวกเธอทั้งสองคนแล้ว คนหนึ่งเป็นลูกชาย อีกคนหนึ่งเป็นสามี ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้ร่างกายท่อนล่างของเยี่ยเทียนต้องนอนซมอยู่บนเตียงเท่านั้น
“ผมอายุจะเก้าสิบแล้ว จะโกหกพวกคุณทำไมครับ?” หนานไหวจิ่นฝืนยิ้มพลางพูดว่า “พี่หยวนหยางจะฝังเข็มแล้ว พวกคุณอย่าพูดอะไร ระวังจะรบกวนเขาได้นะครับ!”
ถึงแม้จะมีกระจกกันเสียงที่หนาเตอะกั้นระหว่างห้องคนไข้ แต่ประโยคนี้ของหนานไหวจิ่นก็ทำให้ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่าปิดปากพร้อมกัน พลางมองไปที่ห้องคนไข้ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
“ศิษย์น้องเล็ก วิชาบุกทะลวงนี้ เธอเป็นคนถ่ายทอดให้ศิษย์พี่เอง ถ้าหากผิดพลาดอะไร จะโทษศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้นะ!”
โก่วซินเจียที่อยู่ในห้องคนไข้ มีความตื่นเต้นอยู่บ้างในเวลานี้ วิชาที่เขาจะใช้ทั้งหมด ความจริงแล้วเป็นเคล็ดวิชาของอาจารย์ที่เยี่ยเทียนจัดเก็บออกมาก่อนหน้านี้
เคล็ดวิชาแบบนี้ไม่ได้ใช้เรียกวิญญาณแต่อย่างใด แต่เป็นวิชายุทธที่ยืมพลังภายนอกบุกทะลวงฝ่าด่านเข้าไปต่างหาก
ทุกคนต่างทราบว่า จุดฝังเข็มของร่างกายมนุษย์มีหลายจุด หากจะเดินให้รอบทุกจุด จะต้องเปิดทางจุดฝังเข็มทั้งหมด และสองจุดนี้ถือเป็นจุดที่ยากจะบุกเข้าไปมากที่สุด
คนที่ฝึกพลังลมปราณ จุดลั่วของเส้นลมปราณเริ่นหนึ่งเส้นกับจุดลั่วของเส้นลมปราณตูหนึ่งเส้นเป็นจุดฝังเข็มที่ยากที่สุด โดยเริ่มจากจุดหุ้ยอินเป็นจุดแรกที่อยู่ระหว่างขาของร่างกายท่อนล่าง ไหลเวียนไปตามแนวเส้นกลางลำตัวจนถึงรอยบุ๋มใต้ต่อริมฝีปากล่างคือจุดเฉิงเจียง เส้นลมปราณสายนี้คือการไหลเวียนของเส้นลมปราณเริ่น
เส้นลมปราณตูเริ่มจากจุดหุ้ยอินแล้วผ่านออกมาบริเวณฝีเย็บ ผ่านไปทางด้านหลังขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังสู่ศีรษะแล้วค่อยผ่านระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง จนถึงเหงือกจุดอิ๋นเจียวของขากรรไกรบนของช่องปาก
เพราะว่าในนิยายกำลังภายในได้บรรยายให้เลยเถิดและเกินความจริง อย่างเช่น ถ้าหากเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูถูกเปิด จะทำให้วรยุทธก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จึงทำให้คนคุ้นเคยกับชื่อของชีพจรพลังนี้มากที่สุด
แต่ความจริงแล้ว เส้นลมปราณหลักของเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูล้วนเป็นพลังลมปราณหลักของเส้นลมปราณในร่างกายมนุษย์ เมื่อเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูเปิด จุดเชื่อมโยงเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดก็เปิด เมื่อจุดเชื่อมโยงเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดเปิด หลอดเลือดทั้งหลายก็เปิด จึงสามารถเข้าไปปรับปรุงคุณภาพของร่างกายให้ดีขึ้น ทำให้เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตของร่างกาย
การจับชีพจรของแพทย์แผนจีนกับศาสตร์วิชาชี่กงอย่างเต๋าอิ่นหรือหย่างเซิงของนักบวชลัทธิเต๋าได้กล่าวไว้ว่า เส้นลม ปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูนั้นมีความสำคัญมาก
ที่โก่วซินเจียกำลังทำทั้งหมดนี้ ก็คือการนำลมปราณชีวิตแท้ใส่เข้าไปในเส้นลมปราณเริ่นของเยี่ยเทียน เพื่อปะทะจุดตันเถียนบนที่อยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขา ซึ่งก็คือจุดหนีหวานกงของเยี่ยเทียนนั่นเอง
มีการบรรยายแบบนี้ในนิยายกำลังภายในอยู่บ่อยครั้ง บอกว่าหากยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ปะทะเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูไม่สำเร็จ จะทำให้ร่างกายพิกลพิการหรือไม่ก็สติฟั่นเฟือน เพราะเป็นผลมาจากจุดของหนีหวานกง
จุดหนีหวานกงก็คือตันเถียนบน อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ตา หน้าผากและกระดูกจมูก จึงถูกนักลิทธิเต๋าเข้าใจว่าเป็นแก่นของพลังจักรวาล เป็นสถานที่ซ่อนของเทพเจ้า เป็นจุดฝังเข็มของการฝึกฝนเล่นเร่แปรธาตุ เป็นแหล่งกำเนิดลมปราณชีวิต ที่เป็นสมบัติอันล้ำค่ามาก
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตบะเองหรือคนอื่นก็ตาม ก็จะไม่ยอมแตะจุดนี้เป็นอันขาด แต่โก่วซินเจียอยากจะปลุกเยี่ยเทียนให้ตื่นขึ้นมา จึงจำเป็นต้องสัมผัสจุดหนีหวานกง เพื่อทำให้เขาตกใจตื่นจากสภาวะการหายใจแบบเต่า
เมื่อจุดไฟตะเกียงแอลกอฮอล์บนหัวเตียงของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงนำเข็มเงินทั้งสามเล่มไปเผาไฟเพื่อฆ่าเชื้อ หลังจากใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีแอลกอฮอล์เช็ดให้สะอาดแล้ว เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับเข็มเล่มหนึ่ง โก่วซินเจียลงมือเร็วปานสายฟ้า ฝังลงไปที่จุดเสินถิงของเยี่ยเทียนโดยตรง จากนั้นจึงใช้เข็มอีกสองเล่มฝังไปที่จุดหยางป๋ายซ้ายและขวา
ตำแหน่งที่ถูกฝังเข็มทั้งสามเล่มนั้นลึกมาก หัวเข็มเหลือความยาวเพียงสี่ห้าเซนติเมตร พลางมองดูทุกคนที่อยู่นอกห้องคนไข้ที่ต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ที่มีของพวกนี้ฝังอยู่ในศีรษะ ไม่แน่อาจจะฝังเข็มจนทำให้คนปัญญาอ่อนก็เป็นได้
หลังจากฝังเข็มลงไปแล้ว โก่วซินเจียก็ไม่ลังเล ใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ของมือขวาจับเป็นรูปดาบ พร้อมกับท่องคาถาไปด้วย จากนั้นจึงกดนิ้วทั้งสองไปที่จุดอิ้นถังที่อยู่ระหว่างหัวคิ้วทั้งสองของเยี่ยเทียน แล้วแก่นแท้ของพลังชีวิตที่บริสุทธิ์จึงไหลเข้าสู่ช่องว่างระหว่างคิ้วของเยี่ยเทียน
……
เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกดึงเข้ามาอยู่ห้วงเวลานี้นานเท่าไรแล้ว อยู่ในนี้ไม่มีความคิดเรื่องเรื่องเวลาเลย เพราะสิ่งที่เข้าตามีแต่ความมืดมิดเต็มไปหมด
เยี่ยเทียนเคยคำรามก็แล้ว ตะโกนก็แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ และในห้วงเวลานี้ยังคงปกคลุมไปด้วยความมืดมิดเหมือนเดิม ไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่นิดเดียว
เคยมีนักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ยากที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่การลงโทษที่โหดร้ายทารุณ แต่เป็นความเหงา ความเหงาที่เป็นการทรมานจิตใจแบบนั้น ถึงจะทำให้คนยากที่จะทนรับได้มากที่สุด
ในเรือนจำของแต่ละประเทศเกือบทั้งหมดของโลกก็มีการลงโทษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการกักขัง โดยการนำนักโทษที่กระทำความผิดไปขังภายในพื้นที่เล็กและแคบ ไม่ให้ได้ยินเสียงใดๆ และมองไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์
คนที่อยู่ในนั้นหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่ออกมาแล้วก็จะไม่มีใครอยากเข้าไปอีก เพราะว่าความรู้สึกมืดและเงียบเหงาแบบนั้น ทำให้สติของพวกเขาแทบพังทลาย
พื้นที่ที่เยี่ยเทียนอยู่นี้ ยังโหดกว่าสถานที่กักขังเป็นร้อยเท่า เพราะว่าในนี้ แม้แต่เวลาก็เหมือนกับหยุดนิ่ง อารมณ์และความคิดด้านลบต่างๆ ก็ทยอยตามมา
ช่วงแรกที่อยู่ในนี้ เยี่ยเทียนก็เกือบจะพังทลาย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ฝึกฝนวรยุทธมาตั้งแต่เด็ก นั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ในภูเขาก็ไม่น้อย ความเข้มแข็งของจิตใจยากที่คนธรรมดาจะเทียบได้ หลังจากผ่านความยากลำบากในช่วงแรกมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงเงียบสงบลงในที่สุด
เยี่ยเทียนได้ฝึกฝนวิชายุทธและคาถามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงทำการทบทวนความทรงจำทั้งหมดอีกครั้ง
แต่ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุจากที่นี่เงียบเกินไปหรือเปล่า มีหลักการมากมายที่แต่ก่อนเขามองไม่ทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้ปัญหาต่างๆ ได้แก้ตกไปตามๆ กัน ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นดีใจด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงเข้าสู้การฝึกฝนอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนี้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาสองสามครั้ง และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา เขาสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสติที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ ซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนไปบ้าง
แต่การถูกขังอยู่สถานที่แห่งนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่มีตัวพาหะให้เปรียบเทียบได้ เพื่อเป็นการขจัดความว่างเปล่ากับความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดออกไป เขาจึงได้แต่ตั้งใจฝึกวรยุทธอีกครั้ง
“หืม? เกิดอะไรขึ้น?” เกิดการเตือนขึ้นมาในหัวใจอย่างฉับพลัน ทำให้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาจากความเงียบอีกครั้ง
เขารู้สึกเหมือนมีพลังงานที่คุ้นเคยบางอย่างเข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ และความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุดพลันเกิดแสงสว่างขึ้น เยี่ยเทียนจึงดีใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นสติของเขาก็ตามลำแสงนั้นแล้วหนีออกไป
…………………………………………..