“บัดซบ มีคนถือโอกาสเอาค้อนมาทุบหัวฉันตอนที่ฉันนอนหลับอยู่ใช่ไหม?”
ความรู้สึกแรกหลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา ก็คือทั่วทั้งตัวไม่มีตรงไหนที่สบายตัวเลย และยังไม่พูดถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงของแขนที่หักทั้งสองข้าง แม้แต่กล้ามเนื้อก็ยังปวดเมื่อยจนหมดแรง และตั้งแต่ช่วงเอวลงไปก็ยิ่งไม่มีความรู้สึก
ก่อนที่จะสลบไป สติของเยี่ยเทียนอยู่ในขั้นที่ตึงเครียดมาก จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่ทำไมพอฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงรู้สึกเจ็บปวดจนแทบอยากจะมุดเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งความมืดแล้วไม่ออกมาอีกตลอดไป
เขากัดฟันแน่น แล้วเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองก็ผุดเต็มหน้าผาก มันเจ็บปวดมากจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเยี่ยเทียนกระตุก
เยี่ยเทียนไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเป็นสิ่งแรก เพราะเขารู้ว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดเป็นเวลานาน ถึงแม้จะมีแสงสว่างรำไร ก็ยังส่งผลที่อันตรายต่อดวงตาของเขา
“หืม? ลมปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของฉันล่ะ?”
เยี่ยเทียนค่อยๆ ทำความคุ้นชินกับแสงสว่างภายนอกอย่างช้าๆ ผ่านหนังตา เขาเคยชินกับการปล่อยลมปรารชีวิตแท้เพื่อสัมผัสสภาพแวดล้อมภายนอก แต่กลับพบว่า ภายในร่างกายของตัวเองไม่มีปรารณชีวิตแท้แม้แต่นิดเดียว
นี่คือความตื่นตระหนกตกใจอันใหญ่หลวงสำหรับเยี่ยเทียน สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการใช้ปราณชีวิตแท้ในการดำเนินชีวิต ถ้าหากต้องกลายเป็นคนพิการ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้ต่อไปจะกลายเป็นแบบไหน?
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังตกใจอย่างบอกไม่ถูกนั้น ในหัวของเขาก็พลันปรากฏภาพสามมิติภาพหนึ่ง คือตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้สีขาวโพลน ข้างกายของตัวเองนั้นมีศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจียกำลังยืนอยู่ข้างๆ
และข้างหลังหน้าต่างกระจกที่ห่างจากเตียงคนไข้ออกไปหกเมตร ยังมีคนอีกสองสามคน กำลังมองเข้ามาภายในห้องด้วยความตึงเครียด นอกจากซ่งเวยหลันผู้เป็นแม่แล้ว ยังมีภรรยาของตัวเอง คุณพ่อ โจวเซี่ยวเทียนกับจั่วเจียจวิ้นรวมทั้งหนานไหวจิ่น
เหมือนกับการใช้ดวงตาจ้องมองไปที่คนพวกนั้นโดยตรง ใบหน้าของพวกเขานั้นชัดเจนอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก ชัดเจนจนเยี่ยเทียนสงสัยว่าตัวเองลืมตาแล้วใช่ไหม
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยเทียนใช้ความคิดเพียงนิดเดียว ภาพที่อยู่ในนั้นก็พลันหายไปทั้งหมด ราวกับภาพลวงตา แต่มันกลับเสมือนจริงจนทำให้เยี่ยเทียนยากจะลืมได้ลง
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าเพิ่งลืมตา ศิษย์พี่ใหญ่ลืมเรื่องนี้ไปเลย!”
เมื่อเห็นดวงตาของเยี่ยเทียนกำลังขยับแต่กลับไม่ได้ลืมตา โก่วซินเจียจึงเข้าใจทันที รีบหยิบผ้าปิดตาในฉับพลัน เพื่อปิดตาทั้งสองข้างของเยี่ยเทียน
“ใช่ศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ หรือครับ?”
เยี่ยเทียนเพ่งจิตเพียงนิดเดียว ในหัวจึงนึกถึงสภาพของการนอนสลบไสลก่อนหน้านี้ จึงรีบถามโดยไม่สนใจความแปลกประหลาดของร่างกาย “ศิษย์พี่ใหญ่ แม่ของผมเป็นยังไงบ้างครับ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะเอ่ยพูด เขาจึงรู้สึกตกใจกับเสียงที่แหบแห้งของตัวเอง เสียงแบบนั้นเหมือนกับถูกทำแตกร้าว ทำให้เสียงที่ส่งออกมาเป็นเสียงที่แหบพร่าราวกับเสียงทราย
ถึงแม้เสียงของเยี่ยเทียนจะดูแปลกยากที่จะอธิบายให้ชัดเจน แต่โก่วซินเจียก็ยังฟังเข้าใจ จึงยิ้มพูดขึ้นทันทีว่า “ศิษย์น้องเล็ก เธอวางใจได้ แม่ของเธอไม่เป็นอะไร ตอนนี้กำลังมองเธออยู่ข้างนอกห้องคนไข้”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียแล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจของเยี่ยเทียนก็เกิดอาการกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วจึงรีบถามต่อ “นอกห้องคนไข้? ยังมีใครอีก?”
แต่ก่อนเยี่ยเทียนพยายามขับเคลื่อนพลังลมปราณชีวิตเพื่อสัมผัสร่างกายของคนอื่น ส่วนมากจะสามารถใช้พลังชีวิตที่อ่อนแอวิเคราะห์ได้แต่เพียงอายุกับลักษณะพิเศษของใบหน้าเท่านั้น แต่เมื่อครู่เขากลับเหมือนมองเห็นได้อย่างแท้จริง
ถ้าหากไม่ใช่โก่วซินเจียบอกว่าแม่อยู่ข้างนอก เยี่ยเทียนคงจะคิดว่านั่นคือภาพหลอนที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากความมืดจนทำให้ตัวเองเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
“ภรรยากับพ่อของเธอก็มา แล้วก็ยังมีศิษย์พี่รองของเธอ ศิษย์น้องหนานไหวจิ่น เซี่ยวเทียน พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมเธอกันทั้งนั้น”
มองดูเหงื่อเย็นไหลพลั่กๆ ออกมาจากหน้าผากของเยี่ยเทียนไม่หยุดหย่อน โก่วจินเซียจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก พยายามทำความคุ้นชินสักเล็กน้อย อย่าเพิ่งพูดอะไร พักผ่อนสักครู่หนึ่งแล้วพวกเราพี่น้องค่อยคุยกัน”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ยังมีฝรั่งใส่กรอบแว่นตาทองสวมชุดกาวน์อยู่อีกคนใช่ไหมครับ?” โก่วซินเจียเพิ่งจะพูด เยี่ยเทียนก็เข้าใจทันที เมื่อครู่สถานการณ์ที่เกิดในหัวของตัวเองไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นสภาพแวดล้อมจริงที่อยู่รอบตัว
“ถูกแล้ว นั่นคือหมอเวย์แมน เธอรู้ได้ยังไง?”
โก่วซินเจียมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความแปลกใจ อย่าเพิ่งพูดถึงว่าเยี่ยเทียนยังไม่ได้ลืมตา ต่อให้ลืมตา เขาก็ไม่สามารถมองเห็นภาพที่อยู่ข้างหลังของกระจกด้านเดียวได้
“ผม…โอ๊ย!”
ตอนที่เยี่ยเทียนอยากจะตอบ กระดูกสันหลังจากข้างหลังพลันส่งความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกับจะทำให้เขาฉีกขาดจากกลางลำตัวก็ไม่ปาน เยี่ยเทียนเจ็บจนอดส่งเสียงร้องฮึดฮัดด้วยความเย็นชาออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก เธออยากให้ฉีดยาชาทั้งตัวไหม?”
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดทรมานของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงอดสงสารไม่ได้ เขาเพิ่งจะตรวจดูร่างกายของเยี่ยเทียน ปราณชีวิตแท้ที่หายไปนั้น กลับไม่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้โก่วซินเจียรู้สึกเสียใจที่ปลุกเยี่ยเทียนให้ตื่นขึ้นมาจากสภาพการหายใจแบบเต่า ควรทราบว่า อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังตรงช่วงหลังของเยี่ยเทียนนั้น เชื่อมโยงกับประสาทศูนย์กลาง หากเกิดอาการกำเริบ ความรู้สึกเจ็บปวดเข้าไขกระดูกนั้นยากที่คนทั่วไปจะทนรับได้
“ไม่…ไม่ต้อง!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเกือบจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนขาด พยายามอดทนกับความเจ็บที่แสนทรมานที่ส่งมาจากภายในร่างกาย แล้วเอ่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เอาผ้าเช็ดหน้ามายัดปากผม บัดซบเอ้ย น่าสมเพศจริงๆ!”
“เสี่ยวเทียนฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้ว!”
“แม่ เยี่ยเทียนเขาฟื้นแล้ว!”
“อาจารย์ฟื้นแล้ว ฮ่าๆ ลุงเยี่ย อาจารย์เขาฟื้นแล้ว!”
ตอนที่เสียงแหบแห้งดังออกมาจากไมค์ที่อยู่ภายในห้องนั้น ข้างนอกพลันเกิดความคึกคักขึ้นมาทันที
อวี๋ชิงหย่ากับซ่งเวยหลันกอดกันด้วยน้ำตาอาบหน้า ส่วนโจวเซี่ยวเทียนก็กอดรัดเยี่ยตงผิงด้วยความตื่นเต้น ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มีน้ำตาไหลออกมาพร้อมกันด้วยความปีติ
รอดแล้ว!
สำหรับเหล่าญาติและคนสนิทของเยี่ยเทียน เขาไม่ขออะไรมาก ขอแค่เยี่ยเทียนสามารถฟื้นขึ้นมาได้ พวกเขาก็พอใจแล้ว ส่วนเยี่ยเทียนจะพิการหรือเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวได้
“พระเจ้า หรือว่าท่านติดใจอเมริกาแล้วใช่ไหม?”
หมอเวย์แมนเห็นภาพนี้อยู่นอกห้องคนไข้ จึงอดทำมือเป็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนอยู่ที่หน้าอกไม่ได้ วันนี้เขาได้เห็นความมหัศจรรย์กับตาตัวเองแล้ว
ก่อนที่เยี่ยเทียนจะฟื้นขึ้นมา อัตราการเต้นของหัวใจเขาได้ลดลงอยู่ที่แปดครั้งต่อนาที ซึ่งทำให้จำนวนการเต้นของหัวใจสามารถหยุดเต้นได้ตลอดเวลา
แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามนาที ไม่เพียงเยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา และหากดูจากอุปกรณ์การตรวจของเครื่องนั้น หัวใจเต้นของเยี่ยเทียนได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว อัตราการเต้นอยู่ที่เจ็ดแปดสิบต่อนาที ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไปเลยสักนิด
“หรือว่าเขาเป็นยอดมนุษย์จริงๆ?” หมอเวย์แมนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วหัวใจก็อดเกิดความคิดนี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
วันที่สองที่เยี่ยเทียนถูกส่งเข้าห้องคนไข้ ก็มีสมาชิกขององค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ลึกลับกลุ่มหนึ่งของอเมริกามาหาเขา องค์กรนี้คือองค์กรในพื้นที่ Area 51 ของอเมริกาที่เต็มไปด้วยความลึกลับมหัศจรรย์
พื้นที่ Area 51 ตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาดาห่างจากลาสเวกัสไปหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตร ตามตำนานที่เล่าขานกล่าวว่าได้เก็บศพของมนุษย์ต่างดาวเอาไว้อยู่ภายในกรีนเฮาส์
คนภายนอกต่างก็คาดเดาว่าบางทีภายใน “กรีนเฮาส์” อาจจะไม่ได้มีแค่ศพของมนุษย์ต่างดาว แต่อาจจะมีเศษยูเอฟโอที่มนุษย์ต่างดาวเคยนั่งมาก่อน ซึ่งคนแปลกหน้าไม่สามารถเข้ามาเยือนฐานทัพนี้ได้ แม้ว่าจะเป็นทหาร ก็ยังถูกห้ามไม่ให้เปิดเผยความลับของการใช้ชีวิตใดๆ ในพื้นที่ Area 51 เด็ดขาด
พื้นที่ Area 51 จึงมีความน่าสนใจจากทั่วโลกมาเป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว แต่ถึงตอนนี้พื้นที่ Area 51 ก็ยังเป็นปริศนาต่อคนภายนอกอยู่ดี แม้ว่าจะสามารถวิเคราะห์ฐานข้อมูลบางส่วนจากภาพถ่ายจานดาวเทียมได้ แต่ก็ยากที่จะอธิบายข้อเท็จจริงออกมา
เกี่ยวกับลักษณะของการทำงาน หมอหมอเวย์แมนกับสมาชิกขององค์กรนี้ก็มีการไปมาหาสู่กัน และด้วยสมองอันชาญฉลาดของเขาจนเกือบจะถูกดึงเข้าไปอยู่ในองค์กรนี้แล้ว
หมอเวย์แมนรู้ว่า พื้นที่ Area 51 กำลังทำการวิจัยที่เกินกว่าการจินตนาการของคนทั่วไปจะคิดได้จริงๆ และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงปรากฏการณ์พลังพิเศษของพวกมนุษย์ แน่นอนว่า ในนั้นจะมีศพของมนุษย์ต่างดาวจริงหรือไม่ หมอเวย์แมนก็ไม่รู้เช่นกัน
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ลึกลับของพื้นที่ Area 51 มาหาหมอเวย์แมนแล้ว จึงเสนอความต้องการอย่างหนึ่งกับเขา
อีกฝ่ายสั่งให้หมอเวย์แมนเอาเซลล์กล้ามเนื้อของเยี่ยเทียนส่วนหนึ่งออกมาเพื่อให้พวกเขาทำการวิจัย ถึงอย่างไรความสามารถที่แสดงออกมาตอนที่เยี่ยเทียนตกตึกนั้น ได้ไกลเกินกว่าที่คนปกติทั่วไปจะสามารถทำได้
หมอเวย์แมนได้ตอบรับคำขอนี้ ตอนที่ได้ทำความสะอาดแผลให้เยี่ยเทียน เขาได้นำกลุ่มเซลล์ส่วนหนึ่งของเยี่ยเทียนมอบให้คนนั้นไปแล้ว เพียงแต่ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์กว่า คนนั้นก็ไม่กลับมาที่นี่อีกเลย
มีเพียงหมอเวย์แมนที่รู้เรื่องนี้ทั้งหมด ดังนั้นหลังจากที่เขาได้เห็นความมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยตาตัวเอง กระทั่งเขาเกิดบุ่มบ่ามอยากจะโทรศัพท์หาคนนั้น เพื่อถามว่าเยี่ยเทียนมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์จริงไหม?
แต่ต่อให้หมอเวย์แมนโทรศัพท์ไปหา เขาก็ต้องได้รับคำตอบที่เป็นข้อปฏิเสธ เพราะว่าหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ Area 51 ได้ทำชุดวิเคราะห์ออกมาแล้ว กลุ่มเซลล์ของเยี่ยเทียนไม่ได้มีพลังพิเศษแต่อย่างใด
จากนั้น การรายงานการแสดงบนเวทีมวยใต้ดินของเยี่ยเทียนก็ได้วางอยู่ตรงหน้าของนักวิทยาศาสตร์ สุดท้ายพวกเขาได้ข้อสรุปว่า “เยี่ยเทียนผ่านการฝึกฝนมา ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายจึงมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป”
บวกกับเยี่ยเทียนร้อนใจอยากจะช่วยแม่ให้พ้นอันตราย ความสามารถพิเศษที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายจึงระเบิดออกมา ดังนั้นจึงได้แสดงออกมาอย่างโดดเด่นเช่นนี้ การแสดงออกแบบนี้ สามารถอธิบายให้อยู่ในขอบเขตความสามารถของคนธรรมดาได้
แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังไม่รู้ว่า พวกเขาได้วิจัยกลุ่มเซลล์ของเยี่ยเทียน ที่เกิดขึ้นหลังจากการหายไปของปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว
ไม่อย่างนั้น พวกเขาคงจะพบว่า ความรวดเร็วในการแบ่งเซลล์ของเยี่ยเทียน มีความช้ามากกว่าคนธรรมดาสิบเท่ากระทั่งเป็นร้อยเท่า ซึ่งก็แสดงว่า พลังชีวิตของเยี่ยเทียนไกลเกินกว่าคนอย่างพวกเขาเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่ได้ข้อสรุปนี้แล้ว แฟ้มเอกสารของเยี่ยเทียนก็ยังถูกเก็บเอาไว้ และเหล่านักวิทยาศาสตร์ของพื้นที่ Area 51 ก็ได้สูญเสียโอกาสอันล้ำค่าของการวิจัยพลังพิเศษอีกครั้ง
“เสี่ยวเทียนเขาเป็นอะไร?”
“ทำไมสีหน้าถึงดูเจ็บปวดขนาดนั้น เยี่ยเทียน แม่อยู่ข้างนอกนะ”
“เพราะว่าเรียกให้ฟื้นขึ้นมาเร็วเกินไป อาการบาดเจ็บนั่นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะทนรับได้”
ยังไม่พูดถึงหมอหมอเวย์แมนที่มีความคิดฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น เวลานี้คนที่อยู่นอกห้องคนไข้ ต่างก็ตกตะลึงงันกับความเจ็บปวดของสีหน้าเยี่ยเทียน โดยเฉพาะซ่งเวยหลัน เธอแทบอยากจะรับความเจ็บปวดนั้นมาอยู่กับตัวเอง
“ให้ตายสิ น่าจะเหลือปราณชีวิตแท้ไว้ให้ฉันสักนิดหนึ่งก็ยังดี!”
เยี่ยเทียนกัดผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ในปากอย่างแน่น พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดจากการโจมตีของคลื่นสมอง เขารู้ว่า ถ้าหากไม่สามารถฝืนทนให้ผ่านช่วงแรกไปได้ เกรงว่าตัวเองจะต้องฉีดยาชาเพื่อใช้ชีวิตต่อไปในภายหลัง
…………………………………………….