อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนไม่ใช่การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อเหมือนอย่างทั่วๆ ไป เมื่อผ่านการเอ็กซเรย์ก็จะเห็นว่า กระดูกสันหลังทั้งอันของเยี่ยเทียนได้เปลี่ยนรูปทรงไปแล้ว และยังมีสามส่วนที่แตกหักอย่างเห็นได้ชัด
ตรงนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อกับประสาทศูนย์กลาง ต่อให้เป็นการกระแทกเพียงเล็กน้อย ก็ยังทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดยากจะทนรับได้ การใช้ความรู้สึกเจ็บปวดเข้าไขกระดูกเพื่อบรรยายความรู้สึกของเยี่ยเทียนในตอนนี้จึงไม่ได้ดูเกินจริงเลย
เขากัดผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น เหงื่อเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วเหลืองไหลลงจากหน้าผากไม่หยุด ทำให้หมอนเปียกชื้นไปหมด เยี่ยเทียนอยากจะชกศีรษะของตัวเองสักที ต่อให้ต้องสลบไป ก็ยังดีกว่าตอนนี้เป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ไหวก็ฉีดยาเถอะ ยาชาในระดับที่พอดี จะไม่ทำร้ายร่างกายของเธอหรอก!”
เมื่อเห็นท่าทางความเจ็บปวดทรมานของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงมีสีหน้าที่อดรนทนไม่ได้ออกมา ตอนที่แขนซ้ายของเขาถูกตัดขาด ก็ยังฝืนทนมาได้ ซึ่งก็เป็นความเจ็บปวดที่ไม่เหมือนของคนทั่วไปเช่นกัน
เยี่ยเทียนได้ยินจึงลืมตาขึ้นมา ส่ายหน้ายกใหญ่ ตอนนี้ปราณชีวิตแท้ไม่อยู่ภายในร่างกายของเขาแล้ว ถ้าหากไม่สามารถอดทนให้ผ่านไปได้ เกรงว่าต่อไปเขาคงจะอยู่ห่างจากยาชาไม่ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ของพวกนี้ใช้เป็นครั้งคราวไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้ในระยะยาวล่ะก็ เยี่ยเทียนกลัวว่าพวกมันจะทำลายสมรรถภาพร่างกายของตัวเอง ถ้าหากไม่มีสิ่งอื่นที่พึ่งพาได้ แบบนั้นจะทำให้ยิ่งขาดมันไม่ได้
“โธ่เว้ย ฉันไม่ได้ถูกกระแทกที่จุดตันเถียนเสียหน่อย แล้วปราณชีวิตแท้มันหายไปไหนเนี่ย?”
เยี่ยเทียนกัดฟันและพยายามพิจารณาสภาพร่างกายของตัวเอง ถ้าหากปราณชีวิตแท้ยังอยู่ อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้จะทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด
“หรือว่าตอนที่กระแทกเข้ากับพื้นกระดานคอนกรีตนั่น ทำให้จุดตันเถียนระเบิดออกมา?”
ในหัวของเยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นมา เขาจำได้ว่าปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายตัวเองยังหลงเหลืออยู่ เพื่อช่วยชีวิตของแม่ เขาเกือบจะปะทุพลังซ่อนเร้นทั้งหมดที่มีอยู่ของร่างกาย
ความจริงการคาดเดาของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ได้ห่างไกลจากความจริงมากนัก หมัดสุดท้ายที่เขาชกไปที่พื้นกระดานคอนกรีต เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเขาหายไป
พื้นกระดานคอนกรีตนั่นมีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม บวกกับน้ำหนักที่สะสมจากการตกลงมากลางอากาศสูงถึงหนึ่งร้อยกว่าเมตร อย่าเพิ่งพูดถึงเลือดเนื้อของร่างกายเลย ต่อให้เป็นรถดับเพลิงก็ยังจะถูกกระแทกจนเป็นแผ่นเหล็กได้
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะหาจุดอ่อนของพื้นกระดานคอนกรีตที่ตกลงมาจากบนตึกได้ แต่แรงกระแทกที่รุนแรงนั่นยากที่เยี่ยเทียนจะต้านทาน
ตอนที่พื้นกระดานคอนกรีตที่ร่วงลงมาจากบนตึกกำลังจะกระแทกส่วนหลังของเยี่ยเทียน และชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายนั้น ร่างกายของเขาได้ทำการตอบสนองโดยอัตโนมัติ เขาจึงใช้ปราณชีวิตแท้ทั้งหมดของร่างกายรวบรวมไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะโดนกระแทกอย่างแรงไปแบบนั้น
แต่สุดท้ายพลังของมนุษย์ก็ยากที่จะเอาชนะสวรรค์ได้ พลังอันมหาศาลนั้นไม่เพียงแต่ทำลายปราณชีวิตแท้ที่ปกป้องร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว มันยังทำให้อวัยวะภายในของเขาบาดเจ็บหนัก และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงจุดตันเถียนล่างของเขาด้วย
ถ้าหากไม่ใช่จิตของเยี่ยเทียนถูกดึงเข้าไปอยู่ใน เมฆหมอกแห่งความคิด ก่อน เกรงว่าเรื่องคงจะเป็นเหมือนที่โก่วซินเจียคิดเอาไว้ จิตวิญญาณของเขาได้ถูกกระทบกระเทือนจนออกจากร่างไปแล้ว
“แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะยังฝึกวรยุทธได้อีกไหม?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีนิสัยเบิกบาน แต่ก็ยากที่จะยอมรับความจริงที่จุดตันเถียนถูกทำลายไปชั่วขณะ เพียงแค่คิด จิตของเยี่ยเทียนก็สำรวจภายในร่างกาย
“หืม? เป็นแบบนี้ได้ยังไง?”
ตอนที่จิตของเยี่ยเทียนกำลังตรวจสอบนั้น เขาพลันพบว่า ตำแหน่งทุกส่วนของร่างกาย ได้สะท้อนเข้าไปในหัวของเขาอย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก
เสียงหัวใจเต้นตุบๆ กลีบปอดที่เปิดปิด แล้วก็ยังมีกระดูกสันหลังที่แตกหักบางส่วนที่อยู่ส่วนหลัง ราวกับว่าใช้ดวงตามาสัมผัสเองก็ไม่ปาน กระทั่งเยี่ยเทียนยังสามารถมองเห็นเอ็นร้อยหวายของกล้ามเนื้อส่วนบนกับเส้นลมปราณได้
หลังจากที่เยี่ยเทียนเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตได้แล้ว ก็สามารถใช้จิตสำรวจสภาพของร่างกายตัวเองได้
เพียงแต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ ราวกับมองบุปผากลางสายหมอกก็ไม่ปาน เพราะตอนนี้มันชัดเจนมาก ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้กับเมื่อก่อน
การค้นพบอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ทำให้ความสนใจของเยี่ยเทียนจดจ่ออยู่ที่จิตใจ ความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกสันหลัง ดูเหมือนจะลดลงไปไม่น้อย
“ที่แท้จิตก็มีความยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของฉันหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนลองเพ่งจิต นำจิตไปวางไว้ในส่วนที่ได้รับบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง
“ที่แท้ก็ทำได้!”
หลังจากจิตของเยี่ยเทียนหยุดอยู่ที่จุดที่แตกหักของกระดูกสันหลัง ความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในหัวใจ และความเจ็บปวดที่มาจากหลังก็ลดลงไปมากในทันที
ทำให้เยี่ยเทียนดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลัง หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องอาศัยพลังชีวิตที่ฝึกฝนมาด้วยความลำบากเสียส่วนใหญ่ เป็นผลเสียต่อการใช้วิชาเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรู ทำให้เยี่ยเทียนมีความรู้สึกที่จะต้องพึ่งพาปราณชีวิตแท้
แต่จิตในตอนนี้กลับใช้ได้ดีมากกว่า กระทั่งการสำรวจจุดที่เล็กละเอียดของร่างกายก็ยังดีกว่าปราณชีวิตแท้เป็นร้อยเท่า เพียงแค่เพ่งจิตก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ควบคุมการใช้แขนก็ยังสามารถควบคุมได้ตามที่ใจต้องการ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนค้นพบโลกใบใหม่
“หรือว่าการฝึกวรยุทธสองสามวันที่ผ่านมาสัมฤทธิ์ผลแล้ว ฉันได้เข้าสู่ขั้นการหลอมจิตสู่ความว่างแล้วใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนได้แบ่งจิตบางส่วนมาหล่อเลี้ยงอาการบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลัง หลับตาทั้งสองข้าง นำพลังจิตผ่านจุดฝังเข็มบนเส้นลมปราณตูเลื่อนขึ้นไปข้างบน ตอนที่รอเคลื่อนผ่านจุดอิ้นถังระหว่างคิ้วทั้งสองแล้ว ดวงตาพลันเบิกโพลงทันที
ถึงแม้แต่ก่อนเยี่ยเทียนจะสามารถปล่อยปราณชีวิตแท้ออกมาสู่ภายนอกได้ แต่นั่นเป็นเพราะเขาได้ฝึกพลังปราณชีวิตออกมาต่างหาก
แต่เวลานี้ พอเยี่ยเทียนลืมตาขึ้น เขาก็รู้สึกตัวเบาทั้งตัวขึ้นมาทันที ราวกับประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้ถูกเปิดออก และจิตของเขาก็หลุดพ้นจากการพันธนาการของกายเนื้อ มาอยู่ในพื้นที่หนึ่งเมตรขึ้นไปเหนือเตียงคนไข้
“จิตแห่งหยางออกจากร่าง? นี่มันคือการฝึกขั้นหลอมจิตสู่ความว่างหรือ?”
มองดูตัวเองที่ยังนอนอยู่บนเตียงคนไข้กับโก่วซินเจียที่ทำสีหน้าร้อนใจอยู่ข้างกาย เยี่ยเทียนจึงมีจิตใจที่เบิกบานมาก เขาไม่คิดว่าเมื่อผ่านความยากลำบากแบบนี้ กลับทำให้ตัวเองสามารถผ่านด่านได้ในที่สุด
ความหมายเดิมของจิตแห่งหยางคือครั้งแรกของการฝึกฝน หมายถึงการแปลงร่างของร่างกายภายนอก ทำให้จิตแห่งหยางออกจากร่าง เรียกว่า “จิตออก” เวลาที่จิตออกมากระหม่อมก็จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ รับกันทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้เทพเจ้าสามารถออกจากประตูสวรรค์ได้
จากบันทึกของหนังสือคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋า เหมือนกับสถานการณ์ของเยี่ยเทียนในเวลานี้ และเยี่ยเทียนก็มั่นใจว่า ตัวเองได้เข้าสู่ขั้นฝึกจิตถึงความว่างเปล่าแล้ว
เยี่ยเทียนแค่เพ่งจิต จิตใจของเขาก็สามารถทะลุผ่านกำแพงห้องคนไข้ได้อย่างไร้สิ้นเสียง มาอยู่ในห้องที่ซ่งเวย หลันและคนอื่นๆ กำลังรออยู่ แล้วจึงเห็นแม่กับภรรยากำลังร้องไห้อยู่ พ่อกับลูกศิษย์ก็มีสีหน้าเศร้าโศก
“หรือว่าบนโลกนี้จะมีเซียนอยู่จริง?”
เยี่ยเทียนในเวลานี้ กำลังตื่นเต้นดีใจกับจิตแห่งหยางที่ออกจากร่าง ในใจจึงผุดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา เนื่องจากสภาพของเขาในตอนนี้ สามารถพูดได้ว่าเป็นเซียนก็คงไม่ผิดหรอก
“ตามตำนานเล่าขานบอกว่าหากฝึกฝนจิตแห่งหยางจนถึงขั้นสุดยอด ก็จะสามารถแปลงร่างได้ แต่กลับไม่รู้ว่าได้ว่าจะกลายเป็นอะไร?”
กลุ่มพลังจิตของเยี่ยเทียนพลันอ่อนลง เพียงแค่ใช้ความคิด ฝ่ามือขนาดเด็กทารกคู่หนึ่งได้ยื่นไปที่ใบหน้าของอวี๋ชิงหย่า แล้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“หืม? เกิดอะไรขึ้น? มีคนมาลูบหน้าของฉันเหรอ?”
อวี๋ชิงหย่าที่กำลังจมอยู่กับความเศร้าโศก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าเย็นเฉียบ เหมือนกับถูกอะไรวาดผ่านก็ไม่ปาน พอหันไปมองรอบๆ กลับพบสองมือของซ่งเวยหลันกำลังโอบอยู่ที่ช่วงเอวของตัวเอง และโดยรอบก็ไม่มีใครเข้ามาใกล้
“โธ่เอ้ย!”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะแอบดีใจนั้น จู่ๆ จิตก็อ่อนแรงขึ้นมา และความรู้สึกปวดศีรษะจนแทบจะแยกออกจากกันก็ปรากฏขึ้นมาในหัว
“นำจิตกลับตำแหน่ง!” ไม่มีเวลาคิดมากแล้ว เยี่ยเทียนพยายามอดทนความเจ็บปวดทรมานที่ทิ่มแทงอยู่ในหัว ทะลุผ่านกำแพง กลับเข้าไปอยู่ในร่างเหมือนเดิม
“ประมาทเกินไป ประมาทเกินไปแล้ว!”
หลังจากกลับเข้าร่างแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดหวาดกลัวไม่ได้อยู่พักหนึ่ง เหมือนกับว่าอากาศภายในห้องจะหยุดเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ก็ตาม แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าจิตแห่งหยางของเขาสามารถสลายหายไปได้ตลอดเวลา
เยี่ยเทียนอ่านหนังสือคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋าได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ เพียงแค่ใช้ความคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจอาการของโรคทีมีอยู่
เมื่อจิตแห่งหยางออกจากร่างกายครั้งแรก จะเหมือนกับเด็กทารก อ่อนแอและละเอียดอ่อน เดินไม่ค่อยได้ ต้องเรียนรู้วิธีการเดินของเด็กทารก ค่อยๆ ฝึกเดินทีละก้าว ฝึกฝนจนกระทั่งสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ จากนั้นหลังจากที่จิตออกจากร่างกายแล้วก็ต้องฝึกการแบ่งจิตจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จนกระทั่งสามารถแบ่งร่างได้เป็นล้าน
ตอนที่เรียกว่าจิตแห่งหยางออกครั้งแรก จะเป็นคนตัวเล็กผิวขาว มีหน้าตาคล้ายกับตัวเองมาก เยี่ยเทียนเพียงแค่ให้กลุ่มพลังจิตออกจากร่างเพียงนิดเดียว แต่ก็ยังมีความแตกต่างจากจิตแห่งหยางอยู่มาก จึงไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน
เฉินหนานเคยกล่าวไว้ใน ‘เพลงกลอนหยกแห่งความว่างเปล่า’ “มีเด็กทารกคนหนึ่งอยู่จุดในตันเถียน หน้าตาละม้ายคล้ายกับฉัน หลังจากจิตแห่งหยางออกไปแล้ว ได้ยินว่าสามารถสร้างภาพเพ้อฝันของดินแดนแห่งปีศาจได้ จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ต้องรักษาความคิดชอบธรรมไว้ตลอดเวลา
เยี่ยเทียนถูกกระตุ้นอารมณ์เมื่อครู่ ได้เห็นแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง จึงได้รับความเศร้าไปด้วยอีกครั้ง
ถ้าหากไม่ใช่เยี่ยเทียนมีการตอบสนองที่ฉับไวเรียกจิตกลับตำแหน่งได้ทัน ยอดฝีมือที่เพิ่งฝึกจิตถึงความว่างเปล่าได้ คงจะถูกดึงเข้าไปอยู่ใน เมฆหมอกแห่งควมคิด เพื่อที่จะรักษาตัวอีก ไม่แน่ทีนี้อาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็เป็นได้
“ต่อไปจะต้องคงสภาพไว้ตลอดเวลา นี่คือผลประโยชน์อันมหัศจรรย์ของจิตแห่งหยางนี่นา!”
ถึงแม้ในหัวจะยังรู้สึกถึงความอ่อนแอเป็นพักๆ แต่ในใจของเยี่ยเทียนก็ยังตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก นักบำเพ็ญเต๋ามากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะติดอยู่ที่ขั้นการหลอมปราณสู่จิต ที่ตัวเองสามารถพัฒนาได้อีกขึ้น ถือว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญจริงๆ
“ไม่รู้ว่าตอนนั้นปรมาจารย์เฉินถวนกับจางซานเฟิงและคนอื่นๆ ได้ฝึกจิตแห่งหยางไปถึงขั้นไหนกัน? ที่พวกเขาพูดว่าทะยานขึ้นสู่สวรรค์ในเวลากลางวันแล้วกลายเป็นเซียน อาจจะหมายถึงจิตแห่งหยางออกจากร่าง?”
ขณะที่กำลังนึกถึงตำนานเล่าขานที่อยู่ในหนังสือคัมภีร์โบราณ แล้วหัวใจก็เต้นตุบตับโดยไม่รู้ตัว เดิมทีเขาคิดว่าการหลอมปราณสู่จิตได้ฝึกมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่คิดว่าจะโชคดีเปิดประตูและหน้าต่างอีกบานให้กับเขา
“ศิษย์น้องเล็ก ดีขึ้นบ้างไหม?” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดถึงการจดบันทึกเกี่ยวกับการฝึกจิตเข้าสู่ความว่างเปล่านั้น เสียงตะโกนของโก่วซินเจียก็ดังขึ้นข้างหู
“ไม่เป็นไรแล้ว!”
เยี่ยเถียนพ่นผ้าเช็ดหน้าออกมาจากปาก เพ่งจิตไปที่แขนข้างขวา แล้วใช้แขนขวาที่ใส่เฝือกแข็งๆ นั้นหยิบผ้าปิดตาออกจากใบหน้าของตัวเอง
“ไม่ได้!” ตอนที่โก่วซินเจียกำลังห้ามอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ตะลึงงันไปทั้งตัว “ศิษย์น้องเล็ก แขนนี้ของเธอขยับได้ยังไง?”
ตอนที่เยี่ยเทียนใช้หมัดทั้งสองชกไปที่พื้นกระดานคอนกรีตนั้น หลังมือทั้งสองมีเลือดไหลจนมองอะไรไม่ออก แม้แต่แขนทั้งสองข้างก็ยังหักไปด้วย ดังสุภาษิตบอกว่าเส้นเอ็นหรือกระดูกบาดเจ็บต้องใช้เวลารักษาหนึ่งร้อยวัน เยี่ยเทียนไม่มีปราณชีวิตแท้ปกป้องร่างกาย ดังนั้นเขาต้องขยับไม่ได้สิถึงจะถูก
“เอ๊ะ? ศิษย์น้องเล็ก เธอได้สูญเสียวรยุทธไปจริงๆ หรือว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
โก่วซินเจียใช้สองตามองไปที่เยี่ยเทียนอย่างละเอียด ทำให้เขารู้สึกงงอยู่บ้าง ด้วยวรยุทธของเขา หากว่าเยี่ยเทียนจะเก็บการขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตไว้ได้ เขาก็ยังพอที่จะสัมผัสได้ไม่มากก็น้อย
แต่เวลานี้โก่วซินเจียได้สำรวจดูเยี่ยเทียนแล้ว เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับมีแสงอันโชติช่วงและชุ่มชื่นอยู่ในดวงตาของเยี่ยเทียน ซึ่งไม่เหมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักควรจะมี
…………………………………………………….