“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจร่างกายตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในฐานะคนที่บำเพ็ญตบะ ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายสูญสิ้น ตามหลักแล้วนี่คือปรากฏการณ์ของคนที่วรยุทธถูกทำลาย แต่จิตของเยี่ยเทียนดันแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
เยี่ยเทียนกำลังอยู่ในขั้นคลำหาทางของการใช้ผลประโยชน์อันมหาศาลของจิตแห่งหยางอยู่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจิตนั้นสามารถนำมาทดแทนการใช้ปราณชีวิตแท้ได้หรือไม่
หนำซ้ำเยี่ยเทียนก็ไม่กล้ายืนยันว่าตัวเองได้เข้าสู่ขั้นการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้ว เพราะว่าตามบันทึกของหนังสือคัมภีร์โบราณ จิตแห่งหยางออกจากร่างบางทีก็เหมือนกับเด็กทารก ถึงแม้จิตของเยี่ยเทียนจะสามารถออกจากร่างได้ แต่ระดับของระยะห่างถึงขั้นนั้นก็ยังถือว่ายังไกลมาก
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่คือที่ไหนครับ?”
เยี่ยเทียนขยับศีรษะมองไปรอบๆ จิตที่เพิ่งออกจากร่างมีผลทำให้จิตเกือบแตกสลาย เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าใช้จิตสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว
“ที่นี่คือโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของอเมริกา แม่ของเธอส่งเธอมาที่นี่”
โก่วซินเจียอธิบาย เมื่อเห็นเยี่ยเทียนอ่อนเพลียดูไม่มีชีวิตชีวา เขาจีงรีบพูด “ศิษย์น้องเล็ก ฟื้นแล้วก็ดี เธอพักผ่อนก่อน รอถึงตอนบ่ายฉันจะให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมเธอ!”
“เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่ใหญ่!”
เมื่อเห็นโก่วซินเจียจะเดินออกไป เยี่ยเทียนจึงรีบเรียกเขาเอาไว้ “ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าหากเป็นไปได้ ผมอยากกลับไปรักษาตัวที่ฮ่องกง พี่คิดว่าร่างกายของผมนี้…”
ถึงแม้จิตจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด แต่ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายก็ไม่มีแล้ว เยี่ยเทียนจึงเกิดความพะวงอยู่ในใจ
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เยี่ยเทียนใช้ปราณชิตแท้จนถึงขั้นละเอียดอ่อนแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้เขาไม่เคยชินเป็นอย่างมาก เขาอยากกลับไปที่ฮ่องกงเพื่อใช้ปราณวิเศษที่รวบรวมอยู่ในค่ายกล เพื่ออยากจะดูว่าจะสามารถฝึกวรยุทธให้กลับมาได้หรือไม่?
“ศิษย์น้องเล็ก เธอก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ?”
โก่วซินเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด “อาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังของเธอรุนแรงมาก จะเคลื่อนไหวไม่ได้เลยสักนิดเดียว ฉันคิดว่าเธอพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งก่อน พอถึงเวลาฉันจะนำปราณชีวิตแท้ใส่เข้าไปในร่างกายของเธอทุกวัน เพื่อทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
โก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนมาจากสำนักเดียวกัน ลักษณะของปราณชีวิตแท้จึงเหมือนกัน ตอนที่เยี่ยเทียนสลบอยู่ไม่สามารถชักนำปราณชีวิตแท้ได้ เขาจึงได้แต่ถ่ายทอดพลังเพื่อรักษาบาดแผลให้กับเยี่ยเทียนอย่างลวกๆ แต่เวลานี้เยี่ยเทียนได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนี้อีก
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ไม่ต้องครับ ศิษย์พี่ใหญ่ ผมมีวิธีทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัวได้ พี่ให้แม่ของผมไปจัดการที ช้าสุดพรุ่งนี้ ผมอยากจะออกไปจากที่นี่แล้วครับ”
การที่นอนอยู่บนเตียง ขยับเขยื้อนไม่ได้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว เป็นความยากลำบากอย่างหนึ่ง และเนื่องจากระดับความแข็งแกร่งของจิตเขาในตอนนี้ ไม่สามารถปลอดปล่อยออกมาภายนอกได้นานนัก แต่หากใช้ในการทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัว กลับทำได้อย่างสบายมาก
ในใจของเยี่ยเทียนก็มีความรู้สึกบางอย่าง หากเขาสามารถใช้จิตรักษากระดูกสันหลังที่บาดเจ็บให้หายได้ ไม่แน่อาจจะมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ปราณชีวิตแท้เสียอีก และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขายืนกรานอยากจะออกไปจากที่นี่
ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11 ก่อนหน้านี้ เยี่ยเทียนได้แสดงความสามารถเหนือมนุษย์ออกมาแล้ว ถ้าหากอาการบาดเจ็บของเขาไม่มีหมอคนไหนรักษาให้หายได้ นั่นก็ชี้ให้เห็นว่าเขาถูกคนมองเป็นหนูทดลองแล้ว
“เยี่ยเทียน ฝีมือการรักษาของโรงพยาบาลนี้ถือว่าสูงมากนะ ฉันคิดว่า เธอพักอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งแล้วค่อยว่ากันดีกว่า…”
โก่วซินเจียไม่กล้าเชื่อคำพูดทั้งหมดของเยี่ยเทียน ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเขาไม่มีแล้ว แล้วยังจะมีวิธีอะไรที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้? ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างที่บินอยู่ อย่างนั้นเยี่ยเทียนอาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ค่ายกลที่ฮ่องกงมีประโยชน์กับผมมาก จำเป็นต้องรีบกลับทันที ผมตัดสินใจแล้ว พี่ช่วยจัดการให้ผมเถอะ”
ถึงแม้เสียงของเยี่ยเทียนจะอ่อนแรงมาก แต่ท่าทีของเขากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาก และไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า โก่วซินเจียยังสามารถรู้สึกถึงพลังปราณที่แข็งแกร่งที่ไม่มีคนกล้าต่อต้านในตัวของเขา
เพียงแต่ตอนที่โก่วซินเจียอยากจะจับความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง จู่ๆ พลังปราณบนตัวของเยี่ยเทียนก็พลันหายไปทำให้โก่วซินเจียไม่กล้ายืนยันว่าตัวเองเกิดความรู้สึกลวงไปเองหรือเปล่า
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ของเธอ ศิษย์น้องเล็ก เธอพักผ่อนก่อน!”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม เยี่ยเทียนก็เป็นเจ้าสำนักเสื้อป่าน เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว โก่วซินเจียจึงได้แต่ต้องทำตาม
“โก่วเหล่า เยี่ยเทียนเขาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
พอโก่วซินเจียเดินออกมาจากห้องคนไข้ ก็ถูกซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ โอบล้อม สีหน้าของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ยังแสดงถึงความเจ็บปวดทรมานแบบนั้นอยู่ ทำให้ทุกคนเจ็บจนแทบจะขาดใจ
โดยเฉพาะซ่งเวยหลัน เธออยากจะเอาความเจ็บปวดที่ลูกชายกำลังได้รับมาไว้ที่ตัวเองเสียให้ได้ แบบนี้ยังพอจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกับความทุกข์ทรมานในใจที่ได้รับอยู่ในช่วงนี้
“รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว แต่หลังจากนี้จะเป็นยังไง ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน!”
โก่วซินเจียฝืนยิ้ม พลางมองไปที่ซ่งเวยหลันแล้วพูดว่า “คุณหญิงเยี่ย คำพูดของศิษย์น้องเล็กคุณคงได้ยินหมดแล้ว เขาต้องการกลับฮ่องกง คุณคิดว่าจะทำได้ไหม?”
“ไม่…ไม่ได้เด็ดขาด ท่านผู้เฒ่า แค่เยี่ยเทียนขยับเพียงนิดเดียว กระดูกสันหลังของเขาก็จะแยกจากกันหมด แบบนั้นก็จะไม่มีความหวังที่จะฟื้นฟูกลับมาได้อีกแล้ว!”
เพื่อทำความเข้าใจกับสภาพของเยี่ยเทียนหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา บทสนทนาของโก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนเมื่อครู่ ได้มีคนแปลให้หมอหมอเวย์แมนฟังแล้ว เวลานี้หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เขาจึงรีบแสดงความคิดเห็นคัดค้านอย่างรวด เร็ว
จากมุมมองทางด้านการแพทย์แล้ว อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนมีความเป็นไปได้เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่จะพิการ แม้ว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะมีศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดในโลกก็ตาม แต่ความหวังในการลุกขึ้นเดินหลังจากนี้ของเยี่ยเทียนก็มีไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์
ดังนั้นจากมุมมองของหมอเวย์แมน ถ้าหากเยี่ยเทียนออกจากโรงพยาบาลของพวกเขา ความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเขา บางทีอาจจะเป็นศูนย์ เพราะว่าการสั่นสะเทือนจากการเดินทาง จะทำให้อาการบาดเจ็บเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นอย่างแน่นอน
“โก่วเหล่า คุณคิดว่าเป็นยังไงคะ?”
นับตั้งแต่การมาถึงของโก่วซินเจีย ก็สามารถทำให้อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนทรงตัวได้ ทำให้อวัยวะภายในของเขาที่ได้รับบาดเจ็บดีขึ้นมาก ตามมาด้วยการปลุกเยี่ยเทียนให้ฟื้นขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ซ่งเวยหลันเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเขา
ถึงแม้โรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่จะทำงานเป็นอย่างดี แต่เมื่อเทียบกับโก่วซินเจียแล้ว พวกเขาเคร่ง ครัดกับกฎระเบียบมากเกินไป ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือที่แท้จริงอะไรต่อเยี่ยเทียนเลย
โก่วซินเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ฉันเห็นด้วยที่ให้ออกจากโรงพยาบาล ในเมื่อศิษย์น้องเล็กตัดสินใจแล้ว ดังนั้นเขาก็ต้องคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว!”
ถึงแม้จะไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของจิตเยี่ยเทียน แต่ท่าทางของไขกระดูกที่เจ็บปวดเมื่อครู่จู่ๆ ก็กลับดีขึ้นมา โก่วซินเจียจึงพอจะเดาได้อยู่บ้างว่าศิษย์น้องเล็กยังมีวิธีในการรักษาชีวิตอยู่
“ตกลง พวกเราจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้ค่ะ!”
ซ่งเวยหลันหันไปมองหมอเวย์แมนแล้วพูดว่า “หมอเวย์แมนคะ ขอบคุณการช่วยเหลือในช่วงนี้ของคุณมากๆ ค่ะ พรุ่งนี้ฉันอยากจะให้โรงพยาบาลช่วยเตรียมรถพยาบาลที่ดีที่สุดหนึ่งคัน เพื่อส่งลูกชายของฉันไปสนามบินค่ะ!”
เรื่องที่เยี่ยเทียนยืนกราน ก็ได้รับคำตอบในที่สุด ซ่งเวยหลันไม่กล้ามองข้ามความต้องการของลูกชายอีก อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนอยากจะกลับฮ่องกงเลย ถ้าเขาอยากจะไปเล่นบาสเกตบอล ไม่แน่ซ่งเวยหลันก็อาจจะจัดสนามบาสไว้ให้เขาก็เป็นได้
“ตกลง คุณซ่ง ผมตกลงตามคำขอของคุณครับ”
หมอเวย์แมนได้แต่ยักไหล่ แล้วจึงพูดต่อว่า “แต่ผมหวังว่าคุณจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อรายงานอาการป่วยของคุณเยี่ยให้พวกเราตลอดเวลานะครับ ถ้าหากต้องการอะไร พวกเราจะได้ส่งหมอไปที่ฮ่องกงครับ!”
โรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่ก่อตั้งขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1920 คนที่พวกเขาให้บริการนั้นเป็นมหาเศรษฐีและนักการเมืองชั้นนำของโลก และยังร่วมมือกับสถาบันวิจัยทางการแพทย์ที่สำคัญของโลกอีกด้วย
ถ้าจะไม่พูดให้ดูเกินไปเลย นอกจากคนที่สมองตายไปแล้ว วิธีการรักษาทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ สามารถยืดอายุของคนเราไปได้อีกครึ่งปี นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงมากมาย
แต่อาการป่วยของเยี่ยเทียน กับโรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ จึงทำให้เขาอยากติดตามความคืบหน้าอาการป่วยของเยี่ยเทียน เพื่ออยากจะดูอาการบาดเจ็บของเขาว่าจะสามารถฟื้นฟูได้แบบไหน
“หมอเวย์แมน อันนี้ต้องได้รับความยินยอมจากเยี่ยเทียนก่อนถึงจะได้ ฉันไม่สามารถรับรองให้คุณได้ค่ะ!”
ซ่งเวยหลันส่ายหน้า คนที่มีตำแหน่งฐานะอย่างเธอ คำที่พูดออกมาจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นซ่งเวยหลันจึงไม่ตอบรับคำขอของหมอเวย์แมนง่ายๆ
หมอเวย์แมนพยักหน้า แล้วจึงพูดว่า “อย่างนั้นก็น่าเสียดายมากครับ ถ้าหากคุณเยี่ยยินยอม คุณจะต้องติดต่อผมนะครับ!”
เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11 ได้ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ถึงแม้บรรยากาศของเมืองใหญ่ในอเมริกาจะดูตึงเครียดไปบ้าง แต่สนามบินก็ยังเปิดให้บริการอยู่ ซ่งเวยหลันได้ติดต่อเรื่องเครื่องบินที่จะบินขึ้นในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว
ดังคำโบราณกล่าวมีเงินทำเรื่องอะไรก็ง่าย เพื่อให้เครื่องบินบินได้อย่างมีเสถียรภาพ ซ่งเวยหลันกระทั่งเช่าเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนึ่งลำ และยังทำการปรับแต่งภายในเพียงชั่วข้ามคืน
ตอนบ่ายของวันที่สอง เยี่ยเทียนและทุกคนก็ได้ขึ้นเครื่องบิน
“เสี่ยวเทียน หิวน้ำไหม? อยากดื่มน้ำบอกแม่นะ!”
เมื่อวานตอนกลางคืน ซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ ได้เห็นหน้าเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนในตอนนั้นดูอ่อน เพลียมาก พวกเขาจึงไม่อยากพูดอะไรมาก
ตอนนี้เห็นสีหน้าของลูกชายเริ่มดีขึ้น ซ่งเวยหลันจึงรีบเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟน้ำชา ถ้าหากถูกพนักงานของบริษัทเธอมาเห็นเข้า คงจะไม่เชื่อแน่นอนว่าประธานหญิงที่ไม่ค่อยพูด ยังมีด้านที่ดูแลเอาใจใส่แบบนี้ด้วย
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไร แม่นั่งเถอะ แล้วช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้ผมฟังหน่อยสิครับ!”
เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ถึงความละอายใจของแม่ จึงยิ้มพูดว่า “เด็กผู้หญิงที่ชื่อไอรีนเป็นยังไงบ้างครับ? แม่ของเธอเสียชีวิตแล้วใช่ไหม?”
“ไอรีนไม่เป็นไร แต่แม่ของเธอตายท่ามกลางภัยพิบัติ”
ซ่งเวยหลันถอนหายใจแล้วจึงพูด “ครั้งนี้อเมริกาได้รับความเสียหายรุนแรงมาก เหตุการณ์นี้ทำให้คนสูญหายและเสียชีวิตมากกว่าสามพันคน…”
เหตุกาณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเหตุกาณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการโจมตีครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดการสูญเสียและบาดเจ็บหนักครั้งยิ่งใหญ่ของอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นการโจมตีจากผู้ก่อการร้ายที่เลวร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์และสิ้นสุดลงปลายปี ค.ศ. 2001
ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย หลายร้อยประเทศทั่วโลกต่างก็ประณามต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันหุ้นทั่วโลกก็ตกลงอย่างหนัก ตลาดการเงินก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
สามวันก่อนหน้านี้ ซ่งเวยหลันก็ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของอเมริกา สาเหตุก็คือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ เธอได้ให้พนักงานทั้งบริษัทของเธอแยกย้ายออกไป จึงทำให้เกิดความสงสัยของหน่วยงานบางส่วน
แต่ซ่งเวยหลันก็ได้จัดการอย่างเหมาะสมและสมหตุสมผลไว้นานแล้ว การอธิบายของเธอไม่มีช่องโหว่ที่จะโจมตีได้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธอก็คงไม่สามารถออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้
………………………………………………