หลังจากเกิดเหตุการณ์ บริษัทที่อยู่ในตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ทั้งหมด มีเพียงพนักงานบริษัทของซ่งเวยหลันที่มีอัตราการเสียชีวิตเป็นศูนย์ แน่นอนว่า จำนวนนี้ยังไม่รวมเธอกับเยี่ยเทียน
เนื่องจากบริษัทจะทำการซื้อประกันทุกปี หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ผ่านไป พอคำนวณดูแล้วไม่เพียงซ่งเวยหลันจะไม่ขาดทุน กระทั่งยังได้กำไรไม่น้อย ตอนนี้บริษัทของเธอได้เลือกสถานที่ใหม่ในการทำงานแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำพูดของลูกชายแล้วล่ะก็ หากซ่งเวยหลันคอยปั่นเรื่องราวในตลาดการเงินก่อนหน้า ครั้งนี้เธอคงจะมีเงินเข้าบัญชีหลายพันล้าน และสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำจากภัยของตลาดหุ้นทั่วโลก
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะซวยหนักกว่าเดิม คงต้องเจอกับเคราะห์ร้ายหนักเพราะเปิดเผยความลับของสวรรค์ ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนที่มีเคราะห์ดีมากกว่าเคราะห์ร้าย คงจะไม่ถูกทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?
“โลกคงจะไม่สงบสุขอีกแล้ว”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ตอนที่เขาสร้างค่ายกลฮวงจุ้ยอยู่ที่ฮ่องกงนั้น ก็รู้สึกว่าพลังแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ภายในอนาคตอีกสองสามปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
“แม่ครับ พักอยู่ที่ปักกิ่งเถอะ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องไปต่างประเทศแล้ว”
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนจึงมองไปที่อวี๋ชิงหย่า แล้วจึงพูดว่า “ชิงหย่า งานนั่นเธอก็ไม่ต้องทำแล้ว มาอยู่เป็นเพื่อนฉันที่ฮ่องกงเถอะ!”
ถ้าจะพูดว่าเยี่ยเทียนละอายใจต่อใครมากที่สุด คงจะเป็นอวี๋ชิงหย่าเพียงคนเดียว
ตั้งแต่แต่งงานมาจนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนไม่เคยอยู่บ้านได้สองสามวันเลย ตรงข้ามกลับทำให้อวี๋ชิงหย่าคอยวิตกกังวลเพราะเขา ทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ของสามีอย่างเต็มที่
“ได้ หลังจากถึงฮ่องกงแล้ว ฉันจะไปเขียนใบลาออก!” อวี๋ชิงหย่าพยักหน้า ท่าทีเด็ดเดี่ยว ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึง
“เธอคงคิดว่าจะใช้ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลคนพิการอย่างฉันใช่ไหม?” ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงย้อนคิดว่า เมื่อวานเขาก็ได้ดูรายงานอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังของเขาจากโรงพยาบาลแล้ว บอกว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะพิการมีสูงมาก
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปกตินายก็ไม่มีเวลาคุยเป็นเพื่อนฉัน ต่อไปพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันทุกวันแล้ว”
ถึงแม้อวี๋ชิงหย่าจะมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับปรากฏหมอกบางๆ อยู่ในดวงตาของเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้น เยี่ยเทียนไม่ให้เสียใจ ความจริงแล้วเธอกำลังแสร้งทำเป็นยิ้ม
“ไม่ต้อง ใบลาออกของเธอเก็บไว้เถอะ ฉันก็ไม่อยากให้เธอใช้ทั้งชีวิตมาดูแลฉัน”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขารู้ว่าภรรยาชอบงานนี้มาก และเยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต
ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ ว่าจิตที่แข็งแกร่งของเขานั้น มีส่วนช่วยในการรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ด้วย
ภายใต้การโอบอุ้มของจิต ความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกสันหลังเกือบจะไม่มีผลกระทบต่อเยี่ยเทียนแล้ว นอกจากนี้เศษกระดูกสองสามชิ้นนั่นก็เกิดปรากฏการณ์หลอมละลาย เยี่ยเทียนเชื่อว่า ภายในระยะเวลาหนึ่งอาการบาดเจ็บของเขาจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแน่นอน
“เชื่อใจสามีของเธอ สามีของเธอเป็นยอดมนุษย์ที่ทำได้ทุกอย่าง!” เมื่อเห็นอวี๋ชิงหย่ายังรอให้พูด เยี่ยเทียนจึงยิ้ม แล้วใช้มือขวาที่ยังพอขยับได้ กุมมือของภรรยาที่วางอยู่ข้างเตียง
“หลงตัวเองจริงๆ!”
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนกลับมาเหมือนเดิม อวี๋ชิงหย่าจึงยิ้มน้ำตาไหลไม่หยุด เงามืดที่อยู่ในใจได้ลดลงไปไม่น้อย เหมือนกับมีเพียงเยี่ยเทียนเท่านั้น ถึงจะทำให้เธอรู้สึกจิตสงบอย่างแท้จริง
“”ศิษย์น้องเล็ก พลังงานที่หลังของเธอมันคืออะไร ไม่เหมือนกับปราณชีวิตแท้เลยนะ?
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนดีแล้ว โก่วซินเจียจึงเดินเข้ามา ขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ มีเสถียรภาพมาก กระทั่งไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงเลย
ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน โก่วซินเจียจะใช้ปราณชีวิตแท้เพื่อปกป้องกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนไว้ แต่กลับถูกพลังงานบางอย่างที่บอกไม่ถูกดีดกลับออกมา
ถ้าหากไม่ใช่โก่วซินเจียชักมือกลับมาได้ทัน เกรงว่าเขาคงจะได้รับบาดเจ็บไปนานแล้ว เมื่อครู่เยี่ยเทียนถูกทุกคนห้อมล้อม โก่วซินเจียนจึงไม่สามารถหาโอกาสสอบถามได้ ตอนนี้กลับทนไม่ไหวแล้วจึงถามออกมาในที่สุด
“แม่ ชิงหย่า พวกคุณเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนที่ข้างหลังสักหน่อยเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับศิษย์พี่ใหญ่!”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนจึงครุ่นคิด พลางมองคนที่อยู่รอบๆ แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่จั่วกับศิษย์พี่หนานก็อยู่เถอะ อ้อใช่ เซี่ยวเทียน นายก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
เรื่องที่เยี่ยเทียนสามารถฝึกจิตได้ เดิมทีห้ามเผยแพร่ออกไปข้างนอก แต่หนานไหวจิ่นที่ดั้นด้นเดินทางไกลมาช่วย ชีวิตเขา และด้วยเหตุนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่สามารถปิดบังเขาได้
“ได้ เสี่ยวเทียน ลูกก็อย่าเหนื่อยนักนะ!” ซ่งเวยหลันรู้ว่าลูกชายมีเรื่องที่จะคุยกับคนอื่น เธอจึงรีบดึงลูกสะใภ้ กับสามีและคนอื่นๆ เดินออกไปที่ห้องโดยสารด้านหลังทันที
“ศิษย์น้องเล็ก ฉันพบพลังงานบางอย่างในตัวของเธอ ถึงแม้จำนวนจะไม่มาก แต่คุณภาพกลับสุดยอด ฉันฝึกปราณชีวิตแท้มาหกสิบกว่าปี พอได้ลองสัมผัสอย่างกะทันหัน กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกแล้ว โก่วซินเจียจึงพูดถึงความสงสัยที่อยู่ในใจออกมา เขากับเยี่ยเทียนเคยประลองยุทธ์มาก่อน จึงคุ้นเคยกับการขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตของเขาเป็นอย่างดี แต่พลังงานชนิดใหม่ที่อยู่ภายในของเยี่ยเทียนนั้น โก่วซินเจียไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน
“พี่หยวนหยาง พี่กำลังพูดอะไรอยู่ครับ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนขึ้นเครื่องบินนั้น โก่วซินเจียยังไม่ทันได้พูดกับคนอื่น หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย หนานไหวจิ่น จั่วเจียจวิ้นและคนอื่นๆ ต่างก็ทำสีหน้าสงสัย
“ศิษย์น้องไหวหนาน ฉันเองก็พูดไม่ชัดเจน นายลองดูสิ!”
โก่วซินเจียส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างฝืน ๆ แล้วจึงพูดกับหนานไหวจิ่น “นายลองใช้ปราณชีวิตแท้จำนวหนึ่งใส่เข้าไปในร่างกายของศิษย์น้องเล็ก ระวังหน่อยนะ ต้องเตรียมตัวถอยออกมาอยู่ตลอดเวลา!”
“ได้ครับ!” เมื่อเห็นโก่วซินเจียไม่ได้ล้อเล่น หนานไหวจิ่นจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วใช้มือขวาประคองไปบนไหล่ของเยี่ยเทียน
ความจริงหลังจากการฝึกกายให้เป็นปราณได้แล้ว ยังพอที่จะฝืนปล่อยปราณชีวิตแท้ออกมาได้อยู่บ้าง
แต่เมื่อฝึกถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต ก็จะสามารถควบคุมได้ถึงขั้นละเอียดและใส่ปราณชีวิตแท้เข้าไปในร่างกายของคนอื่นได้ และนี่ก็เป็นวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บอย่างหนึ่งของเต๋า คนที่มีวรยุทธแก่กล้า จะสามารถใช้ปราณชีวิตแท้เข้าไปรักษาร่างกายของคนอื่นได้อย่างแท้จริง
แต่คนที่มีวรยุทธแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อยๆ แก่ชราเหมือนกับโก่วซินเจียและหนานไหวจิ่น และไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะสักเท่าไร
พวกปรมาจารย์ที่อยู่ในสังคมตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ฝึกวรยุทธแค่งูๆ ปลาๆ แล้วก็เอามาต้มตุ๋นหลอกลวงคนในยุทธภพไปทั่ว แต่ความจริงแล้วเชื่อถือไม่ได้เลย
วรยุทธของหนานไหวจิ่นกับเยี่ยเทียนไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก และเห็นเพียงไหล่ของ เยี่ยเทียนสั่นไหว ปราณชีวิตแท้ส่วนหนึ่งได้เลื่อนผ่านไปยังเส้นลมปราณส่วนไหล่ของเยี่ยเทียนและเลื่อนผ่านไปยังส่วนล่าง
ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนได้สูญหายไปหมดแล้ว ไม่เหลือกลุ่มพลังแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นปราณชีวิตแท้ส่วนนี้ของหนานไหวจิ่นจึงเดินได้อย่างคล่องแคล่วไร้การขัดขวาง ไม่ช้าก็เดินมาถึงตำแหน่งกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียน
“หืม? นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?”
ขณะที่หนานไหวจิ่นกำลังควบคุมปราณชีวิตแท้อยู่ และอยากจะเดินพลังลงไปอีก ระหว่างนั้นก็พลันสัมผัสกับพลังงานอย่างหนึ่ง และปราณชีวิตแท้ของเขาก็เหมือนกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ มลายหายไปในชั่วพริบตาเดียว
เนื่องจากเป็นการใช้จิตควบคุมปราณชีวิตแท้ หนานไหวจิ่นจึงได้รับความเสียหายเล็กน้อย แม้แต่ร่างกายยังถอยหลังติดต่อกันสองก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว
วรยุทธของหนานไหวจิ่นก็เหมือนกับโก่วซินเจียที่อุตส่าห์ฝึกมานับสิบปี ความบริสุทธิ์ของวรยุทธของเขา บนโลกใบนี้มีไม่กี่คนที่เทียบกับเขาได้
แต่เบื้องหน้ากลับเจอพลังงานที่อยู่ในตัวของเยี่ยเทียน และปราณชีวิตแท้ของตัวเองที่ฝึกมานับสิบปี จึงดูเหมือนกับไก่ กระเบื้อง สุนัขดินเผาที่ตีทีเดียวก็พังไป สำหรับหนานไหวจิ่นแล้ว เขารู้สึกยากที่จะยอมรับได้จริงๆ
หนานไหวจิ่นพลันเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาในหัว แล้วจึงถามอย่างลังเล “ศิษย์น้องเยี่ย เธอ…เธอสามารถควบคุมการใช้จิตแห่งหยางได้แล้ว?”
ตอนนั้นหนานไหวจิ่นโชคดีจึงเปลี่ยนความคิดมาบำเพ็ญตบะ หลายปีที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาคัมภีร์เต๋าและหลักพระพุทธศาสนามาตลอด เรื่องที่เขารู้ยังมากกว่าโก่วซินเจียเสียอีก
เมื่อหนานไหวจิ่นพูดคำนี้ออกไป โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นจึงมีสีหน้าตกตะลึง มีความตกใจบนใบหน้า เมื่อฝึกวรยุทธระดับของพวกเขา ดังนั้นจึงเข้าใจว่าจิตแห่งหยางคืออะไร
“ศิษย์พี่หนานมีความรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” เมื่อเห็นหนานไหวจิ่นสามารถเดาออกถึงความเป็นมาของพลังงานนั้นของตัวเองได้ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกเลื่อมใสและเคารพในตัวเขา
“ถูกแล้วครับ ช่วงนี้ผมกำลังฝึกฝนอยู่ หลายครั้งที่ต้องหวุดหวิดกับความเป็นความตาย ตอนนี้ได้ฝึกจนถึงด่านนั้นแล้ว แต่สุดท้ายจะก้าวข้ามผ่านไปได้ไหม ตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยครับ”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีรอยยิ้มฝืด หากพูดตามคนที่ฝึกบำเพ็ญเพียร ยิ่งอยู่ในขั้นที่สูงขึ้น ปราณชีวิตแท้ก็จะยิ่งรวมตัวและหนักมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกาย ปราณ หรือจิตก็จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
แต่สภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้กลับมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง กระทั่งถึงขั้นจิตแห่งหยางออกจากร่าง แต่ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายกลับไม่มีหลงเหลืออยู่เลย เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
“อาจารย์ คุณกำลังพูดอะไรกันอยู่ครับ?”
ในที่นี้มีเพียงโจวเซี่ยวเทียนคนเดียวที่ฟังไม่เข้าใจ ตอนนี้เขาแค่ฝึกอยู่ในขั้นหลอมกายให้เป็นปราณ เส้นทางของการหลอมปราณสู่จิตยังอยู่อีกไกล จึงยังฝึกไม่ถึงขั้นพลังจิต
“เซี่ยวเทียน อย่าขัดจังหวะ!”
โก่วซินเจียโบกมือเพื่อหยุดคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน แล้วจึงหันไปมองเยี่ยเทียนพลางถามเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์น้องเล็ก เธอเข้าสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้วจริงๆ หรือ?”
โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นต่างก็หยุดอยู่ที่ขั้นหลอมปราณสู่จิตมานานแล้ว สุดท้ายก็ยังหาทางฝึกวรยุทธขั้นต่อไปไม่ได้
พวกเขากระทั่งคิดว่า การฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าเป็นเพียงข่าวลือของคนโบราณ แค่เพียงใช้จินตานาการปั้นขึ้นมาเท่านั้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของเยี่ยเทียนในตอนนี้ กลับทำให้โก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นมองเห็นความหวังในการฝึกวิชาให้สูงขั้นอยู่รำไร
“ศิษย์พี่ใหญ่ ก่อนหน้านั้นผมได้ไปชกมวยใต้ดินอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่อยู่ในช่วงของความเป็นความตาย ผมได้เข้าใจถึงบางสิ่ง แต่กลับไม่สามารถผ่านด่านนั้นไปได้”
สีหน้าของเยี่ยเทียนพูดด้วยความสับสนมึนงง “หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ ก็สามารถใช้พลังจิตได้อย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่เหมือนกับที่บันทึกไว้ในหนังสือคัมภีร์โบราณเลย ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าหรือเปล่า”
“มวยใต้ดิน? เกิดอะไรขึ้น?”
โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องที่เยี่ยเทียนไปชกมวยใต้ดินตอนที่อยู่อเมริกา จึงรีบถามรายละเอียดขึ้นมาทันที
หลังจากได้ยินเรื่องราวความเป็นมา คนสองสามคนจึงมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว เพราะคนต่างชาติที่พวกเขาดูถูกมาตลอด กลับมีการโจมตีที่เฉียบขาดถึงเพียงนี้ แถมยังบีบบังคับให้เยี่ยเทียนต้องรอดตายอย่างหวุดหวิด!
“ระหว่างความเป็นความตาย ที่แท้ก็มีสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่อยู่จริงๆ!”
โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นมองหน้ากัน แล้วจึงอดถอนหายใจไม่ได้ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถพูดได้ว่าเป็นคนแก่ที่ยังแข็งแรงอยู่ แต่ถ้าอยากจะเป็นเหมือนเยี่ยเทียนที่ถูกหล่อหลอมและฝึกฝนตัวเองมาจากความเป็นความตายแบบนั้น กลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
…………………………………