หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็พยักหน้า บอกว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ช่วงที่ผ่านมาตลาดศิลปะวัตถุโบราณของประเทศจีนเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์กรจัดประมูลรายใหญ่ของต่างชาติมากมายล้วนจัดประมูลศิลปวัตถุของจีน ให้กับคนกลุ่มพิเศษในองค์กรศิลปะวัตถุจีน ถึงเวลาฉันจะคอยสอดส่องให้!”
ฮ่องกงมีมหาเศรษฐีมากมาย ล้วนมีนิสัยชอบเก็บสะสมศิลปะวัตถุ ถังเหวินหย่วนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น บ้านของเขามีห้องเก็บรักษาศิลปะวัตถุโดยเฉพาะ แต่ว่าเขาสะสมเครื่องสำริดและเครื่องเคลือบ ไม่เคยอ่านภาพเขียนตำราโบราณผ่านตา
คฤหาสน์ที่กงเสี่ยวเสี่ยวยกให้เยี่ยเทียนหลังนี้ แม้อยู่อาศัยกันถึงเจ็ดแปดคน ยังไม่ถึงกับหนาแน่น
ซ่งเวยหลันและสามีย่อมไม่ยอมจากไปอยู่แล้ว และอวี๋ชิงหย่าเองก็ขอลาพักร้อน เพื่อมาดูแลเยี่ยเทียนโดยเฉพาะ หญิงสาวผู้จบการศึกษาจากชิงหวาอันน่าภูมิอกภูมิใจ ยังคล่องแคล่วในการปฐมพยาบาลไม่น้อยเลย
ถึงแม้จิตดั้งเดิมจะไม่อาจฝึกฝนต่อไป แต่ก็แข็งแรงมั่นคงสมบูรณ์ขึ้น เวลาผ่านไปในแต่ละวัน กำลังวังชาของเยี่ยเทียนก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนใครต่อใครต้องประหลาดใจ
หนึ่งเดือนผ่านไป แขนทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนก็สมานเข้าหากันหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ แม้จะยังไม่สามารถใช้แรงยกของหนัก แต่เวลากินข้าวก็ไม่ต้องให้อวี๋ชิงหย่าป้อนทีละคำอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนก็ฟื้นตัวขึ้นมาก เมื่ออาทิตย์ก่อน กระดูกสันหลังของเขายังไม่อาจรับน้ำหนักได้แม้เพียงเล็กน้อย ได้แต่ต้องนอนอยู่บนเตียง และกินเพียงอาหารเหลวเท่านั้น
จากการคาดคะเนของเยี่ยเทียน เพียงใช้เวลาอีกครึ่งเดือน กระดูกสันหลังที่แตกหักก็จะสมานเข้าหากัน ถึงเวลานั้นตัวเองก็จะสามารถยืนขึ้นได้ แต่ละวันคืนเกือบสองเดือนที่เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ แทบจะทำให้เยี่ยเทียนถึงกับเสียสติไปเลยจริง ๆ
ผลักประตูเข้าห้องของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็เห็นเยี่ยเทียนพลิกตำราโบราณฉีกขาดรุ่งริ่งเล่มหนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า “เยี่ยเทียน ตำราเหล่านี้ช่วยเหลือเธอได้บ้างไหม?”
ช่วงระหว่างนั้นลูกน้องของถังเหวินหย่วน ส่งของประมูลมาหลายต่อหลายชิ้น ล้วนเป็นตำราโบราณที่ประมูลมาจากงานประมูลต่างๆ
ในหมู่ตำราเต๋าโบราณจำนวนมากนี้ มีกระทั่งชิ้นส่วนที่หลงเหลือของ “เหล่าจื่อสอนเจ้า” ที่จางหลิงเขียน และ “ความลับอันสูงสุด” ที่อวี่เหวินหย่ง กษัตริย์แห่งเป่ยโจวรวบรวมเรียบเรียงตำราเต๋าเอาไว้
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่เองก็อ่านหมดแล้ว ในนี้มีแต่ทฤษฎีแนวคิด แม้จะเอ่ยถึงคาถาฝึกวิชาบ้างสักสองประโยค แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ รวบตำราโบราณในมือเข้าหากัน วางไว้บนผ้าไหมบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง สิ่งของเหล่านี้แม้ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังเป็นวัตถุโบราณอันล้ำค่า
แน่นอนว่า แม้จะไม่มีเคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนต้องการ แต่เมื่อได้พักผ่อนอ่านแนวคิดคนโบราณ ก็ทำให้สภาวะจิตใจของเขาพัฒนาขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องหนานไหวจิ่นจะเป็นยังไงบ้างแล้ว ไปครั้งนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว?”
โก่วซินเจียถอนหายใจ แม้เขาจะล่วงรู้สรรพสิ่ง แต่ปัจจุบันขอบเขตที่เยี่ยเทียนไปถึงนั้นเหนือกว่าเขาขั้นหนึ่งแล้ว โก่วซินเจียเองยังไม่อาจทำอะไรได้
“แม่ของผมส่งคนไปแถวเขาชิงเฉิงแล้ว บางทีอาจหาศิษย์พี่หนานพบ ศิษย์พี่ใหญ่ อย่ากังวลใจไปเลยครับ”
เยี่ยเทียนรู้ว่าโก่วซินเจียกังวลเรื่องอะไร เรื่องคนแปลกๆ ปลีกวิเวกในเขาลึกนิสัยพิสดาร มักมีให้ได้ยินอยู่เสมอ ถ้าหากเกิดเหตุขึ้นกับหนานไหวจิ่นเข้า สำนักพยากรณ์เสื้อป่านของพวกเขาคงจะติดค้างหนี้ครั้งนี้ใหญ่หลวง
“ขอให้ฉันคิดมากไปเองเถอะ ศิษย์น้อง เธอเองก็รักษาตัวก่อนดีกว่า!” โก่วซินเจียส่ายหน้า ออกมาจากห้องของเยี่ยเทียน
…………
เวลาสิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนานไหวจิ่นที่เดินทางไกลไปในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงไร้ซึ่งข่าวคราว ทำให้โก่วซินเจียค่อนข้างอยู่ไม่สุข ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ตักเตือนไว้ เกรงว่าเขาคงจะออกเดินทางไปแผ่นดินใหญ่แล้ว
“อาจารย์ ฝืนมากไม่ได้นะครับ อาการบาดเจ็บของอาจารย์ คนธรรมดาลุกมานั่งได้ก็ถือว่าไม่แย่แล้ว!” โจวเซี่ยวเทียนเห็นเยี่ยเทียนนั่งบนรถเข็น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
เช้าวันนี้ตอนเยี่ยเทียนนั่งบนรถเข็นเดินเล่นในสวนเหมือนวันก่อน ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ยังอยากจะลองลุกขึ้นยืนดู เยี่ยเทียนคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหา จึงทำให้ทุกคนตกอกตกใจกันใหญ่ ยกเว้นถังเหวินหย่วนที่ออกไปจัดการเรื่องราวเมื่อวาน
“ใช่แล้ว เสี่ยวเทียน อีกไม่กี่วันเท่านั้น รอให้ดีขึ้นอีกหน่อยค่อยลองดูว่าเดินได้ไหมดีกว่า!” ซ่งเวยหลันเองก็พูดด้วยความเหลืออด พอต้องเผชิญหน้ากับลูกชายจอมดื้อรั้น เธอเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“แม่ ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ!” เห็นอวี๋ชิงหย่ายังอ้าปากค้าง เยี่ยเทียนก็หัวเราะถามว่า “ทำไมเหรอ ชิงหย่า เธอเองก็ไม่เชื่อฉันหรือไง?”
“ฉันเชื่อเธอ เธอต้องทำได้อยู่แล้ว!” เห็นสายตาเว้าวอนของเยี่ยเทียน คำพูดของอวี๋ชิงหย่าที่ออกมาจากปากก็เปลี่ยนไปทันที
“ต้องอย่างนี้สิ”
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บมาสองเดือนกว่า กระดูกสันหลังที่หักของเขา ก็สมานเข้าหากัน ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ดีนัก แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเหินอีกแล้ว
สองมือจับรถเข็นพยุงมือ เยี่ยเทียนวางสองขาไว้บนพื้นด้านหน้า ค่อยๆ ออกแรงแขนแล้วลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆ ทีแรกร่างกายของเขายังเอนไปด้านหลังเล็กน้อย แต่เมื่อเยี่ยเทียนยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ร่างกายนั้นก็ตรงดิ่งราวต้นสน ไม่โค้งงอแม้แต่นิดเดียว
“ยืน…ยืนได้แล้วหรือ?”
เห็นลูกชายลุกขึ้นยืนได้จริงๆ ซ่งเวยหลันก็อดน้ำตาไหลด้วยความดีใจไม่ได้ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เธอถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าชีวิตนี้เยี่ยเทียนอาจไม่สามารถลุกยืนขึ้นได้อีก
เยี่ยตงผิงถึงแม้ไม่เอ่ยปากว่าดีอกดีใจเหมือนอย่างภรรยา แต่ริมฝีปากที่สั่นเทาก็อธิบายได้ว่าเวลานี้เขาตื้นตันไปถึงกลางหัวใจ พึ่งพาอาศัยกันกับลูกชายมายี่สิบปี ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกเช่นนี้ยากที่คนอื่นจะมาเทียบเคียงได้
“อาจารย์ เยี่ยมไปเลยครับ!” โจวเซี่ยวเทียนกำหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เยี่ยเทียน ระวังหน่อยนะ” ท่ามกล่างกลุ่มคนเหล่านี้ มีเพียงอวี๋ชิงหย่าที่ค่อนข้างสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด ก้าวเข้ามาประคองแขนของเยี่ยเทียน
ทั้งสองอยู่ร่วมกันหนึ่งวัน เมื่อหลายวันก่อน ความหงุดหงิดของเยี่ยเทียนก็ส่งสัญญาณออกมาว่าอยากขยับเขยื้อนตัวแล้ว ถ้าหากอาการบาดเจ็บไม่ฟื้นฟูขึ้นมากคงไม่มีอาการนี้ออกมา ด้วยเหตุนั้นอวี๋ชิงหย่าจึงค่อนข้างเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว
“ศิษย์น้องเล็ก จิตดั้งเดิมให้ผลลัพธ์น่าทึ่งอย่างนี้เชียวหรือ?”
เห็นเยี่ยเทียนก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าวอย่างระมัดระวัง กระทั่งโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นยังมีสีหน้าตกตะลึงออกมา หากอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนเกิดขึ้นกับตัวพวกเขา หากไม่ได้เวลารักษาสักปีครึ่ง คงไม่อาจทำได้อย่างเยี่ยเทียน
“เจ้านี่ใช้รักษาบาดแผลได้ไม่เลว แต่ใช้ประโยชน์เรื่องอื่นไม่ได้มากเท่าไหร่นัก…” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะแห้งออกมา เพราะหลังจากสัมผัสมาชั่วระยะหนึ่ง เขาก็พบว่า จิตดั้งเดิมเพียงใช้ได้แต่ภายใน ไม่อาจใช้ภายนอก
พูดอีกอย่างก็คือ จิตดั้งเดิมสามารถใช้รักษาอาการป่วยฟื้นฟูร่างกาย แต่กลับไม่สามารถนำมาใช้ห้ำหั่นศัตรูได้อย่างพลังปราณชีวิตแท้
ถ้าหากไม่สามารถจัดการกับปัญหาปราณชีวิตแท้สูญสลาย เยี่ยเทียนที่มีจิตดั้งเดิม อย่างมากที่สุดก็สามารถเป็นแค่คนธรรมดาที่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น อีกทั้งการสืบทอดวิชาในความคิดก็ไม่อาจทำได้ดีอย่างใจเหมือนเมื่อก่อน
โก่วซินเจียรู้สถานการณ์ร่างกายของเยี่ยเทียนดี จึงปลอบใจว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ไม่ต้องรีบร้อนไป ว่ากันแล้วเดิมทีจิตดั้งเดิมกล่าวขานกันมาเพียงในตำนานเท่านั้น เธอเพิ่งเข้าสู่ระดับแรก อาจจะยังไม่ค้นพบประโยชน์อีกมากมายของมันก็ได้”
ความจริงโก่วซินเจียพูดไว้ไม่ผิด คนผู้หนึ่งสร้างจิตแห่งหยางได้ นั่นหมายความว่าเขาต้องมีพลังจิตเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั่วไป เมื่อฝึกฝนถึงขั้นล้ำลึก เพียงนึกคิดก็กำหนดความเป็นความตายของคนได้ ไหนเลยจะเอาปราณชีวิตแท้มาเปรียบเทียบ?
เพียงแต่ว่าร่างกำเนิดจิตดั้งเดิมครึ่งๆ กลางๆ ของเยี่ยเทียนถูกฝืนบังคับมากเกินไป อีกทั้งยังใช้รักษาร่างกายมาตลอด จึงทำให้เยี่ยเทียนไม่อาจค้นพบประโยชน์ของมันอีกมากมาย
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ที่หน้าประตูคฤหาสน์ก็มีเสียงเบรกรถยนต์ดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไปในทันที
“หือ ทำไมถึงมีรถสองคันล่ะ?”
ทุกคนพบว่า ที่หน้าประตูคฤหาสน์ มีรถเล็กสองคนจอดอยู่ คันหนึ่งเป็นรถพิเศษของถังเหวินหย่วน พวกเขาทุกคนล้วนรู้จัก แต่ป้ายทะเบียนรถอีกคันนั้นค่อนข้างแปลกตา
คนที่ลงจากรถคันแรกมาย่อมเป็นถังเหวินหย่วน แต่คนที่ลงมาจากรถคันที่สอง กลับทำให้พวกเยี่ยเทียนตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นค่อยมีสีหน้ายินดีออกมา
“น้องไหวจิ่น ในที่สุดก็กลับมาเสียที!”
โก่วซินเจียรีบรุดออกไปต้อนรับ โจวเซี่ยวเทียนที่ตามหลังเขารีบใช้กุญแจรีโมทเปิดประตูใหญ่ออก
ใช้แขนข้างเดียวกอดหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียเอ่ยปากตำหนิ “น้องหนานไหวจิ่น ไปนานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่โทรศัพท์มาสักครั้งเลย”
“ฉันไปกลางภูเขา จะหาโทรศัพท์จากที่ไหนล่ะ?”
หนานไหวจิ่นหัวเราะแห้งออกมา ตอบว่า “อีกอย่างถึงพวกลูกศิษย์จะให้โทรศัพท์ฉันสองสามเครื่อง แต่ฉันก็ใช้ของแบบนั้นไม่เป็น คิดว่ามาถึงก็ได้พบหน้ากันเอง เลยไม่ได้โทรหา”
ความจริงไม่เพียงแต่หนานไหวจิ่นเท่านั้น โก่วซินเจียเองก็ไม่เคยชินการใช้โทรศัพท์ของพวกนี้ ซ่งเวยหลันเคยเอาโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่หลายเครื่องจากอเมริกามาให้เขา แต่ก็ถูกเขาวางทิ้งเอาไว้ที่มุมห้อง
“ศิษย์น้องเยี่ย นี่…นี่เธอหายดีแล้วหรือ?”
หลังจากคุยกับโก่วซินเจียสองสามประโยค หนานไหวจิ่นก็เหลือบไปเห็นเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงกลางลาน จึงรีบเข้าไปทักทาย เฝือกที่แขนทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนเอาออกแล้ว ดูจากภายนอก เขาก็ไม่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป
“ศิษย์พี่หนาน ยังหรอกครับ ต้องใช้เวลาสักสามถึงห้าเดือน ถึงจะกลับไปเป็นปกติ”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนนึกถึงจุดตันเถียนซึ่งแตกสลายและปราณชีวิตแท้ที่สูญไป จึงเผลอร้องออกมา “จุดตันเถียนที่ถูกทำลายนั้นหายดีแล้ว ผมว่าคงจะไม่ต่างจากคนธรรมดาหรอกครับ ศิษย์พี่หนาน พี่เดินทางมาเหนื่อยๆ เข้าไปดื่มชาที่ห้องรับแขกก่อนเถอะ!”
แม้จะมีใจอยากสอบถามเรื่องที่หนานไหวจิ่นไปยังเขาชิงเฉิง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้
หนานไหวจิ่นหันมองคนรอบตัวเยี่ยเทียน แล้วพยักหน้า กล่าวว่า “ได้ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
“เยี่ยเทียน ลูกเดินช้าๆ หน่อยนะ!”
พ่อแม่และภรรยาของเยี่ยเทียนรู้มานานแล้วว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเขาคุยกัน จะไม่ให้คนนอกอยู่ด้วยเสมอ ซ่งเวยหลันบอกกล่าวกับลูกชายแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้ตามเข้าไปในห้อง
“เยี่ยเทียน ฉัน…ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ที่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของเยี่ยเทียนก็คือ ถังเหวินหย่วนกลับตามหลังมา
“เหล่าถัง ไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ ผมมีเรื่องต้องปรึกษากับศิษย์พี่หนาน!”
เยี่ยเทียนโบกมือ เวลานี้ในใจเขา จะมีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่าเรื่องที่หนานไหวจิ่นกลับมา?
……………………………………