การหาหน้าม้ามาตะโกนโก่งราคาตอนประมูล ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในงานประมูลทุกแห่ง โดยเฉพาะงานประมูลที่มีสินค้าสำคัญบางประเภท จะขาดหน้าม้าไม่ได้เลย
แต่ว่าการนำหน้าม้ามาใช้ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากใช้ได้ดี สินค้าที่ถูกประมูลนั้นจะเพิ่มราคาสูงขึ้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะสูงขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งทำให้งานประมูลได้รับผลกำไรอย่างอู้ฟู่
แต่ถ้าหากใช้ไม่ดี หรือหน้าม้าไม่เข้าใจเจตนาของนักประมูล บังอาจร้องเสนอราคาสูงลิบลิ่วจนภายหลังไม่มีใครเสนอราคาแข่งล่ะก็ งานประมูลนั้นจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลในการละเมิดสัญญาก้อนนี้
ของประมูลส่วนใหญ่ในงานประมูล ล้วนมาจากมือของบุคคลทั่วไป ถ้าหากงานประมูลจบลงแล้วนักประมูลละเมิดสัญญา เขาจะต้องจ่ายค่าละเมิดสัญญาเป็นจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ถึงยี่สิบเปอร์เซนต์
ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว คนที่เข้าร่วมประมูลล้วนต้องจ่ายค่ามัดจำจำนวนหนึ่ง และค่าละเมิดสัญญานี้ก็หักออกจากค่ามัดจำส่วนนั้นนั่นเอง แต่ถ้าหากเจ้าของงานประมูลเองจัดหาหน้าม้ามา ย่อมต้องให้เจ้าของงานเป็นคนจ่ายเอง
ดังนั้นคำพูดลอยๆ ของเยี่ยเทียน จึงทำให้เฮนรี่ตกใจจนเหงื่อไหลซึมทั้งร่าง ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่เสนอราคาแข่งต่อ ราคาหนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงนั้น จะทำให้เขาต้องจ่ายเงินค่าละเมิดสัญญาเป็นจำนวนหนึ่งแสนกว่าเหรียญฮ่องกง
ที่สำคัญ เฮนรี่ไม่ใช่นักประมูลประจำบริษัทคริสตี้
ที่เขามาดูแลงานประมูลครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้รับรางวัลส่วนแบ่งจากรายได้ทั้งหมด ตัวหน้าม้าก็เป็นเขาที่จัดหามาเอง หากเกิดเรื่องผิดพลาด เขาจะต้องเป็นคนชดใช้เงินก้อนนี้
วิลสันที่นั่งอยู่ด้านข้างท่านเทศมนตรี เวลานี้มีสีหน้าซีดเผือดอย่างผิดปกติ เขานึกด่าในใจว่า “ไอ้บื้อนี่ ไหนบอกว่าเป็นนักประมูลอันดับหนึ่งของโลกไง? ทำไมถึงทำผิดพลาดในเรื่องแบบนี้ได้?”
ในฐานะประธานฝ่ายบริหารของคริสตี้ฝั่งเอเชีย เขาย่อมรู้กลโกงเหล่านั้นของเฮนรี่อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่า เฮนรี่กลับมุ่งเป้าไปที่ลูกชายเจ้านายเก่าของเขา
แต่นี่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่คิดจะแข่งประมูลต่อ งานประมูลวันนี้จะกลายเป็นเรื่องเล่าชวนหัวในวงการ
แม้ว่าคนภายในงานเหล่านี้จะไม่สังเกตเห็นเคล็ดลับของเฮนรี่ แต่วิลสันรู้ว่า ไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาของคนในวงการแน่นอน บางทีพองานประมูลครั้งนี้จบลง เรื่องที่คริสตี้เชิญหน้าม้ามาช่วยประมูล อาจแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งวงการ
“ถ้าหากคุณผู้ชายหมายเลขหนึ่งไม่สนใจในตำราเล่มนั้น งั้นผมคิดว่า ผมคงต้องแสดงความยินดีกับคุณชายท่านนั้นแล้วล่ะครับ”
เฮนรี่เวลานี้ยังคงพยายามทำเป็นสงบนิ่ง จ้องมองตรงยังเยี่ยเทียน กล่าวว่า “หนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่หนึ่ง หนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่สอง…”
เฮนรี่กำลังเดิมพัน เพียงทว่ามันคือการเดิมพันในงานประมูลครั้งยากลำบากที่สุดของเขา หลังของเขามีเหงื่อไหลซึม จนทำให้ปกคอเสื้อของเขาชุ่มชื้นไปหมด เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเสนอราคาอีกครั้งหรือไม่
“สองล้านเหรียญฮ่องกง!”
ขณะที่เฮนรี่กำลังจะตะโกน “ปิดการขาย” นั้นเอง ในที่สุดเยี่ยเทียนก็ชูป้ายในมือขึ้น มองยังเฮนรี่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “คุณเฮนรี่ คุณจะเพิ่มราคาสูงต่อไปก็ได้ ผมมีความอดทนเป็นเลิศ อาจจะยอมจ่ายมากขึ้นกว่านี้ก็ได้!”
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว สองล้านเหรียญฮ่องกงไม่ถือว่ามากมายอะไร ความจริงเขาไม่ได้โกรธ แต่กลับนึกชื่นชมนักประมูลคนนี้ คนที่สามารถดึงเงินออกมาจากมือเขาได้นั้น มีไม่มากนัก
แม้วิธีการของเฮนรี่จะไม่สมควร แต่หากพูดถึงมุมมองของนักประมูลแล้ว เฮนรี่นั้นเก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ให้ตายสิ คุณมีความอดทนเป็นเลิศ แต่ใจผมจะรับไม่ไหวแล้ว!”
เฮนรี่เองก็รับผิดชอบดูแลงานประมูลมาเป็นเวลาเจ็ดแปดปีแล้ว เขายังไม่เคยเจอใครรับมือยากอย่างนี้ แค่ประมูลของเพียงชิ้นเดียว กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนสูญเสียพลังทั้งเนื้อตัว
“คุณชายท่านนี้ล้อเล่นแล้ว สำหรับผม ก็ต้องคาดหวังให้ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ สิครับ!”
ถึงแม้ว่าใจจะอยากเคาะค้อนประมูลเต็มที แต่เฮนรี่ก็ยังต้องสอบถามสักสองสามคำตามระเบียบการ“ คุณชายท่านนี้เสนอราคาสองล้านเหรียญฮ่องกง ยังมีท่านไหนเสนอราคาต่ออีกไหมครับ?”
“สองล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่หนึ่ง สองล้านสองล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่สอง สองล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่สาม ปิดการขาย!”
ค้อนในมือของเฮนรี่เคาะลงมาอย่างหนักหน่วง” ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหมายเลข 1 ด้วยครับ ตำราตุนหวงหกเล่มนี้กลายเป็นของคุณแล้ว!”
“ประมูลตำราโบราณไม่กี่เล่มถึงสองล้าน เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้บ้าคลั่งยิ่งกว่าผู้เฒ่าถังอีกเหรอ?”
“อาจจะแค่ต้องการเอาชนะนักประมูลก็ได้ เป็นนิสัยเลือดร้อนของวัยรุ่นอยู่แล้ว!”
“ไม่เห็นเหรอว่าเขาเป็นลูกชายของซ่งเวยหลัน แค่สองล้านเหรียญฮ่องกงจะสักเท่าไหร่เชียว?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนประมูล “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” หกเล่มนี้มาแล้ว ภายในงานก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้นกระหึ่ม
ว่ากันตามตรง เงินก้อนนี้ถึงแม้ไม่มากนัก แต่หากเทียบกับราคาตลาดของหนังสือตำรา นับว่าเกินสิบกว่าเท่า การกระทำของเยี่ยเทียนจึงไม่ต่างจากตัวล้างผลาญในสายตาพวกเขา
แต่คนรอบข้างจะวิจารณ์อย่างไร เยี่ยเทียนก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เงินทองในสายตาเขาเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น จะมีหรือไม่มีเยี่ยเทียนก็เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอุดมสมบูรณ์
หันไปมองโจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่แถวสองแล้ว เยี่ยเทียนก็บอกว่า “เซี่ยวเทียน ไปตกลงเรื่องเงินกับพวกเขาที งานประมูลตอนบ่ายพวกเราไม่เข้าร่วมแล้ว”
สมุดรายการที่ถังเหวินหย่วนนำไปมีกว่าร้อยหน้า ภายในมีรูปภาพของประมูลในครั้งนี้ทุกชิ้น แต่ว่านอกจาก “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่สนใจสินค้าอย่างอื่นอีก
ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนโน้มตัวกำลังจะออกไปนั้นเอง เฮนรี่ที่อยู่บนเวทีก็พูดขึ้นว่า “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน จากนี้ต้องขอหยุดพักสักครู่ แล้วพวกเราจะประมูลสินค้าชิ้นที่สามกันต่อ ขอเชิญทุกท่านดูข้อมูลของประมูลสินค้าลำดับที่สามกันก่อนนะครับ!”
งานประมูลเริ่มไปเพียงแค่สามสิบนาที ยังอีกชั่วโมงกว่าถึงจะเป็นเวลาสิ้นสุดการประมูลช่วงเช้า ว่ากันตามตรงยังไม่ควรหยุดพักเร็วขนาดนี้
เพียงแต่การประมูลเมื่อครู่ใช้พลังสติสัมปชัญญะมากเกินไป ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่หากยืนหยัดต่อไป การประมูลช่วงหลังอาจจะเกิดปัญหาบางอย่างได้
“พ่อครับแม่ครับ ศิษย์พี่ ไปกันเถอะ ช่วงหลังเราไม่ต้องดูก็ได้ครับ”
แต่นี่กลับเป็นผลดีต่อความตั้งใจของเยี่ยเทียน เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่นาน ฉวยโอกาสจังหวะขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน หลังจากกลุ่มเยี่ยเทียนบอกลาวิลสันและท่านเทศมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก็ถอนตัวออกจากการประชุม
ต่อหน้าซ่งเวยหลัน แน่นอนว่าการจัดการงานประมูลย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ตอนที่กลุ่มของเยี่ยเทียนออกมาจากตึกใหญ่ใจกลางวงแหวนกลาง ในมือของโจวเซี่ยวเทียนก็มีกล่องนิรภัยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกล่อง
“เจ้าเด็กบ้า ถึงมีเงินเยอะก็ไม่ควรใช้แบบนั้น คนที่ตะโกนราคาข้างหน้านั่น เป็นหน้าม้าแท้ๆ”
พอขึ้นรถแล้ว เยี่ยตงผิงก็สั่งสอนลูกชายด้วยสีหน้าหงุดหงิด ถึงแม้ปัจจุบันชีวิตจะไม่ขาดเงินแล้ว แต่ในฐานะคนที่มาจากยุคขาดแคลน เยี่ยตงผิงก็ไม่อยากเห็นลูกชายใช้เงินมือเติบแบบนี้
“พ่อ ผมรู้ว่าเขาเป็นหน้าม้า แต่ว่าผมเจ็บที่หลัง ไม่มีอารมณ์จะไปงัดข้อกับเขานี่!” เยี่ยเทียนขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพ่อ จึงเอาอาการบาดเจ็บมาเป็นเกราะคุ้มกัน
“เยี่ยเทียน เจ็บที่กระดูกสันหลังหรือเปล่า? ลูก…ลูกอย่านั่งเลย นอนลงก่อนดีกว่า”
ตามคาด พอเยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนี้ ซ่งเวยหลันก็ตื่นตระหนกขึ้นทันที รีบร้องบอกคนขับรถ “โชเฟอร์คะ ขับช้าลงหน่อย อย่าให้กระเทือนนะ”
“เวยหลัน เธออย่าไปฟังมัน เจ้าหนูนี่ถูกตามใจจนเคยตัวแล้ว”
เยี่ยตงผิงเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากในดวงตาของลูกชาย ก็เดือดดาลขึ้นมาทันที เยี่ยเทียนใช้ไม้นี้หลายต่อหลายครั้งมาตั้งแต่เด็ก ทุกทีที่เขายกไม้ขึ้นมาจะตี ยังไม่ทันได้แตะเนื้อต้องตัว เขาก็ลงไปล้มกลิ้งกับพื้นแล้ว
“คุณไปทางโน้นเลย พูดอย่างนี้กับลูกชายได้ยังไง?”
ถึงแม้ซ่งเวยหลันจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่พอใจต่อคำพูดของสามีอย่างมาก ตอนนี้เธอเป็นคุณแม่ที่ไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เยี่ยเทียนทำอะไรก็ถูกต้องในสายตาเธอเสมอ
“เมียจ๋า ผมปวดคอจัง เอ้า นวดให้หน่อยสิ!” เห็นพ่อถูกแม่ดุด่าจนไม่กล้าเงยหน้า เยี่ยเทียนก็แอบหัวเราะออกมา
“เธอนี่ถูกตามใจจนเคยตัวจริงๆ” อวี๋ชิงหย่าเองยังอดขำออกมาไม่ได้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้รักเจ้าหนุ่มที่ถูกตามใจจนเคยตัวคนนี้สุดหัวใจ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ รถก็มาจอดลงยังหน้าปากทางคฤหาสน์ของเยี่ยเทียน คนทั้งกลุ่มเข้าไปยังภายในบ้าน
“ชิงหย่า เธอนั่งคุยกับถังเหวินหย่วนเป็นเพื่อนพ่อกับแม่ที ฉันมีเรื่องต้องคุยกับพวกศิษย์พี่!”
เมื่อเช้าตอนอยู่บนรถ เยี่ยเทียนกับศิษย์พี่ทั้งหลายแทบอดรนทนไม่ไหว จะกดปุ่มกล่องนิรภัยในมือของโจวเซี่ยวเทียนเปิดออกเสียแล้ว
พอกลับมาถึงบ้าน ผู้เฒ่าทั้งหลายก็ล้อมโจวเซี่ยวเที่ยนพามายังห้องรับแขก ห้องรับแขกภายในคฤหาสน์หลังนี้ของเยี่ยเทียน ดูเหมือนจะกลายเป็นสถานที่ประชุมของพวกเขาไปเรียบร้อย
เห็นเยี่ยเทียนเปิดกล่องออก กระทั่งโก่วซินเจียยังตื่นเต้นขึ้นมา พูดย้ำซ้ำๆ ว่า “ระวังหน่อย อย่าจับแรงนะ!”
ยุคราชวงศ์ถังห่างไกลจากปัจจุบันมาประมาณ 1,400 ปีแล้ว ตำราเหล่านี้สามารถเก็บรักษาได้จนถึงปัจจุบัน นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ หากเป็นของที่ขุดขึ้นมาจากดิน บางทีเมื่อเจออากาศอาจสลายกลายเป็นผุยผง
เยี่ยเทียนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพิจารณา กล่าวว่า “พวกเขาอาบน้ำยารักษาสภาพมาแล้วครับ ศิษย์พี่ ไม่เป็นไรหรอก”
เยี่ยตงผิงคลุกคลีอยู่ในวงการเขาโบราณตั้งแต่ปี 80 ความรู้ทั่วไปเหล่านี้เยี่ยเทียนจึงเข้าใจดี ส่งตำราที่อยู่ในมือให้กับโก่วซินเจีย บอกว่า “ศิษย์พี่มาดูด้วยกันสิครับ…”
“คัมภีร์เต๋าไคหยวน” ครอบคลุมหลากหลายสาขา สูงสุดถึงวิชาดาราศาสตร์ต่ำสุดยันเรื่องสัพเพเหระ เยี่ยเทียนไม่มีเวลาค้นหาหมดทุกเรื่อง จึงส่งให้ทุกคนคนละเล่ม
“คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เล่มนี้ เรียบเรียงด้วยตัวอักษรข่าย แม้จะเขียนเป็นแนวตั้งจากขวามาซ้าย แต่ตำราที่เยี่ยเทียนศึกษามาแต่เล็กล้วนเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด จึงไม่มีปัญหากับการอ่านเลยแม้แต่น้อย
พวกโก่วซินเจียเองยิ่งมาจากยุคสมัยที่ใช้อักษรตัวเต็ม จึงอ่านได้โดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่นิดเดียว ส่วนโจวเซี่ยวเทียน มีหน้าที่ยกน้ำชามาให้เท่านั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ เล่มนี้กล่าวถึงยันต์และสัญลักษณ์ อาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พี่ได้!”
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ฉายแววผิดหวัง ส่งตำราเล่มนั้นให้กับโก่วซินเจีย หนังสือเล่มนั้นมีกล่าวถึงวิชาค่ายกลบ้างบางส่วน แต่กลับไม่มีเคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนต้องการเลย
“เล่มนี้ของฉันเป็นรายชื่อเทพเซียน แล้วเล่มนี้คืออะไรกับอะไรล่ะ?”
เวลานี้โก่วซินเจียอ่านตำราที่อยู่ในมือกำลังจะจบ หลังจากรับคัมภีร์เล่มนั้นที่เยี่ยเทียนส่งมาแล้ว เขาก็ส่งเล่มที่ปิดลงในมือให้กับเยี่ยเทียน
………………………………………………