ตอนที่ 687 เรื่องเล่า
“คนป่า ? มีสิ ! ”
ชายหนุ่มครึกครื้นขึ้นมาทันทีที่ได้เยี่ยเทียนพูดถึงคนป่า เขาเช็ดมือที่เสื้อ และเรียกให้เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์นั่งลง พูดว่า
“เมื่อก่อน หมู่บ้านอยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก เพื่อนบ้านผมมีลูกสาวคนหนึ่ง หายเข้าไปในป่าเมื่อสิบปีที่แล้ว
พอกลับมา ก็มาพร้อมกับท้องโต ลูกที่คลอดออกมามีขนขึ้นเต็มตัว คลอดมาได้ไม่กี่วันก็ตาย ก็คนป่าเนี่ยแหละที่จับแม่เด็กไป”
“มีเรื่องแบบนี้จริงเหรอครับเนี่ย ? ” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินครั้งแรกก็ตกตะลึงจนตาโต
“เรื่องจริงสิ”
ชายหนุ่มเห็นโจวเซี่ยวเทียนไม่เชื่อ จึงพูดเสริมว่า
“ในหมู่บ้านยังมีเด็กขนเต็มตัวอีกคนแต่พูดไม่ได้ ถ้าพวกคุณเข้าป่า คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีผู้หญิงมาหา ต้องระวังนะ”
“เหล่าฉี มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ รินน้ำชาให้แขกสิ”
ผู้หญิงล้างผักเสร็จเดินออกมาเห็นสามีที่กำลังโม้อยู่ เธอขำและพูดว่า
“ไม่ต้องกลัวกันหรอก ฉันอยู่ในนี้มา 40 กว่าปี ไม่เคยเห็นคนป่าเลย”
“นั่นเพราะเธอไม่เห็นเอง เรื่องแปลก ๆ ในอาณาเขตนี้มีเยอะแยะไป”
เหล่าฉีน่าจะกลัวเมีย บ่นพึมพำ เดินเข้าไปหยิบแก้วน้ำชาออกมาสองใบ จากนั้นก็ริมน้ำชาให้กับเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียน ใบชานี้เก็บมาจากบนเขา เป็นใบชาที่มีกลิ่นหอมสดชื่น
ประโยคสุดท้ายของเหล่าฉีทำให้เยี่ยเทียนยิ่งอยากรู้มากขึ้นจึงถามต่อว่า
“พี่ฉี นอกจากคนป่าแล้ว อาณาเขตยังมีเรื่องแปลก ๆ อะไรอีกมั้ยครับ ? ”
เรื่องคนป่า เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น ที่ยกประเด็นคนป่าขึ้นมา ก็เพื่อให้เหล่าฉีขยายความออกไป
ส่วนเด็กมีขน เยี่ยเทียนเคยเห็นในทีวีแล้ว จาการทดสอบยีนส์โดยนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือความผิดปกติอย่างหนึ่งของยีนส์ ไม่ได้เกิดจากคนป่าอย่างที่พูดกันแน่นอน
เหล่าฉีหันซ้ายหันขวา พูดด้วยเสียงเบาว่า “ในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร มีเทพเซียนอาศัยอยู่ ! ”
“เทพเซียน ? ”
เยี่ยเทียนตะลึง สายตาแสดงความดีใจออกมา แต่สีหน้ายังแสดงความไม่เชื่อและพูดว่า
“พี่ฉี พี่เห็นพวกเราเป็นเด็กเหรอ สมัยนี้จะมีเทพเซียนได้ยังไง เทพเซียนผู้นั้นบินได้ หรือ แปลงกายได้ล่ะ ? ”
ที่จริง ถ้าปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนยังอยู่ แล้วสามารถหยิบของกลางอากาศได้ตรงนั้น คนอย่างเหล่าฉีที่เห็นภาพนั้น ก็คงคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นเทพเซียน ต้องกราบไหว้เขาแน่นอน
ถ้ามีคนระดับนั้นอยู่ในภูเขาตามที่เหล่าฉีพูด เยี่ยเทียนมั่นใจว่าต้องเป็นคนฝึกวิชา
“น้องชาย เชื่อฉันเถอะ คนอย่างเหล่าฉีไม่เคยโกหกใคร”
เหล่าฉียังไม่ทันพูดต่อ หญิงคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นว่า
“เมื่อก่อนมีคนเคยเห็น ใต้ขาของคน ๆ นั้นมีก้อนเมฆ และหายตัวได้ในพริบตาเดียว คนที่เจอเป็นนายพรานที่เก่งที่สุดของหมู่บ้าน เขาไม่พูดโกหกหรอก”
“มีเมฆใต้ขา บินได้จริงเหรอเนี่ย ? ” เยี่ยเทียนถามต่อ “เห็นกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว ? ”
หากเป็นอย่างที่หนานไหวจิ่นเคยพูดไว้ คนที่ฝึกวิชาจนถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว ปราณชีวิตแท้ในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ปราณชีวิตแท้ที่มองไม่เห็นเป็นได้สูงมากที่จะกลายเป็นปราณชีวิตแท้ที่มองเห็นและอยู่รอบกายได้จริง
ตอนนั้นปรมาจารย์ที่หนานไหวจิ่นเจอ ลอยอยู่ได้กลางอากาศ มีเมฆอยู่ใต้ฝ่าเท้าเหมือนกัน ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เมียเหล่าฉีพูดเลย
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนยิ่งซ่อนความตื่นเต้นไม่ไหว ถ้ามีคนเคยเห็นจริง แปลว่ามีคนฝึกวิชาอยู่ในเขาแห่งนี้ และคน ๆ นั้น มีวิชาสูงกว่าเขา ซึ่งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกว่ามีความหวัง
ส่วนที่ว่ามีเทพเซียนจริงหรือไม่นั้น เยี่ยเทียนไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะเทพเซียนเป็นแค่คนที่พัฒนาความสามารถบางอย่างในตัวถึงจุดสูงที่สุด และแสดงสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ ก็เท่านั้น
ก็เหมือนกับการใช้งานสมอง คนธรรมดาใช้ไปแค่ร้อยละสองถึงร้อยละห้าเท่านั้น แต่ไอสไตน์ใช้งานสมองถึงร้อยละสิบ ทำให้คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ออกมามากมาย
“สิบกว่าปีแล้วมั้ง ไม่ใช่เขาคนเดียวที่เคยเห็น คนแถว ๆ นี้ก็รู้กันหมด”
เหล่าฉีกดเสียงต่ำอีกครั้ง หยิบบุหรี่ที่ทัดไว้ข้างหูลงมาและพูดต่อว่า
“พวกคุณเข้าไปต้องพูดเบา ๆ นะ ห้ามด่าเทพเซียนเด็ดขาด แล้วก็เวลาสูบบุหรี่เสร็จ ต้องดับปลายให้สนิท ไม่อย่างนั้น เทพเซียนอาจโกรธได้”
“ทำไมล่ะ ? เทพเซียนสนใจเรื่องพวกเราสูบบุหรี่ด้วยเหรอ ? ” เยี่ยเทียนอึ้งกับสิ่งที่เหล่าฉีพูด คนประเภทเดียวกับเขา ขอแค่ไม่มาหาเรื่อง ปกติก็ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว
เหล่าฉีส่ายหัวและตอบว่า
“ใครจะไปรู้ล่ะ เรื่องเล่าในภูเขาเล่ากันว่าห้ามสูบบุหรี่เลยแหละ บางคนก็ว่าเทพเซียนกลัวไฟจากบุหรี่จะเผาภูเขาทั้งลูก เมื่อปีที่แล้ว มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ นะ…”
ที่แท้ ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว มีชายหนุ่มกับหญิงสาวเจ็ด แปดคน มาเที่ยวที่นี่ พวกเขาอยากสัมผัสความสนุก จึงนำเต้นท์มาด้วย และค้างคืนในป่า
อาณาเขตที่ยังไม่ถูกพัฒนาแห่งนี้ มีสัตว์ต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่นหมีป่า เสือดาวและหมาป่า มักโผล่มาให้เห็นตอนกลางคืน และมักจะได้ยินเสียงหอนของหมาป่า
เพื่อไม่ให้สัตว์ป่ามาทำร้าย คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงจุดกองไฟเอาไว้ แต่ใครจะรู้ ไฟที่เพิ่งจุดติด มันสว่างขึ้นจนแทบมองไม่เห็น เห็นเพียงแสงสีขาวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกองไฟก็ดับลงทั้งหมด
ยังไม่พอ หลังจากแสงไฟหายไป คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้สูญเสียการรับรู้ไปด้วย เช้าวันที่สอง นอกจากเต้นท์หายไป เสบียง อุปกรณ์ทุกอย่างที่นำมาด้วยก็หายไปหมด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้กับคนกลุ่มนี้มาก พวกเขาไม่กล้าอยู่ต่อ จึงออกจากป่าอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องนี้ถูกเล่าขานกันเป็นเรื่องเป็นราว แม้แต่หมู่บ้านที่อยู่รอบนอกก็ยังรู้เรื่องนี้
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อไหร่ที่มีคนต้องการเข้าไปในป่า คนในหมู่บ้านจะคอยเตือนด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าจุดไฟในป่าเด็ดขาด
“มีแสงสีขาวผ่าน กองไฟดับลงทันทีงั้นเหรอ ? ”
เยี่ยเทียนคิดในใจ
“ระดับหลอมปราณสู่จิตทำไม่ได้แน่นอน แล้วปราณชีวิตแท้ที่ปล่อยไว้ด้านนอก ไม่มีทางเห็นแสงขาวแน่นอน หรือถ้าเป็นอุปกรณ์ดับไฟ ก็คงไม่เร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง ? ”
พอคิดแบบนี้ จู่ ๆ เยี่ยเทียนรู้สึกดีใจมาก มีแต่คนฝึกวิชาเท่านั้นที่ทำได้ และเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แสดงว่าในป่าแห่งนี้มียอดฝีมืออยู่จริง ๆ
“เหล่าฉี กับข้าวเสร็จแล้วนะ พวกคุณจะดื่มกันสักหน่อยมั้ย ? ”
เหล่าฉีกับเยี่ยเทียนคุยกันนานจนภรรยาเหล่าฉีทำกับข้าวเสร็จแล้วหลายเมนู มีไข่เจียวผัดหัวหอม หน่อไม้ผัดหมู และซุปผักป่า
“เอา ดื่มกันสักหน่อยนะน้องเยี่ย ฉันมีเหล้าดองงู ดองไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เอามาดื่มตอนนี้กำลังดี ถ้าจะไปเที่ยวในป่ากัน มันช่วยเพิ่มความอุ่นให้ร่างกายได้ !”
เหล่าฉีรีบไปหยิบเหล้าดองงูออกมาพร้อมถ้วยสามใบ แล้วแบ่งให้เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์ และตัวเองคนละถ้วย
“จีจี!”
เหมาโถวได้กลิ่นเหล้า ทั้งจมูกและดวงตาของมันเริ่มขยับ
“นี่…นี่มันเฟอร์เร็ตใช่มั้ย ? ”
เหล่าฉีนึกว่าสิ่งที่พันคอเยี่ยเทียนคือผ้าพันคอ เหล่าฉีตกใจจนโถเหล้าดองงูเกือบหลุดจากมือ
“ฮ่า ๆ พี่ฉี ผมเลี้ยงมันตั้งแต่เด็ก เอามาใช้เป็นผ้าพันคอตอนฤดูหนาวครับ มันไม่กัดคน พี่ไม่ต้องกลัว”
เยี่ยเทียนยื่นถ้วยไปให้เหมาโถวและพูดกับมันว่า “ดื่มเสร็จรีบไปนอนซะ ใครสอนให้แกดื่มเหล้ากันเนี่ย ? ”
เยี่ยเทียนใช้เวลาอยู่บ้านค่อนข้างน้อย เขารู้ว่าเยี่ยตงผิงชอบดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ เวลากินข้าวจะต้องได้ดื่มสักหน่อย ส่วนเหมาโถวนั้นเหมือนเด็ก มักสนใจสิ่งที่แปลกใหม่ นาน ๆ เข้าก็คงเรียนรู้จนดื่มเหล้าเป็น
“จีจี ! ” เหมาโถวยื่นลิ้นออกมาแตะถ้วย ดูเหมือนว่ามันจะได้กลิ่นงู มันดูดเข้าไปอย่างรวดเร็วและไม่เหลือสักหยด
“แฮะ น้องเยี่ย เฟอร์เร็ตตัวนี้มีจิตวิญญาณสินะ ? ” เหล่าฉีตาแทบถลนออกมา ตอนที่เห็นภาพนั้น แต่ในสายตาของเขามีแต่ความชื่นชม ไม่ได้รู้สึกแปลกตามากขนาดนั้น
อาศัยอยู่ในป่ามานาน พวกเขาเชื่อว่าสัตว์ที่อยู่ในป่าล้วนมีจิตวิญญาณทั้งนั้น ชาวบ้านบางคนเคยช่วยเหลือลิงที่บาดเจ็บ พอหายดี ลิงมาแสดงความขอบคุณด้วยการนำผลไม้มาให้กับชาวบ้าน
และมีบางคนถึงขั้นเลี้ยงงูในบ้าน เจ้าตัวนี้เลี้ยงง่ายกว่าสุนัขอีก ไม่เพียงแต่เฝ้าบ้านได้ แต่ยังจับหนูได้อีกด้วย พอถึงฤดูใบไม้ผลิ เวลามีงูอยู่ในห้อง ข้างในบ้านจะรู้สึกเย็นสบาย
“ถ้าเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เจ้าตัวนี้คงมีจิตวิญญาณจริง ๆ ”
เยี่ยเทียนจ้องเหมาโถวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวน้อยทำท่าอยากจะขอเหล้าเพิ่ม ทันทีที่ถูกมองมันหดเข้าไปและทำตัวเป็นผ้าพันคออีกครั้ง
“ใช้ชีวิตอยู่ในป่ามานานหลายปี เป็นครั้งแรกที่เห็นสัตว์ที่มีจิตวิญญาณมากขนาดนี้”
ท่าทีของเหมาโถวทำให้เหล่าฉีรู้สึกมันวิเศษจริง ๆ เขารู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ กับผู้ติดตามของเขา จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน เพราะดูจากสัตว์เลี้ยงแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดาที่เลี้ยงได้
เยี่ยเทียนไม่อยากพูดถึงเหมาโถว เขาจึงยกถ้วยเหล้าขึ้นมาและพูดว่า “พี่ฉี ขอบคุณมากครับที่เล่าเรื่องให้พวกเราฟัง ผมขอดื่มให้พี่สักหน่อยครับ”
หลังจากดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด กระเป๋าเดินป่ายังถูกวางไว้บนพื้น เหล่าฉีกำชับกับโจวเซี่ยวเทียนไปว่า “น้องชาย เข้าไปเที่ยวในป่าวันสองวันก็กลับมาได้แล้ว นี่ใกล้จะเดือนธันวาแล้วนะ หิมะอาจจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ”
อาณาเขตแห่งเทพกสิกรแม้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 11 องศา แต่หิมะแรกของปี จะทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -10 องศา
“ครับ ตอนที่ออกมาจากป่า ไม่แน่ พวกผมอาจจะมาขอเหล้าพี่ฉีอีกสักแก้ว” เยี่ยเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม เขารับถ้วยข้าวจากเมียเหล่าฉีและเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
เยี่ยเทียนตื่นเต้นมากหลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าในป่าต่าง ๆ มากมาย เขาสัมผัสได้ว่า การเข้าป่าในครั้งนี้ จะทำให้เขาได้พบกับสิ่งใหม่ ๆ อย่างแน่นอน