เยี่ยเทียนไม่ได้เขียนอะไรเยอะ แค่เขียนไว้ว่าตัวเองจะอยู่ในป่าต่ออีกสักวันสองวัน เพราะมีโอกาสบางอย่างในที่แห่งนี้ และให้โจวเซี่ยวเทียนไปรอเขาที่บ้านเหล่าฉีก่อน
“ท่านผู้อาวุโส เราไปกันเลยครับ ไม่รู้ว่าตลาดนั้นอยู่ไกลจากที่นี่มั้ย ? ”
เยี่ยเทียนเอาเสื้อขนเป็ดห่มไว้ให้โจวเซี่ยวเทียน และใส่ฟืนเพิ่มในกองไฟ คาดว่าไฟน่าจะลุกได้ถึงเช้า จากนั้นค่อยหันไปถามวานรขาว
“ทางตรง ประมาณหนึ่งร้อยกิโล เจ้าหนุ่ม ความสามารถของเจ้า วิ่งสักสามวันก็ไม่ถึงหรอก”
วานรขาวขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่ข้าชอบเจ้า ข้าจะยอมเหนื่อยสักหน่อยก็แล้วกัน เหล้าในกระเป๋าของเจ้าถือว่าเป็นค่าเดินทางนะ ! ”
วานรได้กลิ่นเหล้าในกระเป๋าของเยี่ยเทียนมาสักพักแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาคงเอากระบองฟาดหัวและหยิบเหล้าไปแล้ว แต่เพราะเยี่ยเทียนเป็นคนมีวิชา วานรขาวจึงไม่กล้าทำ
“ได้เลย วันหลังถ้าท่านอยากดื่มเหล้าขอแค่ท่านบอก อยากดื่มเท่าไหร่ก็ได้ ! ” เยี่ยเทียนหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าวานรขาวไม่เพียงแต่ตะกละ ยังชอบดื่มเหล้าอีกด้วย
จริง ๆ เยี่ยเทียนกลัวแค่วานรขาวไม่มีความอยาก ขอแค่วานรขาวขออะไรกับเขา ในวันข้างหน้าเยี่ยเทียนจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนจากวานรขาวเป็นแน่ แล้วถ้ำเซียนของตระกูลซือถูก็อยู่ตรงนั้น เสียดายเปล่า ๆ
“อืม ไม่เลว ๆ ไม่เหมือนกับตาแก่พวกนั้น หวงเหล้าอย่างกับเป็นลูกในไส้…”
วานรขาวหัวเราะขึ้นมา มีอยู่ปีนึงมันแอบขโมยเหล้าของนักพรตท่านหนึ่ง แล้วถูกนักพรตท่านนั้นตีแบบจริงจังมาก
หลายปีมานี้วานรขาวก็มักจะลงจากเขาเพื่อไปขโมยเหล้าของชาวบ้าน แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังจะเอาเหล้าให้ตัวเอง มันดีใจฉีกปากกว้างจนแทบหุบไม่ได้
“เดี๋ยวข้าพาไป เจ้าห้ามขยับนะ ! ”
เยี่ยเทียนสัญญาจะให้เหล้ากับวานรขาว ท่าทีของวานรขาวจึงดีขึ้นหลายเท่า จากนั้นเยี่ยเทียนก็ย่อตัวลง ฝ่ามือขน ๆ ของวานรขาวช้อนเยี่ยเทียนขึ้น วานรขาวเพิ่งจะพูดจบ แต่ตัวเยี่ยเทียนได้ลอยขึ้นฟ้าแล้ว
เยี่ยเทียนมองลงไปข้างล่าง เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า มีกลุ่มอากาศกลุ่มหนึ่งหุ้มเขาสองคนเอาไว้ ยังไม่ทันมองดูดี ๆ มีลมแรงพัดเข้าปากของเขา และแรงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
“จี จี ! ” แม้แต่เหมาโถวก็ยังตกใจกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นกะทันหันแบบนี้ มันหดตัวเป็นก้อนและม้วนไปอยู่ตรงคอของเยี่ยเทียน
“อย่าปล่อยจิตแท้ออกมา จิตแท้ของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ โดนลมพัดแบบนี้อาจได้รับบาดเจ็บ ! ”
ตอนที่เยี่ยเทียนคิดจะปล่อยจิตออกมาดู เสียงของวานรขาวก็ดังขึ้นในสมองของเขา เยี่ยเทียนจึงได้ลบความคิดนี้ออกไป “บ้าเอ้ย ความเร็วเท่าไหร่เนี่ย ? ”
แม้ตาจะปิดไว้ทั้งสองข้าง แต่เยี่ยเทียนรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของเขาถูกลมพัดจนเบี้ยวไปหมด ลมที่พัดนั่นเหมือนมีดที่กำลังกรีดเนื้อของเขาอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะปราณชีวิตแท้ที่หล่อเลี้ยงไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เยี่ยเทียนคงไม่รอดแล้ว
“ถึงแล้ว ! ”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหน เขาได้ยินแค่เสียงของวานรขาว จากนั้นความเร็วก็ลดลงอย่างช้า ๆ สองขาของเขาในที่สุดก็แตะพื้น
เขารีบนวดใบหน้าที่ด้านชาไปหมด พอลืมตาขึ้น ถึงกับต้องเบิกตาให้กว้างขึ้นเพื่อดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
บริเวณพื้นที่เยี่ยเทียนกับวานรขาวยืนอยู่ เป็นหมอกสีขาวทั้งหมด หมอกนั้นสูงมิดหัวเข่าของเยี่ยเทียน แต่ตอนนี้ หมอกพวกนั้นกำลังสลายตัว และซึมเข้าร่างกายของเยี่ยเทียนกับวานรขาวอย่างช้า ๆ
หลังจากผ่านไปไม่นาน หมอกรอบตัวก็หายไปหมด ถ้าไม่ได้เห็นกับตาจริง ๆ เยี่ยเทียนคงคิดว่าเกิดภาพลวงตากับเขาเป็นแน่
เยี่ยเทียนหันไปมองซ้ายมองขวา พบว่าพวกเขาอยู่ตรงกลางเขาแห่งหนึ่ง และระยะสิบกว่าเมตรด้านหน้า มีถ้ำมืดอยู่หนึ่งถ้ำ แต่เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นทางเข้าของตลาดหรือไม่ ?
“ท่าน…ผู้อาวุโส พวก…เรา บินอยู่บนเมฆหมอกเหรอ ? ”
เยี่ยเทียนมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ พวกเขาใช้เวลาแค่ 10 กว่านาทีในการเดินทางมาที่นี่ เวลาอันสั้นแค่นี้สามารถเดินทางได้เป็นร้อยกิโล ถ้าไม่ใช่ลอยมากับเมฆหมอกแล้วคืออะไรล่ะ ?
“ลอยกับเมฆหมอก ? คงใช่แหละ ”
วานรขาวเอียงหัวคิดตาม และพูดว่า “ทำไมเจ้าดูไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ในโลกมนุษย์มีคนฝึกวิชาอยู่มากมาย ชอบกำหนดพลังวิชาของตัวเองเป็น หลอมกายสู่ปราณ หลอมปราณสู่จิต หลอมจิตสู่ความว่าง หลอมความว่างสู่เต๋าและขั้นอื่น ๆ
สำหรับนักพรตเต๋าที่แท้จริง นี่เป็นการแบ่งความสามารถก่อนกำเนิดกับความสามารถหลังกำเนิด เช่น หลอมกายสู่ปราณ กับหลอมปราณสู่จิตเป็นความสามารถหลังกำเนิด สามารถฝึกด้วยร่างกาย แต่ปราณชีวิตแท้ หากเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชา
ส่วนหลอมจิตสู่ความว่างกับหลอมความว่างสู่เต๋านั้นถือว่าเป็นความสามารถก่อนกำเนิด พลังเดิมแท้แปรเปลี่ยนเป็นแก่นวิญญาณ ยังสามารถเรียกอีกอย่างว่า “ปราณ” นั่นแปลว่ามันคือปราณก่อนกำเนิด อวัยวะภายในที่พร้อมใช้งาน จะฝึกจนมีปราณ แบบนี้ถึงจะนับว่าเข้าสู่เต๋าแล้วจริง ๆ “
วานรขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเสื้อผ้าชุดเต๋าของมันเหมือนจะมีปราณแท้สีขาวลอยออกมา ทันใดนั้นปราณแท้ก็เปลี่ยนไปคล้ายกับก้อนเมฆและถูกดันขึ้นมา
“ก่อนกำเนิดแบ่งเป็นสามระดับ หากเพิ่งเข้าสู่ก่อนกำเนิด จะสามารถลอยจากพื้นได้สามฟุต หากเข้าช่วงกลางถึงช่วงหลัง ปราณแท้จะควบแน่น จนสามารถลอยขึ้นฟ้าได้ ! ”
วานรขาวพูดไปด้วย เดินบนอากาศให้ดูไปด้วย มันแค่ก้าวขาออก ทันใดนั้นเมฆกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และตัวก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งสูงถึง 10 กว่าเมตร ชุดเต๋าสีครามลอยพลิ้วอยู่กลางอากาศ เหมือนเซียน
วานรขาวหยุดอยู่กลางอากาศอยู่ครู่หนึ่งจึงลอยลงมาอย่างช้า ๆ มันเก็บปราณแท้เข้าไปและพูดอีกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะจุดตันเถียนสลายไปเพราะบาดเจ็บ พลังปราณชีวิตเดิมก็สามารถเปลี่ยนเป็นปราณแท้ได้ ส่วนข้าที่พาเจ้ามาที่นี่ก็ถือว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกวิชาเหมือนกัน ไม่ถือว่าข้าผิดคำสั่งของอาจารย์ ! ”
“นี่ผมแค่อยู่ในขั้นก่อนกำเนิดเหรอครับ ? ”
หลังจากฟังวานรอธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนรู้สึกขมขื่น เดิมทีเขาคิดว่าความสามารถของเขา ไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่ก็สามารถเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกแน่นอน
แต่หลังจากที่ฟังวานรขาวพูดเกี่ยวกับการแบ่งระดับเสร็จ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นแค่กบในกะลา ที่มองทุกสิ่งจากใต้หลุม ไม่เคยรู้เลยว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด
“ไม่ใกล้เลยแหละ”
วานรขาวพูดแทงใจดำเยี่ยเทียนต่อ “แม้การฝึกวิชาเพื่อเป็นเซียน ใช้การก่อจิตดั้งเดิมได้หรือไม่เป็นตัวแบ่งก่อนกำเนิดกับหลังกำเนิด แต่ถ้าไม่มีปราณแท้ เจ้าก็ไม่แตกต่างจากพวกหลังกำเนิดเหล่านั้น”
“ท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยพูดอะไรที่น่าฟังหน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ ? ” เยี่ยเทียนทำหน้าเหมือนร้องไห้ เขาถูกวานรขาวตัวหนึ่งทั้งดูถูกทั้งโจมตี จนแทบอยากจะเอาหัวชนกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
วานรขาวเบะปากและพูดด้วยความไม่ค่อยมั่นใจว่า “สิ่งที่น่าฟัง ? ก็ได้นะ ถ้าเจ้ามีวิชาหลอมจิต ไม่แน่จิตดั้งเดิมอาจแปลงเป็นทารกได้โดยตรง ถึงเวลานั้นสามารถก่อร่างใหม่ ส่วนพลังเดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ”
“แปลงเป็นทารก?นั่นมันระดับขั้นไหนเหรอครับ ? ”
หากไม่ได้พบการลอยขึ้นฟ้าของวานรขาว เยี่ยเทียนคงฟาดหน้าวานรขาวไปแล้ว จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนยังคงสงสัยว่า บนโลกนี้มีเซียนแบบในตำนานจริง ๆ เหรอ ?
“เมื่อพลังวิชาถึงช่วงหลังของก่อนกำเนิด มันจะรวมตัวเป็นเม็ดพลัง ส่วนจินตันที่แตกสลาย จะแปลงเป็นทารกดั้งเดิม และที่มากกว่านั้น เจ้าไม่ต้องถามต่อนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ! ”
วานรขาวอดทนเล่าเรื่องระดับขั้นในโลกของพลังวิชาให้เยี่ยเทียนฟัง ก็เพราะเห็นแก่เหล้าขวดนั้นของเยี่ยเทียน
“ดูเหมือนผมยังอ่อนด้อยมาก” เยี่ยเทียนเข้าใจสักที พลังวิชาที่ตนเองภูมิใจ ในสายตาของวานรขาวตัวนี้ แม้แต่ลมที่ผายออกมาทางก้นก็ยังเทียบไม่ได้
แต่มันก็ทำให้เยี่ยเทียนอยากจะพัฒนาตนเอง ระดับขั้นจิตดั้งเดิมแปลงเป็นทารกเขาไม่กล้าไปคิด ขอแค่เขาสามารถขี่เมฆลอยฟ้าได้ก็พอใจแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส พลังวิชาของท่าน อย่างน้อยก็เข้าสู่บรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้วใช่มั้ยครับ ? ” ยากนักที่จะได้พบกับ “มนุษย์” ที่รู้ขนาดนี้ เยี่ยเทียนจะไม่ถามให้มันถึงที่สุดได้อย่างไร ?
“เจ้าคิดว่าบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคง่ายขนาดนั้นเลย ? แม้แต่พวกแก่ไม่ตาย ก็มีไม่กี่คนที่เข้าไปถึงระดับนั้น ข้า…ข้าเกือบจะโดนธาตุไฟเข้าแทรกถูกเผาตายแล้วด้วยซ้ำ ! ”
วานรขาวกลัวเยี่ยเทียนจะดูถูกเขามาก มันจึงพูดต่อว่า “ตอนที่เจ้านายจากไป เจ้านายอยู่ในระดับช่วงหลังก่อนกำเนิด แน่นอนแหละ สูงกว่าข้าตอนนี้นิดหน่อย ซึ่งบนโลกนี้มีผู้มียอดวิชาระดับจินตันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ !”
“เป็นแบบนี้นี่เอง ท่านทำผมตกใจหมด”
เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินวานรขาวบอกแบบนั้น และคิดว่าแค่ถึงระดับช่วงหลังก่อนกำเนิด ก็ถือว่าถึงจุดสูงสุดของคนฝึกวิชาแล้ว แล้วตัวเขาเองก็ห่างระดับนั้นไม่ไกลแล้วด้วย
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่เขาสู่ระดับก่อนกำเนิด จะต้องคอยฝึกปราณแท้ด้วยการบีบอัดและสกัดปราณ
มีเพียงฝึกปราณแท้ให้บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้น ถึงจะพัฒนาได้อีกขั้น และมันต้องใช้เวลามากกว่าร้อยปี ตัวเลขห่างไปเพียงนิดเดียวก็แตกต่างราวฟ้ากับดิน
“เอาเถอะ วันนี้ข้าพูดมามากแล้วล่ะ เจ้าหาที่นอนสักที่ก็แล้วกันนะ ห้ามรบกวนข้า ! ”
วานรเปิดขวดเหล้าของเยี่ยเทียน และกระดกทั้งขวดในพรวดเดียว ราวกับกลัวเยี่ยเทียนจะแย่ง
“เฮ้อ ท่านผู้อาวุโส พวกเราจะไปตลาดกันไม่ใช่เหรอครับ ? ” เยี่ยเทียนหงุดหงิดทันทีหลังจากได้ยินว่าให้ไปนอน เพราะหลังจากที่ได้ฟังตำนานเต๋าต่าง ๆ เสร็จ เขาไม่มีอารมณ์ไปนอนแล้ว
“ตลาด ? ดึกดื่นป่านนี้จะไปทำไม ? ”
วานรขาวสะอึก และกรอกตาพูดกับเยี่ยเทียนว่า “เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปพรุ่งนี้ ยังไงก็ห่างจากที่นี่ไม่ไกลแล้วล่ะ ข้าจะไปนอนแล้ว อย่ามากวนข้า ! ”
พูดจบ วานรโยนขวดเหล้าทิ้งลงและมุดเข้าไปในถ้ำนั้นทันที เยี่ยเทียนเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ถ้ำนี้เป็นที่อยู่อาศัยของวานรขาวนี่เอง
“โบราณกล่าวไว้ว่า คนยิ่งแก่ยิ่งฉลาด และวานรขาวตัวนี้ก็ฉลาดมาก จะต้องมีของดีแน่นอน ”
หลังจากครุ่นคิดคำพูดของวานรขาวเสร็จ เยี่ยเทียนก็มุดเข้าถ้ำไปเหมือนกัน ส่วนเหมาโถวที่อยู่ตรงคอของเยี่ยเทียน มันทำตาโตและมองดูรอบ ๆ อย่างประหลาดใจ
เมื่อมองจากด้านนอก ถ้ำนี้มืดสนิท แต่พอเข้ามาแล้ว เยี่ยเทียนพบว่าไม่อาจคาดเดาความลึกของถ้ำได้เลย แต่พอเลี้ยวไปทาง ๆ หนึ่ง ก็มีแสงสว่างเป็นจุด ๆ สว่างขึ้นตรงหน้า
“โห นี่มันอะไรบ้างเนี่ย ? ”
เยี่ยเทียนจะดีใจก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิงออกมา หลังจากที่เห็นของตกแต่งจากแสงของไฟเหล่านั้น
……………………………………..