ตอนที่ 699 หยกดำ
“อาจารย์ครับ อาจารย์ขำอะไร? สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เยี่ยเทียนอาจารย์และลูกศิษย์ได้ออกมาจากเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) แล้ว เวลานี้กำลังอยู่บนทางด่วนเพื่อกลับปักกิ่ง เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจของโจวเซี่ยวเทียนจึงรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นที่สุด
ได้พบกับยอดฝีมือถึงสองครั้ง แต่กลับถูกทำให้หลับจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ซื้อเหล้ามาจากข้างนอกแล้วขนเข้าไปในภูเขา แต่ยอดฝีมือผู้นั้นกลับไม่ไว้หน้าเขาเลย
“เซี่ยวเทียน รอให้นายบรรลุขั้นการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้ว ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้นายฟัง รู้เร็วเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก!”
เยี่ยเทียนหยุดหัวเราะ ตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนยังฝึกไม่ถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต หากพูดเรื่องนี้เกรงว่าจะเร็วเกินไป นอกจากนี้ถ้าหากเขารู้ว่ายอดฝีมือไม่ได้มีเพียงวานรขาวเพียงตัวเดียว จึงกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ
เมื่อนึกถึงสภาพของเหล่าฉีกับโจวเซี่ยวเทียนที่ฟื้นขึ้นมาจากตอนที่หลับไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ตอนที่ทั้งสองคนเห็นลังเหล้านับสิบลังหายไปทั้งหมด สีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้านั้นมีสีสันมากมายจริงๆ
ตอนนั้นเหล่าฉีถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นในทันที ปากก็ตะโกนว่าเทพเซียนสำแดงฤทธิ์แล้ว และยังบอกให้เทพเซียนช่วยคุ้มครองลูกชายให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ให้ได้อีกด้วย ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ลากเขากลับมา ไม่แน่ว่าเหล่าฉีอาจจะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นทั้งวันเป็นแน่
ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ได้พูดว่าตอนนั้นเขาก็หลับไปด้วย เกรงว่าเหล่าฉีคงจะกราบไหว้และมองเยี่ยเทียนเป็นดั่งเทพเซียนเช่นกัน
แต่พอลองนึกดูแล้ว เหล้าเจ็ดแปดร้อยขวดนั่นสามารถหายไปภายในระยะเวาอันสั้นโดยไม่เหลือสักขวด ในสายตาของคนธรรมดา ก็คงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะมีความสามารถเช่นนี้
เพียงแต่เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงว่า การมาเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ของเขาในครั้งนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่มากกว่านั้น โจวเซี่ยวเทียนกว้านซื้อเหล้าระดับกลางและระดับสูงในเขตเมืองทั้งหมดภายในวันเดียว ทำให้เมืองเล็กๆ ยากที่จะหาเหล้าดีๆ มาดื่มได้
และเรื่องที่มีเซียนสุราอยู่ในภูเขา ก็ถูกเหล่าฉีประกาศออกไป ทำให้หมู่บ้านสองสามแห่งที่อยู่โดยรอบเกิดความโกลาหล ทันใดนั้นทุกคนต่างก็เข้าไปในภูเขาพร้อมกับนำเหล้าสองสามขวดติดตัวไปด้วย เพื่อขอให้เทพเซียนคุ้มครอง
แล้วประเพณีนี้ก็ถูกรักษาเอาไว้ ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเทศกาลนี้ แต่ละบ้านก็จะนำเหล้าหนึ่งขวดมาถวายไว้นอกประตูบ้าน
ทว่าก็มีอยู่สองสามครั้งที่เหล้านั้นหายไปจริง ทำให้คนเหล่านั้นคิดว่าเทพเซียนปรากฏตัว แต่กลับไม่รู้ว่าวานรขาวดื่มเหล้าชั้นดีของเยี่ยเทียนจนเคยชิน จึงไม่สนใจเหล้าพวกนั้นไปนานแล้ว
จนกระทั่งเทศกาลตรุษจีนในปีหนึ่ง คนในหมู่บ้านพบว่า เหล้าที่พวกเขานำมาถวายทุกปี กลับถูกพวกคนเสเพลในหมู่บ้านขโมยไป แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในภายหลัง
หลังจากสองวันให้หลัง อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองก็กลับมาถึงเรือนสี่ประสานในปักกิ่ง ซ่งเวยหลันเห็นลูกชายกลับมาแล้วจึงดีใจไม่หยุด ทั้งบ้านก็เกิดความครึกครื้นขึ้นมาในทันที
……
“เยี่ยเทียน เป็นอะไร? กลับมาครั้งนี้ดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือว่าข้างนอก…”
เยี่ยเทียนกลับมาถึงบ้านวันศุกร์พอดี อวี๋ชิงหย่าหยุดทำงานวันเสาร์ จึงได้อยู่ในบ้านเป็นเพื่อนเธอพอดี แต่อวี๋ชิงหย่าที่เป็นคนละเอียดกลับพบว่าสามีของตัวเองดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรไม่หยุด
“อย่าคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” เยี่ยเทียนเคาะศีรษะของอวี๋ชิงหย่าไปหนึ่งที แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราออกไปเดินเล่นที่ลานบ้านกัน…”
ถึงแม้จะกลับมาบ้านเพียงหนึ่งวัน แต่เยี่ยเทียนก็ไม่อาจทนรับปราณวิเศษที่อยู่ในเรือนสี่ประสานอันน้อยนิดนี้ได้ ถ้าหากอยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ ไม่รู้ว่าปีไหนเขาถึงจะฝึกจิตดั้งเดิมให้เป็นรูปเป็นร่างได้
เช้าตรู่วันนี้ เยี่ยเทียนให้โจวเซี่ยวเทียนรีบนำลูกท้อที่เหลือสองสามลูกกับสมุนไพรไปที่ฮ่องกง ของพวกนี้คนธรรม ดาทั่วไปไม่สามารถรับได้ แต่ถ้าเป็นศิษย์พี่สองสามคนนั้นถือว่าเป็นยาบำรุงขนานใหญ่ของการยืดอายุขัยเป็นอย่างมาก
อวี๋ชิงหย่าคล้องแขนของสามี เดินมาในลานบ้านที่มีใบไม้เฉาและเหลืองร่วงหล่นหมดแล้ว จากนั้นเธอจึงพูดเบาๆ ว่า “เยี่ยเทียน นายอยากออกไปข้างนอกอีกใช่ไหม?”
“เปล่าเสียหน่อย!”
เยี่ยเทียนรีบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด พลางแอบสังเกตสีหน้าของภรรยา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ชิงหย่า พวกเราย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงกันเถอะ ที่นั่นมีบ้านหลังใหญ่ ปล่อยทิ้งไว้เปล่าๆ ก็สิ้นเปลืองนะ?”
ถึงแม้ค่ายกลรวมพลังที่ฮ่องกงจะสู้ในตลาดของเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าเรือนสี่ประสานในปักกิ่งนี้หลายเท่าตัว หากอาศัยอยู่ที่นั่นสักสามปี เยี่ยเทียนมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถฝึกวรยุทธเข้าสู่ระดับเซียนได้
“เยี่ยเทียน ฉันยังอยากทำงานอีกหลายปี” อวี๋ชิงหย่าก้มหน้าลงพลางพูด “อายุยังน้อยมัวแต่อยู่ในบ้านทั้งวี่ทั้งวัน มันจะเบื่อเอาได้ ฉันยังไม่อยากเป็นแม่บ้านเต็มตัว!”
“ได้ อย่างนั้นฉันจะอยู่ที่ปักกิ่งเป็นเพื่อนเธอ!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจเล็กน้อย ยังไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่แต่งงานแล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาน้อยมาก ยิ่งตอนที่เดินทางไปอเมริกา ก็ทำให้อวี๋ชิงหย่าต้องอกสั่นขวัญแขวน เยี่ยเทียนจึงรู้สึกละอายใจมาก
“ไม่ต้อง เยี่ยเทียน นายไปทำสิ่งที่นายอยากทำ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก!”
อวี๋ชิงหย่าเอียงศีรษะซบไปที่อ้อมอกของเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “ขอเพียงไม่ทำเรื่องที่อันตรายแบบนั้นอีกก็พอ พอถึงวันหยุดฉันจะบินไปหานายที่ฮ่องกงก็ได้!”
“เรื่องพวกนี้ค่อยว่ากันทีหลัง อีกสองเดือนก็ถึงวันตรุษจีนแล้ว ผ่านวันตรุษจีนไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน เอ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเดินมาถึงสระน้ำที่อยู่ตรงกลางลานบ้านแล้วนั่งลง เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วขึ้นมา พลางครุ่นคิดขณะมองไปยังสระน้ำที่ตัวเองเหยียบอยู่
ถึงแม้เดือนพฤศจิกายนของเมืองปักกิ่งจะหนาวมากแล้ว แต่เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็ยังหลงเหลือพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินอยู่บ้าง แต่พอเดินไปที่ข้างสระน้ำ แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกหนาวสั่น
เมื่อเห็นสายตาของสามีจ้องมองไปบนผิวน้ำ อวี๋ชิงหย่าจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน ไม่รู้ว่าสระน้ำนี้เกิดอะไรขึ้น ขนาดหน้าร้อนน้ำในสระก็ยังเย็นมาก เวลานั่งข้างสระก็จะรู้สึกหนาว!”
“หน้าร้อนก็ยังหนาว?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง เหมือนจะนึกอะไรออก จึงถอดถุงเท้ากับรองเท้าทันที ยื่นเท้าลงไปเหยียบในสระน้ำ
การกระทำของเยี่ยเทียนทำให้อวี๋ชิงหย่าตกใจ เธอจึงรีบพูด “เยี่ยเทียน นายทำอะไร? อากาศมันหนาวมาก แผลของนายยังไม่หายดี ระวังจะเป็นหวัดนะ!”
“ไม่เป็นไร สระน้ำนี้ไม่ลึกมาก ฉันขอหาของนิดหน่อย!” เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วเดินไปกลางสระน้ำ ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังจิตออกมา และเริ่มค้นหาสิ่งของภายในน้ำ
“เพราะเจ้าสิ่งนี้จริงๆ ด้วย!”
เมื่อใช้พลังจิตในการหาของ ต่อให้เป็นเข็มเล่มเดียวในสระน้ำ เยี่ยเทียนก็สามารถหาเจอ ตอนที่เห็นหินหยกดำนั่นผสมปนเปอยู่กับก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ในน้ำ เยี่ยเทียนจึงเข้าใจทันที
หยกดำนี้มีความหนาขนาดเท่านิ้วมือ เป็นของที่มังกรดำมอบให้เยี่ยเทียนตอนที่อยู่ภูเขาฉางไป๋ซาน
ตอนนั้นนอกจากความรู้สึกเย็นเยียบสุดขีดของก้อนหินก้อนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อย่างอื่นเท่าไร ต่อมาเหมาโถวมันชอบ เยี่ยเทียนจึงมอบให้มัน และจำได้ว่าเหมาโถวได้ทิ้งก้อนหินลงไปในสระน้ำ
ขณะนั้นเยี่ยเทียนมีปราณชีวิตแท้ปกป้องร่างกายอยู่ จึงเกือบแข็งตายเพราะความหนาวเย็นของหินหยกดำนี้ ทว่าตอนนี้ปราณชีวิตแท้ไม่มีแล้ว เขาจึงไม่กล้าวู่วาม จึงใช้พลังจิตห่อหุ้มมือขวา หยิบหยกดำมาอยู่ในมือ
“หืม? แปลกจัง ทำไมถึงรู้สึกอบอุ่นมาก?”
ตอนที่พลังจิตสัมผัสก้อนหินลูกนี้ จู่ๆ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็แปลกประหลาดมาก เพราะว่าตอนนั้นหูหงเต๋อเกือบจะแข็งตายเพราะหินหยกดำนี้ แต่ว่ามันกลับมีสายใยของความอบอุ่น ส่งผ่านเข้าไปในจิตดั้งเดิมของเขา
หลังจากที่ดูดซับพลังชีวิตที่ไม่รู้ว่ามีลักษณะเป็นแบบไหนเข้าไปแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นกระฉับ กระเฉงขึ้นมา ราวกับเด็กที่ชอบกินยาที่เห็นเป็นของชอบก็ไม่ปาน และไม่ยอมปล่อยมือ
“ชิงหย่า ฉันจะเก็บตัวนั่งสมาธิที่เรือนด้านหลังสักพัก ตอนกลางวันไม่ต้องเรียกฉันทานข้าวนะ!” เยี่ยเทียนไม่สน ใจที่จะอธิบายให้ภรรยาแล้ว จากนั้นจึงรีบกระโดดออกมาจากสระน้ำ ไม่สวมแม้แต่รองเท้า แล้ววิ่งเข้าไปที่เรือนด้านหลัง
หลังจากกลับมายังห้องหนังสือในเรือนด้านหลังแล้ว เยี่ยเทียนก็ปิดประตูสนิท แบฝ่ามือออก พยายามพินิจพิ เคราะห์หยกดำที่อยู่ในมืออย่างละเอียด ทว่าระหว่างนี้ จิตดั้งเดิมของเขาก็ยังได้รับพลังงานบางอย่างที่มาจากก้อนหินนั่นตลอดเวลา
“ปราณวิเศษ ต้องเป็นปราณวิเศษแน่นอน และยังบริสุทธิ์ลึกล้ำกว่าพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดิน!”
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏสีหน้าตื่นเต้นระคนความดีใจออกมา เขาสามารถสัมผัสได้ หลังจากที่ดูดซับพลังงานเหล่านี้แล้ว ดูเหมือนจิตดั้งเดิมจะกระชับแน่นมากขึ้น เพียงระยะเวลาสั้นๆ สองสามนาที ก็ไม่อาจเทียบกับเวลาที่เขาลำบากฝึกฝนมาหลายวัน
“นี่มันคืออะไรกันแน่?”
นอกเหนือจากความดีใจแล้ว เยี่ยเทียนก็เกิดข้อสงสัยเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อน นอกจากพลังชีวิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว ยังสามารถดูดซับปราณวิเศษจากก้อนหินนี้ได้ และปราณวิเศษนี้ยังบริสุทธิ์มากกว่าพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินเสียอีก
“เยี่ยเทียน นายนั่งสมาธิเสร็จหรือยัง? ข้างนอกมีคนมาหานาย!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเดินพลังยุทธหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า โดยใช้หินหยกดำในการฝึกฝนนั้น เสียงของอวี๋ชิงหย่ากลับดังมาจากนอกหน้าต่าง
“ใครกัน? ชิงหย่า ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ว่างไม่ใช่เหรอ?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ พลางลุกขึ้นด้วยความจนใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้นถึงหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาและแม่น้ำสายใหญ่ เพราะบนโลกมนุษย์ ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้จริงๆ
อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย ถ้าหากเมื่อครู่เยี่ยเทียนปล่อยจิตดั้งเดิมออกมาและฝึกถึงขั้นตอนสำคัญ แล้วได้ยินเสียงของอวี๋ชิงหย่าแบบนี้ ไม่แน่อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บก็เป็นได้
“ชิงหย่า ใครมาหาฉันเหรอ?” เยี่ยเทียนตัดความคิดที่จะฝึกฝนต่อ แล้วจึงผลักประตูห้องออกมา
“เยี่ยเทียน ขอโทษนะ พ่อของฉันมาหา แถมเขายังพาใครมาอีกคน ดูเหมือนจะแซ่จู้?” อวี๋ชิงหย่าพูดด้วยความรู้สึกขอโทษ
“จู้เหวยเฟิงเหรอ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน แล้วสบถด่าออกมาอย่างไม่พอใจ “ตาคนนี้ ทำไมถึงเป็นแขกของพ่อได้? คิดว่าฉันเยี่ยเทียนนิสัยดีนักหรือไง?”
“เยี่ยเทียน อย่าโกรธเลย ยังไงก็ต้องไว้หน้าพ่อของฉันหน่อย” อวี๋ชิงหย่าแลบลิ้นออกมา พลางดึงแขนของเยี่ยเทียนเบาๆ
เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้ ไป พวกเราออกไปเจอพวกเขากันหน่อย”
“พ่อครับ พ่อมาปักกิ่งไม่เห็นบอกกันสักคำ ผมกับชิงหย่าจะได้ไปรับคุณครับ!”
เมื่อเดินมาถึงเซียงฝาง (เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก) ที่อยู่ตรงกลางลานบ้าน เยี่ยเทียนก็เห็นอวี๋เฮ่าหรานและคนอื่นๆ นอกจากพ่อตากับจู้เหวยเฟิงแล้ว ต่งเซิงไห่ก็มาด้วย โดยมีเยี่ยตงผิงให้การต้อนรับทักทายอยู่พอดี
“แค่กๆ เยี่ยเทียน ฉันไปรับลุงอวี๋มาเอง” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมองตัวเองกับต่งเซิงไห่เป็นอากาศ จู้เหวยเฟิงจึงยิ้มแหยๆ อยู่บ้าง
ก่อนหน้านั้นเขาได้ยินว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บ จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่จึงอยากจะมาเยี่ยม แต่ถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธ ทั้งสองคนรู้ว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักมาก คงไม่น่าจะมาร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินที่ประเทศไทยได้ ดังนั้นหลายวันก่อนจึงไม่ได้ไปหาเยี่ยเทียนอีก
แต่ถังเหวินหย่วนกลับเผลอพูดออกมา ทำให้จู้เหวยเฟิงรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนหายดีเกือบหมดแล้ว ดังนั้นพวกพี่ชายเหล่านี้จึงเกิดความคิดขึ้นมา หลังจากโทรติดต่ออยู่หลายสายแต่กลับถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธ พวกเขาจึงเดินทางมาที่เรือนสี่ประสานในปักกิ่งอยู่หลายครั้งหลายครา
เพียงแต่เมื่อสองสามวันก่อนเยี่ยเทียนเดินทางไปที่เสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) พอดี แต่จู้เหวยเฟิงกลับคิดว่าเยี่ยเทียนกำลังหลบเขา ดังนั้นเขาจึงใช้เส้นสายนิดหน่อยแล้วพูดให้อวี๋เฮ่าหรานใจอ่อน หลังจากนั้นถึงได้มีคนสองสามคนมาหาถึงที่บ้าน